ตอนที่ 161 ส่งมอบป้ายประจำตระกูลเฟิ่ง! + ตอนที่ 162 ข้าจะถอนหมั้น! Ink Stone_Romance
ตอนที่ 161 ส่งมอบป้ายประจำตระกูลเฟิ่ง!
ท่านผู้เฒ่าจัดแจงท่าทาง กล่าวอย่างจริงจังว่า “หลานวางใจเถอะ ปู่จะเก็บความลับนี้ไว้”
เขาเข้าใจดี ว่าหากตัวตนภูตหมอของนางแพร่งพรายออกไปจะทำให้ครึกโครมเพียงใด ตอนนี้สำหรับคนด้านนอก คนส่วนใหญ่ต่างคาดเดาว่าภูตหมอเป็นคนแคว้นอื่น หากรู้ว่าภูตหมอคือคุณหนูใหญ่จวนตระกูลเฟิ่ง จะมีเหตุร้ายตามมาเป็นธรรมดา
“หลานกับอี้เซวียนทั้งสองคน…”
ถึงเขาจะแก่ แต่ก็ไม่เลอะเลือน จึงมองออกถึงความเฉยชาที่นางมีต่ออี้เซวียนหลังจากกลับมาครั้งนี้ได้เป็นปกติ เมื่อก่อนแม่หนูติดเขามาก แต่ตอนนี้… เฮ้อ!
ฟังคำพูดนี้ ดวงตาเธอฉายแววเล็กน้อย เอ่ยว่า “เรื่องแต่งงานก็หาเวลายกเลิกเสียเถอะเจ้าค่ะ!”
“ยกเลิก? หลานพูดจริงรึ?”
ท่านผู้เฒ่าเฟิ่งนิ่งไปน้อยๆ “อี้เซวียน เด็กคนนั้นแม้เป็นท่านอ๋อง แต่พวกเราเห็นเขาเติบโตมาแต่เล็ก ไม่ว่าจะพูดถึงด้านไหนๆ ในแคว้นแสงสุริยันนี้ล้วนไม่มีใครเทียบเทียม หลานต้องการยกเลิกงานแต่งนี้จริงรึ?”
“อืม จะยกเลิกเจ้าค่ะ” เธอบอกอีกครั้ง น้ำเสียงแน่วแน่อย่างมาก
ฟังเช่นนี้ ท่านผู้เฒ่าก็ทำอะไรไม่ได้ จะไม่บังคับนาง จึงบอกว่า “ในเมื่อหลานยืนกรานยกเลิก งั้นวันหลังปู่จะเข้าวังไปหารือกับท่านเจ้าแคว้นเสียหน่อย”
“เจ้าค่ะ” เธอพยักหน้ารับ
และในเวลานี้ เหลิ่งซวงที่เฝ้าอยู่นอกประตูก็พูดเข้ามาว่า “นายท่าน องครักษ์แปดคนนั้นคอยอยู่นอกเรือน บอกว่าอยากพบท่านผู้เฒ่ากับท่านเจ้าค่ะ”
ทุกคนในห้องมองหน้ากันแวบหนึ่ง ถึงจะเดินออกไป
ประตูห้องเปิดออก เห็นทั้งแปดคนที่บ้างนั่งบ้างยืนอยู่ในสวนรวมตัวจัดแถวเรียงหนึ่งอย่างรวดเร็ว ก่อนจะคารวะด้วยความนอบน้อม “ข้าน้อยคาราวะท่านผู้เฒ่า คุณหนูใหญ่!”
“มีเรื่องอะไรรึ?” ท่านผู้เฒ่าถาม สายตามองผ่านบนร่างพวกเขาทั้งแปดคน
“ข้าน้อยแค่อยากถาม ว่าท่านผู้เฒ่าจะจัดการกับพวกเราเช่นไร? ให้พวกเราอยู่ต่อ หรือกลับไปก่อนขอรับ?” ชายหนุ่มชุดดำเอ่ยถาม สายตามองที่ท่านผู้เฒ่า
ท่านผู้เฒ่ามองเฟิ่งจิ่วแวบหนึ่ง ชะงักไปสักพัก ก็บอกกับพวกเขาว่า “พวกเจ้าอยู่ก่อนเถอะ!”
“ขอรับ” พวกเขาขานรับ มองไปยังเฟิ่งจิ่ว ดวงตาทั้งสำรวจและพินิจมองนางอย่างไม่ปกปิดแม้แต่น้อย
เฟิ่งจิ่วชำเลืองมองพวกเขา จากนั้นจึงกล่าวกับท่านผู้เฒ่า “ท่านปู่ หลานจะไปหาคนรับใช้คุยธุระนิดหน่อย ตรงนี้ท่านพ่อมีพี่ชายคอยเฝ้าคงไม่มีปัญหา ท่านก็กลับไปพักผ่อนก่อนเถอะเจ้าค่ะ!”
