บทที่ 85 ความลับ (1)

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

อวี้เหลียนจื่อประคองลู่เซิ่งเข้าห้องไปพักผ่อน จากนั้นก็เรียกหมอประจำพรรควาฬแดงของเมืองเลียบคีรีมา

“หัวหน้าฝ่ายภารกิจภายนอกลู่ อาการบาดเจ็บนี้…” ตอนเห็นอาการบาดเจ็บบนตัวของลู่เซิ่ง หมอผู้นี้ก็ตื่นตระหนก

เขาเงยหน้ามองลู่เซิ่งที่สีหน้ายังไม่เลว ขนลุกอยู่บ้าง อาการบาดเจ็บนี้ยังรอดมานั่งให้ตนตรวจได้…โค่นล้มความรู้ทางการแพทย์ที่เขารับสืบทอดมาหมดแล้ว

“อภัยที่ขอกล่าวตรงๆ อาการบาดเจ็บของหัวหน้าฝ่ายภารกิจภายนอกลู่หลักๆ อยู่ที่เลือดไหล เสียเลือดไปมาก ได้แต่ต้องทำให้หยุด ทุกอย่างจะดีขึ้นเอง ข้าไม่รู้ว่าหัวหน้าฝ่ายภารกิจภายนอกใช้วิธีใดหยุดเลือดไว้ แต่มีประสิทธิภาพอย่างไม่ต้องสงสัย” หมอลังเลเล็กน้อย “แผลใหญ่สองแผลแบบนี้สมควรเกิดขึ้นเพราะมีคนเสียบมือเข้าไปถึงด้านในร่าง…”

ซู้ด…

อวี้เหลียนจื่อที่อยู่ด้านข้างได้ยินก็เสียวสันหลัง คนแบบไหนที่ใช้มือเสียบเข้าไปบนตัวหัวหน้าฝ่ายภารกิจภายนอกลู่ได้

นับตั้งแต่หัวหน้าฝ่ายภารกิจภายนอกลู่สังหารรองประมุขพรรคกงซุน ก็มีแนวโน้มกลายเป็นยอดฝีมืออันดับสองของพรรค

ยอดฝีมือระดับนี้ ใครมีความสามารถนี้กัน

“ไม่ต้องพูดมาก ข้าหยุดเลือดไว้แล้ว รีบตัดเนื้อร้ายทิ้ง” ลู่เซิ่งเร่ง

“ขอรับๆๆ…” หมอชรารีบเอ่ย เขายกมีดที่คมกริบขึ้น เริ่มตัดเนื้อร้ายที่ต้องพิษตรงอก ท้อง และเอวให้ลู่เซิ่ง

อวี้เหลียนจื่อที่อยู่ด้านข้างเฝ้าดูมือหมอ นี่เท่ากับเป็นจุดตาย ย่อมไม่อาจวางใจให้คนนอกลงมือโดยง่าย

ลู่เซิ่งกลับไม่เป็นห่วงแม้แต่น้อย ถึงแม้วิชาแข็งกร้าวของเขาจะถูกทำลาย แต่เขากล้ามเนื้อหนากระดูกแข็ง ปราณแดงฉานไหลเวียนต่อเนื่องในกาย เกิดอีกฝ่ายมีการเคลื่อนไหวคุกคามใดๆ เขาสามารถหยุดได้ทันที

หนำซ้ำความเร็วตอบโต้ของยอดฝีมือระดับผนึกจิต ไม่ใช่สิ่งที่ผู้เป็นหมอจะจินตนาการได้ แม้แต่การเคลื่อนไหวที่ใกล้เคียงการเคลื่อนย้ายในพริบตาของผีหญิงโคมไฟแดงนางนั้นยังตอบโต้ได้ทัน นับประสาอะไรกับเรื่องแค่นี้

มีดสีเงินตัดเนื้อร้ายที่ไหม้บนร่างลู่เซิ่งทีละน้อยๆ จากนั้นก็วางไปในถาดเงินที่เตรียมไว้

