EP.83 ตำหนักเจ๋อเทียน

The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา

EP.83 ตำหนักเจ๋อเทียน LifeStylePublisher

เมืองหลันเยี่ยน เมืองที่ได้รับการยกย่องให้เป็นเมืองสำคัญของจักรวรรดิฉิน มีประชากรมากกว่าห้าล้านคน ขณะเดียวกันก็เป็นเมืองหลวงแห่งจักรวรรดิด้วย

ในตอนที่พระอาทิตย์กำลังลับขอบฟ้า ทหารม้าอาวุธครบมือกลุ่มหนึ่งก็ควบตะบึงเข้ามาบนถนน

“พรึ่บ!”

ฉินอินดึงชายเสื้อคลุม แล้วลุกขึ้นยืนทันที ดวงตาสุกสกาวคู่นั้นมองไกลออกไป พร้อมเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม “เสี่ยวซีกลับมาแล้ว!”

เฟิงจี้สิงที่กำลังพันแผลบนแขนใหม่ เงยหน้าขึ้นมายิ้มกว้าง “พ่ะย่ะค่ะ องค์หญิงซีกลับมาแล้ว ทีนี้พระองค์ก็ไม่จำเป็นต้องทรงเป็นห่วงแล้ว…”

ฉินอินวิ่งถลาออกไป ลมยามเย็นพัดผมยาวของนางปลิวไสว ตราสัญลักษณ์รูปดอกจื่ออินที่สายรัดตรงคอเสื้อคลุมของนางสะบัดไปมาราวกับผีเสื้อแสนสวย

ถังเสี่ยวซีปล่อยบังเหียนม้าในมือ กระโดดลงจากหลังม้า แล้วโผเข้ากอดฉินอิน สาวน้อยที่งามสะท้านทรวงสองนางกำลังโอบกอดกันและกัน

“เสี่ยวซี เจ้าไม่เป็นอะไรใช่ไหม” ฉินอินมองอีกฝ่ายอย่างตื่นเต้น

ด้านถังเสี่ยวซีกลับมองไปmujหน้าอกของฉินอิน แล้วก็อดที่จะตาแดงไม่ได้ “เสี่ยวอิน เจ้าได้รับบาดเจ็บหรือ”

ฉินอินส่ายหน้าแล้วยิ้ม “ไม่เป็นอะไรแล้วล่ะ แผลเล็กน้อย”

เฟิงจี้สิงที่นั่งอยู่ด้านข้าง มือวางอยู่บนดาบที่ปักดิน บ่นขึ้นมา “พิษงูมังกรอายุหนึ่งหมื่นปี รอดมาได้ก็นับว่าบุญแล้ว ยังจะพูดว่าแผลนิดเดียว เด็กสมัยนี้ช่างไม่รักชีวิตกันเสียเลย…”

“หา?” ถังเสี่ยวซีอ้าปากค้าง

ฉินอินถลึงตาตำหนิเฟิงจี้สิง “ท่านนี่พูดมากจังนะ! ฮึ รอข้ากลับตำหนักเจ๋อเทียนก่อนเถอะ ข้าจะฟ้องเสด็จพ่อให้ตัดเงินท่านสองเดือน!”

เฟิงจี้สิงตกใจ “องค์หญิง กระหม่อมผู้แซ่เฟิงเป็นเพียงแม่ทัพจากตระกูลชาวบ้านธรรมดา หากพระองค์ตัดเงินเดือนกระหม่อม ก็ไม่ต่างอะไรกับการเอาชีวิตของกระหม่อม อีกอย่างกระหม่อมก็ช่วยพระองค์สุดความสามารถ ทรงทอดพระเนตรสิ บาดแผลบนแขนนี้เป็นเครื่องยืนยันได้…”

ถังเสี่ยวซีหัวเราะคิก “เอาละ เลิกเถียงกันได้แล้ว ผู้บัญชาการเฟิงท่านก็จริงๆ เลย จะยอมให้เสี่ยวอินบ้างมิได้หรือ อย่าลืมเสียล่ะนางเป็นถึงรัชทายาทเชียวนะ หากไปยั่วจนนางโกรธขึ้นมาจริงๆ ท่านได้จบเห่แน่!”