“ได้ ไปเถอะ!” ท่านผู้เฒ่าบอก เห็นนางสาวก้าวออกไป พลันนึกอะไรขึ้นได้ จึงรีบร้อนเรียกนางไว้ “แม่หนูเฟิ่ง รอก่อน”
เฟิ่งจิ่วที่เดินออกไปสองก้าวหันตัวกลับมามอง ก็เห็นเขาหยิบแผ่นป้ายชิ้นหนึ่งยื่นมา
“นี่คือป้ายประจำตระกูลเฟิ่ง เห็นป้ายเหมือนเห็นผู้นำ ไม่เพียงสามารถบัญชาการองครักษ์ ยังสามารถสั่งการกองทัพตระกูลเฟิ่งเราได้ด้วย จากนี้ไปป้ายนี้ส่งต่อให้หลานแล้ว ใช้มันดีๆ ล่ะ”
เห็นภาพเช่นนี้ ท่าทางแปดคนนั้นก็แปลกไป นึกไม่ถึงว่าท่านผู้เฒ่าจะส่งป้ายประจำตระกูลให้เช่นนี้ และวางใจที่จะยกทั้งตระกูลเฟิ่งไว้ในมือคุณหนูใหญ่?
เฟิ่งจิ่วก็แปลกใจอยู่บ้าง เอ่ยถามว่า “ของชิ้นนี้มาอยู่กับท่านปู่ได้เช่นไร? ไม่ได้อยู่กับท่านพ่อทางนั้นรึเจ้าคะ?”
“เหอะๆ พ่อเจ้านั้นเป็นลูก ส่วนปู่นี้เป็นพ่อ เจ้านี่ถึงจะมีประโยชน์มากกว่า” ท่านผู้เฒ่าลูบเคราพลางเอ่ยอย่างภูมิใจ
ได้ยินคำพูดนี้ มุมปากเฟิ่งจิ่วก็ยกขึ้น “มีของเช่นนี้อยู่ในมือ ท่านปู่ยังกังวลว่าองครักษ์จะตกอยู่ในมือซูรั่วอวิ๋นอีกรึเจ้าคะ?”
“เหอะๆ หลานก็เป็นสมบัติ แน่นอนว่าจะตกอยู่ในมือผู้อื่นไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้น ถึงป้ายนี้จะสามารถบัญชาการองครักษ์ได้ แต่ที่ยิ่งสำคัญกว่าคือการยอมรับจากพวกองครักษ์” เขามองทั้งแปดคนนั้นอย่างมีความนัยชี้แนะ ดวงตาเผยรอยยิ้มชาญฉลาด
เขาเชื่อ ว่าด้วยฝีมือแม่หนูเฟิ่ง จะต้องทำให้พวกเขาแต่ละคนต่างยินยอมพร้อมใจสวามิภักดิ์ต่อนางแน่นอน!
……………………………
ตอนที่ 162 ข้าจะถอนหมั้น!
เฟิ่งจิ่วยิ้มอย่างอดไม่ได้ สายตากวาดมองแปดคนนั้นที่มองมา แล้วเอ่ยว่า “หลานจะเก็บป้ายไว้ ส่วนพวกเขา รอหลานว่างๆ ค่อยว่ากัน” สิ้นสุดน้ำเสียง ก็เคลื่อนก้าวเดินออกไป
เธอที่กลับมาถึงจวนตระกูลเฟิ่งลงมือสะสางคนที่ซูรั่วอวิ๋งทิ้งไว้ เวลาสั้นๆ แค่สามวัน ก็จัดระเบียบภายในจวนทั้งหมดใหม่ และในเวลาสามวันนี้ ร่างกายเฟิ่งเซียวก็ค่อยๆ ฟื้นตัวขึ้นมา
เช้าตรู่วันนี้ เฟิ่งจิ่วรำไทเก๊กอยู่ในสวน เห็นเหลิ่งซวงเดินเข้ามา “นายท่าน ท่านอ๋องสามมาหา บอกว่าอยากพบท่าน ท่านผู้เฒ่าจึงให้ท่านไปพบเจ้าค่ะ!”
เธอเก็บมือลงถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนจะบอกว่า “รู้แล้ว ข้าเปลี่ยนเสื้อผ้าค่อยออกไป” ระหว่างพูดก็เดินเข้าไปในห้อง ฝีเท้ากลับชะงัดลง ถามว่า “จริงด้วย หลายวันนี้พี่ชายข้าอยู่ตลาดมืดเป็นเช่นไรบ้าง?”