ลู่เซิ่งแบะอกเสื้อ เอ็นเขียวปูดบนคอ มือกำด้ามดาบที่ปักอยู่บนพื้น ไม่ขยับเขยื้อน

อวี้เหลียนจื่ออยู่ข้างๆ ไม่สงเสียง เฝ้าดูการเคลื่อนไหวของหมอ

เวลาผ่านไปเกือบหนึ่งก้านธูป หมอเหงื่อแตกเต็มศีรษะ ถอนมีดออกจากร่างลู่เซิ่ง

“โชคดีที่ทำสำเร็จ” เขาเหมือนดั่งปลดภาระอันหนักอึ้ง

“ขอบคุณท่านหมอ” ลู่เซิ่งพยักหน้า อวี้เหลียนจื่อที่อยู่ด้านข้างเช็ดเหงื่อที่หน้าผากให้เขาให้อย่างใส่ใจ อิริยาบถเหมือนสตรีอยู่บ้าง

ลู่เซิ่งไม่รู้สึกอะไร กลับเป็นอวี้เหลียนจื่อที่พบว่าไม่ถูกต้อง รีบชักมือกลับ

“นี่เป็นผงงูแดงที่ข้าทำขึ้นเป็นพิเศษ แก้ไขพิษธาตุหยินส่วนใหญ่ได้ รักษาภายในใช้กินรักษาภายนอกใช้ทา ยังมีเทียบยานี้อีก หัวหน้าฝ่ายภารกิจภายนอกกินวันละสามครั้ง ไม่เว้นตอนกลางคืน” หมอกำชับอย่างละเอียด ค่อยลุกขึ้นเตรียมจากไป

“ข้าขอตัวก่อน หัวหน้าฝ่ายภารกิจภายนอกเข้านอนเร็วๆ อาการบาดเจ็บจะหายเร็วขึ้น”

“ขอบคุณมาก” ลู่เซิ่งโบกมือให้ลูกน้องด้านข้างส่งคนออกไป

ประตูห้องงับปิด เหลือแค่เขากับอวี้เหลียนจื่อ

“หัวหน้าฝ่ายภารกิจภายนอก ครั้งนี้เหตุใดจึงอันตรายถึงขนาดนี้” อวี้เหลียนจื่อถามขึงขัง

“เหอะ มีคู่แค้นเก่ามาหา ยังใช้ครอบครัวมาข่มขู่ ไม่ตายนับว่าเป็นบุญแล้ว” ประกายดุร้ายแวบขึ้นในดวงตาลู่เซิ่ง

“เช่นนั้นหรือ…” อวี้เหลียนจื่อเบาเสียง

ลู่เซิ่งมองเขา “ท่านทราบหรือไม่”

“…เมื่อก่อนเคยได้ยินประมุขพรรคเฒ่าพูดถึง” อวี้เหลียนจื่อพยักหน้าช้าๆ “ไม่อย่างนั้นด้วยความสามารถของหัวหน้าฝ่ายภารกิจภายนอกลู่ คนที่อยู่ใกล้เมืองเลียบคีรีที่สามารถทำร้ายท่านจนเป็นแบบนี้ได้ ก็มีแค่คนมีชื่อเสียงระดับสุดยอดอย่างประมุขพรรคเฒ่าเท่านั้น”

“เรื่องนี้ต้องขยายขอบเขตป้องกัน พวกมันตามเจอครอบครัวของข้าแล้ว เรื่องพื้นที่หวงห้ามต้องให้ท่านรับผิดชอบ จัดพี่น้องไปเฝ้าตามสถานที่ ในสิบวันไม่อนุญาตให้ผู้ใดเข้าออก ไม่มีปัญหากระมัง” ลู่เซิ่งถามเสียงขรึม

“ไม่มีปัญหา หัวหน้าฝ่ายภารกิจภายนอกรักษาอาการบาดเจ็บอย่างสบายใจเถอะ เรื่องปลีกย่อยให้ข้าจัดการเอง” อวี้เหลียนจื่อพยักหน้า

“รักษาอาการบาดเจ็บอย่างสบายใจหรือ เกรงว่าจะสบายใจไม่ได้…” ลู่เซิ่งส่ายหน้า ไม่พูดอะไรอีก

คนทั้งสองพูดถึงเรื่องยุ่งยากส่วนหนึ่งที่จะต้องจัดการเร็วๆ นี้ ต่างเป็นอวี้เหลียนจื่อรายงานให้ลู่เซิ่งฟัง