เฟิงจี้สิงประสานหมัดคารวะทันที “องค์หญิงโปรดทรงอภัย กระหม่อมจงรักภักดี ฟ้าดินเป็นพยาน ได้โปรดอภัยโทษที่เฟิงจี้สิงปากไม่มีหูรูดด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”

“คิก…”

ฉินอินหัวเราะน้อยๆ “ท่านก็อย่าฉีกหน้าข้าอีกก็แล้วกัน จริงสิเสี่ยวซี นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะพาทหารเข้าไปในป่าล่ามังกรแค่ไม่กี่ร้อยคน อยากตายมากหรือไง หลินมู่อวี่ผู้นั้นเป็นใครกันแน่ มันคุ้มกับที่เจ้าเอาชีวิตไปเสี่ยงด้วยหรือ”

“หลินมู่อวี่เขา…”

ถังเสี่ยวซีเม้มปาก ดวงตาแดงเรื่อ “เขาเป็นศิษย์ฝึกหัดปรุงโอสถ…แต่เขาเป็นคนดีมาก มีวิธีการปรุงโอสถที่ยอดเยี่ยม ช่วงที่เข้าไปฝึกยุทธ์ในป่าสัตตะดารา ตอนที่ข้าดูดซับวิญญาณสัตว์ของมังกรไฟอยู่นั้นเกิดความผิดพลาดขึ้น ถ้าไม่ได้เขาช่วยชีวิตโดยไม่เสียดายชีวิตตัวเอง เกรงว่าข้าคงต้องตายอยู่ในป่าสัตตะดาราแล้ว…”

“แบบนี้นี่เอง…” ฉินอินอดไม่ได้ที่จะคิดถึงชายหนุ่มเมื่อคืนวาน วิธีการปรุงโอสถของเขาแปลกประหลาด สามารถสกัดแก่นของโอสถสองชนิดได้พร้อมกัน แต่นางไม่ได้พูดเรื่องนี้ออกมา เหมือนกับว่าไม่ใช่เรื่องที่จำเป็นจะต้องเล่า ไม่รู้ว่าเจ้าคนโลภนั่นตอนนี้กำลังสละชีวิตเพื่อของมีค่าอะไรอยู่

“พวกเรากลับจวนที่ชีไห่กันเถอะ!” ฉินอินกล่าว

“อือ เจ้าก็ได้รับบาดเจ็บ ต้องพักผ่อนให้มากๆ”

“เจ้าผอมไปเยอะเลย ต้องกินให้เยอะๆ หน่อยแล้ว…”

“ฮือ ฮือ เสี่ยวอิน เจ้าไม่รู้หรอกว่าหลายวันมานี้ข้าใช้ชีวิตอย่างไร หิวก็กินผลไม้ป่า กระหายน้ำก็ต้องดื่มน้ำในลำธาร ข้าได้ยินว่าพวกสัตว์วิญญาณจะดื่มน้ำในลำธารไปพลางปลดทุกข์เบาไปด้วย…”

“เอาละ เอาละ ข้าจะเลี้ยงของอร่อยเจ้าเองแล้วกัน”

“อือ อือ”

หนึ่งวันต่อมา

ช่วงใกล้พลบค่ำในป่าล่ามังกร เสียงร้องของสัตว์ป่าดังแว่วมาให้ได้ยินภายในหุบเขา ที่นี่เต็มไปด้วยอันตรายทุกตารางนิ้ว ดูเหมือนภูเขาแทบทุกลูกจะถูกสัตว์วิญญาณที่อายุสองพันกว่าปีหนึ่งตัวยึดครอง ใต้แสงสุดท้ายของดวงอาทิตย์ ชายหนุ่มหิ้วกระต่ายที่เพิ่งล่ามาได้ มองไปรอบๆ ดูเหมือนว่าเขาจะหลงทิศเสียแล้ว