“คุณชายสบายดีเจ้าค่ะ นายท่านไม่ต้องกังวล ทางตลาดมืดด้านนั้นข้ากำชับไปแล้วเจ้าค่ะ”
“อืม งั้นก็ดี” นางถึงจะพยักหน้า หลังจากเข้าห้องไปเปลี่ยนชุดก็เดินออกมา พาเหลิ่งซวงไปยังห้องโถงด้านหน้า
ในห้องโถงด้านหน้า
“อี้เซวียนเอ๊ย! ข้ารู้ว่าเจ้าเก่งกาจนัก และข้าก็พอใจเจ้ามาก แต่แม่หนูเฟิ่งพูดถึงเพียงนี้ ข้าเป็นแค่ปู่ ปกติก็พูดอะไรไม่ได้มาก ดังนั้น วันนี้ข้าจึงบอกเจ้าไว้ก่อนเสียหน่อย วันหน้าข้าจะเข้าวังไปกราบเรียนกับท่านเจ้าแคว้นว่าจะยกเลิกการแต่งงานของพวกเจ้า”
ได้ยินเช่นนี้ มู่หรงอี้เซวียนก็มองเขา กล่าวว่า “ท่านปู่เฟิ่งขอรับ ท่านอย่าเพิ่งเข้าวังไปก่อน รอข้าคุยกับชิงเกอแล้วค่อยว่ากันนะขอรับ!”
วันนั้นเป็นเขาที่อยากยกเลิกงานแต่ง ตอนนี้กลับเป็นนางที่อยากยกเลิก เพราะเขาจำนางไม่ได้ จึงโกรธเคืองเขารึ?
“ท่านปู่”
เสียงหนึ่งลอยเข้ามาจากด้านนอก มู่หรงอี้เซวียนหันกลับไปมอง พอเห็น สายตาก็หรี่ลงเล็กน้อย
สาวน้อยชุดขาวเดินย้อนแสงเข้ามา ท่วงท่าสละสลวย กลิ่นอายประกายสง่างามทำให้ทั่วร่างดูงดงามราวนางฟ้า แต่เมื่อเห็นใบหน้านั้น ความตื่นตาก่อนหน้านี้กลับสูญสลายตามไปอย่างไร้ร่องรอย
นั่นคือใบหน้าที่เต็มไปด้วยแผลเป็น มองไม่รูปลักษณ์เดิมไม่ออก ผิวหนังบนใบหน้าแทบจะถูกทำลายสิ้น น่าสยดสยองยิ่งนัก ขนาดเขาเห็น หัวใจยังห่อเหี่ยวอย่างอดไม่ได้
มีทั้งความเจ็บปวด ความสงสาร ความตกใจและความตกตะลึง
เขาไม่เคยรู้ ว่าใบหน้านางจะเสียโฉมไปหมดเช่นนี้…
“แม่หนูเฟิ่ง เจ้ามาแล้วรึ?”
ท่านผู้เฒ่ามองนาง ดวงตาหรี่ลง เผยรอยยิ้มออกมา เขายืนตัวขึ้นมองไปที่มู่หรงอี้เซวียน เอ่ยว่า “พวกเจ้าสองคนลองคุยกันดีๆ เถิด!” ระหว่างที่พูด ก็เดินออกไปก่อน
“ชิงเกอ พวกเราแต่งงานกันเถอะ!” เขามองนาง พลางบอกเจตนารมณ์ออกมา
ฟังเช่นนี้ เฟิ่งจิ่วก็เหลือบมองเขาแวบหนึ่ง กล่าวว่า “หรือท่านปู่ยังไม่ได้บอกท่าน ว่าข้าต้องการถอนหมั้น?” เธอเดินมานั่งลงตรงตำแหน่งที่นั่งอาวุโส แล้วคนรับใช้ก็ยกน้ำชามาให้
“ข้าไม่สนใจที่ใบหน้าเจ้าเสียโฉม” เขานึกว่า เพราะใบหน้านางเสียโฉมถึงอยากถอนหมั้น อันที่จริง เมื่อก่อนนางเชื่อใจเขา ความรู้สึกเช่นนั้น แค่บอกจะตัดใจก็ตัดเลยได้อย่างไรเล่า?
ได้ยินคำพูดนี้ เฟิ่งจิ่วก็ยิ้ม “ข้าว่าท่านเข้าใจผิดแล้ว ข้าไม่ได้จะถอนหมั้นเพราะใบหน้าเสียโฉม แต่เพราะข้าเพิ่งรู้ตัวว่าไม่ได้รักท่าน ดังนั้นจึงอยากถอนหมั้น”
น้ำเสียงเธอเฉยเมย ท่าทางมีความสง่างามและเฉื่อยชา ไม่มีความกระวนกระวายและน้อยเนื้อต่ำใจที่ต้องเผยใบหน้าเสียโฉมต่อหน้าเขาเลยสักนิด
“ข้าไม่เชื่อ”
แววตาเขามองมั่นที่นาง “ข้าไม่เชื่อว่าเจ้าไม่รักข้า ความรู้สึกตั้งหลายปีนั้นของพวกเรา แค่บอกว่าไม่รักก็จะไม่รักกันได้อย่างไรเล่า?”
เฟิ่งจิ่วมองเขาแปลกๆ บอกว่า “เดิมทีท่านก็คิดจะถอนหมั้นไม่ใช่รึ? แล้วมันมีอะไรต่างกันรึ?”
………………………………