บอกเล่าเรื่องราวส่วนใหญ่จบแล้ว เขาออกจากห้องปิดประตู ขณะเดียวกันก็ให้บริวารส่งอาหารมา

ลู่เซิ่งรับกินเนื้อกระต่ายน้ำพะโล้เกือบสองชั่ง ขากวางสองขา เต้าหู้ผักกวางตุ้งสี่ชั่ง กับข้าวสวยถังหนึ่ง จึงค่อยพอใจ บอกให้คนแยกย้ายไป

เขากินเสร็จ ก็ปรับลมหายใจพักหนึ่ง นับว่าพักผ่อนแล้ว จากนั้นค่อยลุกขึ้นมา เดินออกจากห้อง

ฟ้าด้านนอกมืดลงแล้ว

ลู่เซิ่งสั่งให้คนจูงม้ามา พลิกตัวขึ้นไป ก่อนหน้านี้ใช้วิชาหยินหยางกระเรียนหยกไปเกือบหมด เหลือประมาณสามส่วนไหลเข้าสู่จุดที่บาดเจ็บอย่างต่อเนื่องเพื่อเร่งความเร็วฟื้นฟู ดังนั้นการเคลื่อนไหวจึงไร้อุปสรรคแล้ว

“นิ่งซาน!”

“อยู่! พี่ใหญ่!” นิ่งซานวิ่งเหยาะๆ ออกมาจากด้านข้าง เขารออยู่ที่นี่ตลอด พร้อมรับคำสั่งทุกเวลา

“สถานการณ์ของครอบครัวข้าเป็นอย่างไร รู้หรือไม่” ลู่เซิ่งถามจากบนหลังม้า

“นายผู้เฒ่าลู่เข้าพักที่ย่านอาคารน้อยริมแม่น้ำบูรพาในเมืองแล้ว ที่นั่นเขาซื้อคฤหาสน์ไว้หลังหนึ่ง พื้นที่กว้างใหญ่ ตอนนี้ทั้งหมดไปถึงอย่างปลอดภัยแล้ว” นิ่งซานตอบอย่างรวดเร็ว “ก่อนหน้านี้ข้าไปลอบเฝ้าดูตลอดทาง ตอนนี้ต้วนเหมิ่งอันนำคนไปลอบคุ้มครอง”

“ไม่เลวนี่ รู้จักลอบคุ้มครองด้วย” ลู่เซิ่งพยักหน้ากล่าวอย่างพอใจ “เจ้าเลือกคนสองสามคนไปบอกเฉี่ยวเอ๋อร์ว่าพวกเขาเดินทางมาโดยสวัสดิภาพ ข้าจะไปอาคารน้อยริมแม่น้ำบูรพาที่เจ้าว่า”

“ขอรับ”

นิ่งซานขานรับเสียงดัง

ลู่เซิ่งควบม้าไปยังเมืองเลียบคีรี

วิกาลมืดสลัว แสงจันทร์ดุจผ้าโปร่ง ตลาดกลางคืนในเมืองเลียบคีรีครึกครื้น แผงปิ้งย่างและแผงขนมน้อยใหญ่ตั้งอยู่ใกล้ประตูเมือง

ผู้ใหญ่จูงมือเด็ก สตรีสวมผ้าบังหน้า บัณฑิต นายน้อย คุณหนู เด็กหญิงรับใช้ มีทั้งอ้วนผอมงามขี้เหร่ ในแสงโคมไฟสีเหลืองจางคึกคักยิ่งขึ้น

ลู่เซิ่งลดความเร็วของม้า ประตูเมืองมีพลพรรค พรรรควาฬแดงเฝ้าอยู่ เขาถามว่าอาคารน้อยแม่น้ำบูรพาไปอย่างไร หลังรู้ทางก็เร่งความเร็วขึ้นอีก

เวลาผ่านไปครึ่งก้านธูป ลู่เซิ่งก็เจอคฤหาสน์ลู่ที่กำลังจุดประทัดฉลองการย้ายที่อยู่

ประทัดระเบิดดังตูมตาม เศษประทัดสีเหลืองแดงกระจายไปทั่ว เด็กน้อยที่ชมดูความครึกครื้นล้อมวงอยู่รอบๆ