“ดูท่าจะมาผิดทางเสียแล้ว…เสี่ยวซีไม่ได้อยู่ที่นี่”

หลินมู่อวี่นับนิ้วคำนวณเวลา ใกล้จะถึงกำหนดวันลาสามวันที่ขออนุญาตกับผู้ดูแลเกอหยางไว้แล้ว จะต้องกลับไปให้ถึงเมืองหลันเยี่ยนก่อนรุ่งสางวันพรุ่งนี้ มิเช่นนั้นทางวิหารต้องลงโทษเขาเป็นแน่ จะอย่างไรก็ตาม ตนเองเพิ่งเข้ามาอยู่ในวิหาร การหนีงานมาแบบนี้อย่าทำจะเป็นการดีกว่า

เขาถอนหายใจ เขาโคจรปราณไปที่ขาทั้งสองข้าง แล้วพุ่งตัวออกไปดุจนกนางแอ่น ก่อนย่ำรุ่งต้องกลับไปยังเมืองหลันเยี่ยนให้จงได้!

ม้าพันธุ์ดีหายไป คงจะหมดทางตามกลับมา หลินมู่อวี่แอบรู้สึกผิด การเดินทางครั้งนี้นับว่าดวงตกไม่ราบรื่นเอาเสียเลย นอกจากม้าจะหายเสี่ยวซีก็ยังหาไม่เจออีกด้วย

ก่อนฟ้าสาง เขาก็เดินทางกลับถึงเมืองด้วยความอ่อนล้า

“หยุดอยู่ตรงนั้น เจ้าเป็นใคร ไม่รู้หรือว่าห้ามเข้าออกเมืองในเวลากลางคืน” ทหารรักษาการณ์ประจำเมืองตวาดเสียงดัง

หลินมู่อวี่ค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้ เหรียญตราผู้ช่วยฝึกระดับดาวสีทองของวิหารศักดิ์สิทธิ์บนหน้าอกเป็นประกาย ทันใดนั้นสีหน้าของนายทหารรักษาการณ์ผู้นั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นเคารพนบนอบ ขยับตัวตรงทำความเคารพ แล้วกล่าว “ที่แท้เป็นใต้เท้าของวิหารศักดิ์สิทธิ์นี่เอง เชิญเข้าเมืองเถอะขอรับ!”

“ขอบใจมาก”

วิหารศักดิ์สิทธิ์หรือที่เรียกว่าวิหารนั้น เป็นวิหารที่มีความศักดิ์สิทธิ์สูงสุดที่ยอดฝีมือทั่วทั้งแผ่นดินยอมรับ แม้หลินมู่อวี่จะเป็นแค่ผู้ช่วยฝึกภายในวิหาร แต่ด้วยสถานะนี้ก็นับว่าสูงศักดิ์อยู่พอสมควร อย่างน้อยต่อหน้านายทหารธรรมดาพวกนี้ ตำแหน่งของเขาสูงส่งกว่ามาก แม้กระทั่งทหารรักษาการณ์ ต่อให้มียศเป็นถึงผู้บังคับการกองร้อยก็ยังคงต้องให้ความเคารพ

ตอนที่เข้ามาถึงเมืองแล้วนั้น ขาทั้งสองข้างราวกับถูกถ่วงไว้ด้วยตะกั่ว เหมือนจะใช้ปราณจนแทบหมด วิ่งตะบึงมาตลอดทั้งคืน ใช้ขาสองข้างแทนม้าสี่ขาแบบนี้ แน่นอนว่าเป็นการสิ้นเปลืองพลังงานและปราณเป็นอย่างมาก

หลินมู่อวี่เดินมาตามถนนในเมืองที่ใช้เป็นเส้นทางกลับ พบว่าชื่อของถนนเส้นนี้คือ “ถนนทงเทียน” จริงสิ นี่เป็นถนนที่อยู่บ้านสาวสวยเสื้อคลุมสีม่วงเข้มคนนั้น ดังนั้นหลินมู่อวี่จึงไล่ป้ายบ้านเลขที่แต่ละบ้านไปเรื่อยๆ เดินอยู่เป็นนาน ในที่สุดก็มาถึงบ้านเลขที่ไม่กี่หลังสุดท้าย

ถนนทงเทียน เลขที่สี่ : กระทรวงอาญาเมืองหลันเยี่ยน สถานที่บัญญัติกฎหมายอาญาทั้งปวงแห่งจักรวรรดิ

ถนนทงเทียน เลขที่สาม : กระทรวงกลาโหม จวนเสนาบดีกระทรวงกลาโหม

ถนนทงเทียน เลขที่สอง : หอฉิวเสียน สถานที่ซึ่งจักรพรรดิมีพระราชโองการให้ก่อตั้งขึ้นด้วยพระองค์เอง สถานที่สำหรับอบรมผู้มีปัญญา

ถนนทงเทียน เลขที่หนึ่ง : ตำหนักเจ๋อเทียน ความจริงแล้วก็คือชื่อเรียกของพระราชวังหลวงเมืองหลันเยี่ยน และเป็นศูนย์กลางของจักรวรรดิด้วยเช่นกัน

ไกลออกไป ทหารม้ารักษาพระองค์กลุ่มหนึ่งถืออาวุธที่เป็นประกายวิบวับค่อยๆ เดินแถวอย่างช้าๆ พวกเขากำลังลาดตระเวนตรวจตรารักษาความปลอดภัยของตำหนักเจ๋อเทียน มีตำหนักมากมายในพระราชวัง มิใช่ความหรูหราในระดับธรรมดาทั่วไป ดังนั้นจึงต้องใช้กองกำลังจำนวนไม่ธรรมดาด้วยเช่นกัน

เมื่อหลินมู่อวี่เห็นป้ายสีทองขนาดใหญ่ของตำหนักเจ๋อเทียนอยู่ไกลๆ เขาก็สั่นเทิ้มไปทั้งตัว!

ผู้หญิงคนนั้นเป็นจอมลวงโลกจริงๆ ด้วย!

ห่างออกไป ผู้บังคับการร้อยรักษาพระองค์ขี่ม้าตรงเข้ามา เอ่ยว่า “ที่แท้ก็คนของวิหารนี่เอง…เจ้าหนุ่ม มาตำหนักเจ๋อเทียนมีธุระหรือ”

ดังคาด ถึงจะเป็นทหารรักษาพระองค์ก็มีความยำเกรงต่อวิหารศักดิ์สิทธิ์อยู่มากทีเดียว

“ไม่ทราบว่า…ถนนทงเทียนเลขที่หนึ่ง คือตำหนักเจ๋อเทียนใช่หรือไม่”

“ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่ะ มันแน่นอนอยู่แล้ว มีเพียงที่ประทับขององค์จักรพรรดิเท่านั้น ถึงจะคู่ควรกับเลขที่หนึ่งบนถนนทงเทียนได้!”

“อ้อ ไม่มีอะไรแล้ว ขอบคุณมาก…”

เขาหันหลังกลับ หน้าตามึนงง เงินหนึ่งพันเหรียญทองหายวับไปกับตา สาวงามผู้นั้นงามจับจิต แต่คาดไม่ถึงว่าจะเป็นจอมโกหกหลอกลวงสวรรค์ช่างไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย!