ลู่เฉวียนอันยืนอยู่ที่ประตูใหญ่ มองคนแขวนป้ายคฤหาสน์ลู่ ใบหน้าหม่นหมอง มารดาสามหวังเหยียนอวี่ถือผ้าเช็ดหน้าเช็ดน้ำตาอยู่ด้านข้าง

เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นของเมืองเลียบคีรีสองคนกำลังสนทนากับลู่เฉวียนอันอยู่ด้านข้าง

ลู่เซิ่งลงจากหลังม้า ผูกเชือกไว้กับต้นไม้ข้างทาง รอจนประทัดหมด ค่อยสาวเท้าเดินเข้าไป

“คุณชายเซิ่ง!” มีข้ารับใช้ในตระกูลลู่มองเห็นเขา พลันอุทานอย่างยินดี

“คุณชายมาแล้ว!”

“คุณชายใหญ่มาแล้ว!”

“เป็นคุณชายใหญ่!”

ทุกคนแสดงสีหน้ายินดี ตอนนี้ลู่เซิ่งเป็นเสาหลักของพวกเขา เห็นได้ถึงบารมีในตระกูลลู่ของเขา

“โอ! แผลสาหัสยิ่ง!” อาจารย์สอนวรยุทธ์ในบ้านพอเห็นจุดที่พันปิดแผลบนตัวของลู่เซิ่ง ก็อุทานออกมา

ทรวงอก ส่วนท้อง ส่วนเอว ยังมีบ่า แขน แทบทุกที่ล้วนเป็นแผล

ลุงจ้าวสีหน้าเคร่งเครียด เดินเข้าไปตรวจอย่างจริงจัง

“คุณชายเซิ่ง เป็นผู้ใดทำร้ายท่าน”

“ไม่เป็นไรลุงจ้าว ข้ามีแผน จัดการได้” ลู่เซิ่งหัวเราะ ตบไหล่ลุงจ้าว จากนั้นเดินไปถึงด้านหน้าลู่เฉวียนอัน

“ท่านพ่อ ทุกคนไม่เป็นไรกระมัง”

ลู่เฉวียนอันมองแผลบนตัวเขา ทราบว่าเป็นแผลที่คนก่อนหน้านี้ทิ้งไว้ น้ำตาพลันคลอเบ้า

เขาเสียบุตรชายไปคนหนึ่งแล้ว ถ้าหากว่าลู่เซิ่งในฐานะคุณชายใหญ่ตายไปด้วย เช่นนี้ตระกูลลู่ก็หมดความหวังอย่างแท้จริง

ตอนนี้ลู่เซิ่งเป็นเสาหลักของตระกูลลู่

ลู่เฉวียนอันจะยื่นมือไปลูบแผลลู่เซิ่ง

“ไม่เป็นไร” ลู่เซิ่งกันมือเขาไว้ “เรื่องเฉินซินข้าจะจัดการเอง อยู่ต้องเห็นคน ตายต้องเห็นศพ พวกท่านวางใจ”

“รบกวนเจ้าแล้ว น่าเสียดายพ่อไม่มีประโยชน์ ช่วยอะไรเจ้าไม่ได้.…ซ้ำร้ายกลายเป็นตัวถ่วงเจ้า” ลู่เฉวียนอันได้ยินก็ถอนใจ กลั้นน้ำตาไว้ไม่ไหว รีบใช้มือปิดไว้

“ไม่เป็นไร รอเรื่องนี้เรียบร้อยแล้ว พวกเราตระกูลลู่จะดีขึ้นเรื่อยๆ” ลู่เซิ่งปลอบ

“อือ! แน่นอน”

หลังพบกับครอบครัว ลู่เซิ่งนับว่าโล่งใจแล้ว เขาไม่ได้กลับที่พัก ให้คนไปรับเฉี่ยวเอ๋อร์กลับมาคฤหาสน์ลู่ ตนยังคงไปอยู่ที่ห้องเพาะดอกไม้

ศึกใหญ่สองสามครั้งนี้ทำให้เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าพลังไม่พอใช้แล้ว

‘พลังก่อนหน้านี้นับเป็นสุดยอดในหมู่คนธรรมดา แต่เผชิญกับสิ่งลี้ลับเหล่านี้ยังอ่อนแอเหลือเกิน’ ลู่เซิ่งกลับห้องเพาะดอกไม้ หลังจากอาบน้ำก็พักผ่อน