ในช่วงเช้า แล้วก็วนมาถึงการเป็นผู้ช่วยฝึกให้แก่ครูฝึกระดับดาวสีเงินจางเหว่ย หมัดกระชากวิญญาณของจางเหว่ยดุดันรุนแรงหาใครเปรียบ ผู้ช่วยฝึกคนอื่นที่เหลือล้วนไม่อยากเผชิญ ดีที่จางเหว่ยค่อนข้างมีไมตรีกับหลินมู่อวี่ ดังนั้นจึงยอมให้หลินมู่อวี่นอนพักภายในห้องซ้อม ส่วนตัวเขาเองก็ฝึกเพลงหมัดไปเพียงลำพัง

การพักผ่อนครึ่งวันนั้น ทำให้พละกำลังของเขาฟื้นกลับมาเจ็ดส่วน ปราณแท้ก็ฟื้นกลับมาแปดส่วน

จนกระทั่งถึงเวลาเที่ยง ผู้ดูแลเกอหยางก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง ถือม้วนกระดาษประกาศคู่ฝึกซ้อมช่วงบ่าย และก็เป็นโชคดีของหลินมู่อวี่อีกครั้งที่ได้วนมาเจอกับครูฝึกระดับดาวสีทองเจิ้งซานเหอ ยอดฝีมือผู้มีชื่อเสียงด้านการป้องกันผู้นี้ค่อนข้างจะรับมือได้ง่ายอยู่สักหน่อย

แต่ทว่าในตอนนี้เอง ครูฝึกระดับดาวสีทองผู้หนึ่งถือกระบี่ก้าวออกมา เขายิ้มแย้มกล่าว “ท่านหลินจื้อเป็นผู้ช่วยฝึกระดับดาวสีทองเพียงผู้เดียวในวิหารศักดิ์สิทธิ์ตอนนี้ จะให้ซ้อมอยู่กับผู้อาวุโสเจิ้งและจางเหว่ยแค่สองคนไม่ได้หรอกกระมัง ท่านผู้ดูแล โอวหยางชิวอยากจะขอฝึกกับท่านหลินจื้อในช่วงบ่าย หวังว่าท่านผู้ดูแลจะอนุญาต!”

เกอหยางลังเลเล็กน้อย “เช่นนั้นก็ตกลง ช่วงบ่ายหลินจื้อคู่โอวหยางชิว!”

“ขอบคุณท่านผู้ดูแล!”

สายตาของโอวหยางชิวฉายแววของความเป็นปรปักษ์อย่างชัดเจน ตอนที่มองมาทางหลินมู่อวี่นั้นมุมปากเขาปรากฏไอสังหารขึ้นมา

หลินมู่อวี่ถึงกับสะท้านไปถึงขั้วหัวใจ โอวหยางชิวผู้นี้เป็นคนของอ๋องน้อยเจิ้งฟาง ครั้งก่อนเจิ้งฟางฆ่าตนไม่สำเร็จ แต่กลับเป็นฝ่ายเสียหน้าเสียเอง หากโอวหยางชิวจะลงมือฆ่าตนเอง เช่นนั้นก็คงหมดหนทางแล้ว เพราะในวิหารมีแต่กฎเลือด หากผู้ช่วยฝึกพลาดท่าระหว่างฝึกซ้อมจนถึงแก่ชีวิต ก็จะได้รับแค่เงินชดเชย ส่วนบทลงโทษผู้กระทำผิดก็เพียงแค่ถูกคุมขังเป็นเวลาไม่กี่เดือน และตัดเงินเดือนปีสองปี เจิ้งฟางเป็นลูกชายของเสินโหวเจิ้งอี้ฝาน ไม่ขาดแคลนเงินแค่หยิบมือนี้

เวลานี้ หลินมู่อวี่ไม่มีปัญญาจะไตร่ตรองอะไรไปได้มากกว่านี้แล้ว สิ่งเดียวที่ทำได้ก็คือต้องยืนหยัดที่จะมีชีวิตรอดให้ได้!

หลังจากมื้อเที่ยง การพักผ่อนช่วงสั้นๆ ทำให้พละกำลังของเขาฟื้นฟูกลับมาเกือบจะเต็มประสิทธิภาพ ปราณในร่างกายก็ฟื้นกลับมาเต็มที่แล้วเช่นกัน ตอนที่โคจรพลังสามารถรู้สึกได้ถึงปราณที่ไหลออกมาตามผิวหนัง ความรู้สึกแบบนี้ช่างโล่งสบายยิ่งนัก  ซึ่งความรู้สึกแบบนี้เกิดขึ้นมาหลังจากฝึก “ก่อชั้นผิว” แล้ว หากเป็นเมื่อก่อน หลินมู่อวี่จะต้องกังวลว่าในช่วงบ่ายจะมีชีวิตรอดหรือไม่ แต่ตอนนี้ไม่จำเป็นแล้ว โอวหยางชิวอยู่แค่ขอบเขตนภาระดับหกสิบเอ็ด เอาชนะได้แน่นอน แต่คิดจะฆ่าคงไม่ง่ายขนาดนั้น

“โหม่งงง…”

เสียงระฆังดังขึ้น การฝึกช่วงบ่ายกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว

หลินมู่อวี่สะพายกระบี่เหลียวหยวน สองมือกำหมัด ออกจากที่พัก ใบหน้าเต็มไปด้วยความมั่นใจเป็นอย่างยิ่ง การปรากฏตัวของโอวหยางชิวทำให้เขาเป็นกังวล แต่ก็ทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นเช่นเดียวกัน การเผชิญหน้ากับผู้แข็งแกร่งเช่นนี้ถึงจะช่วยเพิ่มประสบการณ์การต่อสู้จริงของตนเองได้อย่างรวดเร็ว! บนพิภพนี้ ความแข็งแกร่งสำคัญ มาก แต่ประสบการณ์นั้นสำคัญยิ่งกว่า ความแข็งแกร่งไม่ใช่สิ่งที่แน่นอน ปราชญ์สงครามระดับห้าสิบที่ประสบการณ์โชกโชน ก็มีโอกาสชนะปรมาจารย์สวรรค์ระดับหกสิบที่ประมาทศัตรูได้เช่นกัน!

ภายในโถงฝึก บรรดาครูฝึกกับผู้ช่วยฝึกจับคู่เผชิญหน้ากัน นี่คือพิธีก่อนการฝึกซ้อม

หลินมู่อวี่ยืนตัวตรงอยู่ตรงนั้น ด้านข้างคือแถวของผู้ช่วยฝึกอย่างฉินจื่อหลิง มือขวาเขากำหมัดแล้ววางพาดหน้าอก มือซ้ายแนบชิดลำตัวเหมือนกระบี่ นี่คือการทำความเคารพทางทหารฉบับมาตรฐานของจักรวรรดิ และเป็นบทเรียนที่ต้องศึกษาเมื่อเข้ามาอยู่ในวิหาร ชื่อเต็มของวิหารแห่งนี้คือ “วิหารสงครามศักดิ์สิทธิ์” หน้าที่หลักคือการสร้างยอดฝีมือที่ยอดเยี่ยมให้จักรวรรดิ ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นครูฝึกหรือผู้ช่วยฝึก เมื่อเกิดสงครามขึ้นก็จะต้องไปเป็นทหารรับใช้ชาติ บางทีตั้งแต่วินาทีที่เหยียบเข้ามายังวิหารศักดิ์สิทธิ์ เขาก็เป็นทหารของจักรวรรดิเรียบร้อยแล้ว

“โปรดชี้แนะด้วย!”

ทุกคนกล่าวออกมาพร้อมเพรียงกัน

เมื่อเงยหน้าขึ้นมา ก็เห็นมุมปากที่เหยียดด้วยอาการดูถูกของโอวหยางชิวที่ยืนอยู่ตรงข้าม ทำให้หลินมู่อวี่รู้สึกไม่พอใจมาก