เขานอนบนเตียง ยิ่งคิดยิ่งร้อนใจ

‘สิ่งลี้ลับเหล่านี้ต้องทำอย่างไรจึงจะกำจัดพวกมันได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยไม่ทำให้ตัวเองบาดเจ็บ’

เขาเริ่มใคร่ครวญ

‘ดูจากผีทุกตัวที่เราเจอมา ไม่ว่าพวกมันจะร้ายกาจอย่างไร ลี้ลับขนาดไหน สุดท้ายก็ต้องเปลี่ยนเป็นการโจมตีที่จับต้องได้ จึงจะทำร้ายคนได้ บางตัวอาศัยพิษ บางตัวอาศัยอาวุธ กรงเล็บ ความแข็งแกร่งไม่ต่างจากยอดฝีมือระดับผนึกจิตมากนัก แต่รวดเร็วสุดขีด

แน่นอนว่าตัวที่เราเจอเป็นแค่ซากเดน ถ้าเจอคนจากตระกูลขุนนางเช่นเจินอี้…’ ลู่เซิ่งนึกย้อนถึงภาพที่เห็นในตอนนั้น ศีรษะเจินอี้แทบถูกจามเป็นสองส่วน ถึงกับสมานตัวด้วยความเร็วสูง จิตใจก็เย็นเยียบเล็กน้อย

พลังฟื้นฟูระดับนี้แทบเท่ากับร่างอมตะ

‘ถ้าตระกูลขุนนาง ภูตผี หรือความประหลาดลี้ลับระดับสูงต่างมีพลังฟื้นฟูที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้…เราต้องพิจารณาเพิ่มความแข็งแกร่งแก่วิชาแข็งกร้าว ปกป้องชีวิตเป็นหลัก ถ้าไม่อาจสังหารในการโจมตีครั้งเดียว ก็ได้แต่สู้ศึกถ่วงเวลา ต้องมีเงินทุนสำหรับตั้งหลักก่อน’

ลู่เซิ่งนึกถึงความเร็วอันพิสดารของสตรีโคมไฟ รวมถึงความเร็วที่เจินอี้โผล่มาด้านหลังตนอย่างกะทันหัน

‘จะรับมือความเร็วประเภทนี้อย่างไร’

ปัญหาเร็วเกินไปแทบแก้ไขไม่ได้ ลู่เซิ่งครุ่นคิดอยู่นานยังนึกไม่ออก ได้แต่เลิกราก่อน

ไม่ว่าจะกล่าวอย่างไร การยกระดับตัวเองก็ไม่เลว

เขานอนบนเตียง หยิบปิ่นเงินที่สตรีโคมไฟเหลือไว้ขึ้นมา ตอนนี้ในปิ่นเงินไม่มีปราณหยินถ่ายเทเข้ามาแล้ว

‘จำได้ว่าตอนปราณหยินเรียนรู้วรยุทธ์ขึ้นระดับหนึ่ง ในความจริงร่างกายไม่เสียพลัง ปราณ จิต หนำซ้ำหลังจากเรียนรู้ยังยกระดับขอบเขตวรยุทธ์ขึ้นขั้นหนึ่งด้วย

นี่บ่งบอกว่า เราใช้ปราณหยินยกระดับวรยุทธ์แทนได้โดยตรง!’ ลู่เซิ่งนึกถึงเรื่องนี้ สองตาเป็นประกาย

ถ้าการคาดเดานี้เป็นจริง เช่นนี้ก็หมายความว่าปราณหยินไม่เพียงเรียนรู้วรยุทธ์ได้ ยังใช้เพิ่มขอบเขตวรยุทธ์ได้ด้วย

‘ดีปบลู!’ เขารีบเรียกเครื่องมือปรับเปลี่ยน

กรอบสีน้ำเงินโผล่ขึ้นด้านหน้าเขา

สายตาลู่เซิ่งจับอยู่บนวิชาลมปราณแดงฉานด้านในอย่างรวดเร็ว

[วิชาลมปราณแดงฉาน: ระดับห้า ผลพิเศษ: เสริมพิษอัคคี แรงกระแทกสองชั้น เสริมจุดไฟ]

……………………………………….