บทที่ 72 พบหัวหน้าคณะนักแสดงในกุ้ยหลิง Ink Stone_Romance
“พ่อหนุ่ม” ซ่งชูอีตบๆ ไหล่ของเขา เอ่ยด้วยความจริงจัง “จงจำไว้หากเจอแม่น้ำให้หาสะพานก่อน…”
มุมปากหลงกู่ปู้วั่งกระตุกเล็กน้อย “ทว่าก่อนหน้านี้ท่านยังพูดกับข้าเรื่องแม่น้ำสายชลมากมายถึงเพียงนั้น!”
“อ๋อ นั่นเพื่อฝึกฝนความสามารถในการใช้วิจารณญาณของเจ้า สงครามในปัจจุบัน ทั้งผู้คน เรื่องราวและสิ่งต่างๆ ที่สามารถส่งผลกระทบต่อเจ้านั้นมีมากเหลือเกิน คำพูดเพียงไม่กี่คำของข้าจะเทียบได้เยี่ยงไร? ทว่าข้ากลับมีอิทธิพลต่อการตัดสินของเจ้าอย่างง่ายดาย นี่เป็นสิ่งที่ควรพิจารณาหรือไม่?” ซ่งชูอียิ้มพร้อมมองเขา
ครั้งนี้หลงกู่ปู้วั่งมิได้รู้สึกว่าถูกดูแคลน แต่คำนับด้วยความนอบน้อม “ปู้วั่งน้อมรับคำสอน”
หลายวันมานี้ หลงกู่ปู้วั่งไตร่ตรองคำเย้าแหย่ที่ซ่งชูอีมีต่อเขาอย่างละเอียดถี่ถ้วน และมักจะสามารถเจอข้อบกพร่องที่เขาเผยออกมาอยู่เสมอ ไม่ว่ามันจะได้ผลจริงหรือไม่ ทว่าอย่างน้อยภายในระยะเวลาสั้นๆ ความอดทนของเขาก็ดีขึ้นไม่น้อย
ซ่งชูอีมองน้ำตกที่ถูกแช่แข็ง เอ่ยขึ้นเชื่องช้า “ปู้วั่ง ไม่ว่าจะทำการใด จำต้องมีหัวใจที่แน่วแน่ ไม่สะทกสะท้าน ไม่วอกแวก”
หลงกู่ปู้วั่งซาบซึ้งในคำพูดของซ่งชูอีเล็กน้อย เงยหน้าขึ้นมองใบหน้าด้านข้างของซ่งชูอี ตั้งแต่ที่เขารู้สึกซ่งชูอีก็ไม่เคยเห็นเห็นนางจริงจังและมีสมาธิเช่นนี้มาก่อน ซึ่งทำให้รู้สึกอึดอัดเล็กน้อย
“ได้ยินว่าเมื่อคืนอาจารย์บันดาลโทสะ ไม่ทราบว่าด้วยเรื่องใด?” หลงกู่ปู้วั่งถาม
ซ่งชูอีหาว พ่นควันสีขาวออกมา เอ่ยขึ้นอย่างเกียจคร้าน “หลับฝันกลางดึก คิดว่าระยะหลังนี้เจ้ามิได้มีความเพียรพยายามใดเลย ในฐานะอาจารย์ ข้าคิดว่าจำเป็นต้องระบายโทสะเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นจึงระบายออกไปหน่อย เพื่อแสดงให้เห็นว่าข้าเห็นความสำคัญของเจ้ามาก”
นี่มันคำพูดอะไรกัน? หลงกู่ปู้วั่งไม่เห็นประเด็นสำคัญในคำพูดเลย เพียงรู้สึกเลือนรางว่านี่เป็นการเยาะเย้ยว่าตนโง่เขลา ทว่าระยะหลังนี้เขาฝึกความอดทนได้ไม่เลว จึงถามต่อไป “เช่นนั้นเหตุใดอาจารย์จึงขุ่นเคืองไป๋เริ่น?”
“เฮ้อ!” ซ่งชูอีถอนหายใจอย่างแรง เอ่ยขึ้นเชื่องช้า “ข้าฝึกฝนไปเริ่นเพียงสามวัน มันก็เริ่มรับรู้ได้ไว ข้ารู้สึกว่านี่เป็นการดูแคลนสติปัญญาของเจ้า ด้วยเหตุนี้จึงขุ่นเคืองยิ่งกว่าเดิม ทว่าเจ้าก็ปล่อยวางเสียบ้างเถิด อันที่จริงสิ่งที่ไป๋เริ่นเรียนรู้ล้วนเป็นสิ่งง่ายๆ มิได้ลึกซึ้งเช่นที่เจ้าเรียนรู้”
ซ่งชูอีมองหลงกู่ปู้วั่งด้วยสายตาประเภท “ดูเถิดว่าอาจารย์ใส่ใจเจ้าเพียงใด”
หลงกู่ปู้วั่งจ้องนางเขม็ง สูดหายใจลึก สูดหายใจลึกอีก…ทันใดนั้นก็คำราม “วันนี้ห้ามใครพูดกับข้าทั้งสิ้น!”
คำรามจบ ก็ถอยหลังกลับเข้ารถไป
“ช่างไม่ปล่อยวางจริงๆ” ซ่งชูอีส่ายหน้า คิดในใจ เหตุใดเด็กคนนี้จึงไม่เชื่อฟังเสียที? ทั้งๆ ที่รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ ก็ยังส่งมาให้ผู้อื่นเหยียบย่ำ
“เดินทางได้แล้วขอรับท่าน” จี๋อวี่เข้ามาเอ่ย
ซ่งชูอีพยักหน้า มองรอบทิศ พ่นพึมพำ “ไม่รู้ว่าที่ดืนผืนนี้มีเจ้าของหรือไม่”
จี๋อวี่ไม่ประหลาดใจกับความหมกมุ่นของซ่งชูอีนานแล้ว หลังจากส่งนางขึ้นรถ ก็สั่งให้คนออกเดินทางไปยังกุ้ยหลิง
กุ้ยหลิงเป็นนครที่ใหญ่ที่สุดในรอบรัศมีสิบกว่าลี้ กำแพงดินสูงสามจั้งถูกล้อมรอบด้วยทหารรักษาพระองค์ ครั้นขบวนรถมาถึงนอกเมือง ก็มีขบวนรถพ่อค้ามากมายตั้งแถวอยู่นอกประตูเมืองที่เพิ่งเปิดได้ไม่นานแล้ว
กุ้ยหลิงเป็นนครที่อยู่ใกล้กับชายแดนของรัฐเว่ย อีกทั้งยังใกล้นครหลวงต้าเหลียง มีบทบาทในการปกป้องนครหลวง ด้วยเหตุนี้การปกป้องอันเข้มงวดจึงไม่ด้อยไปกว่าต้าเหลียง กว่าจะได้เข้านครก็เป็นเวลาเที่ยงแล้ว
ที่นี่ไม่เหมือนกับไป๋หม่า ไม่มีจุดพักม้าที่ให้ขบวนพ่อค้าได้หยุดพักโดยเฉพาะ หากเป็นขบวนรถในนครที่ไร้คนดูแลก็จะต้องหยุดที่นี่ ไม่อนุญาตให้ตั้งค่ายพร่ำเพรื่อ
จี๋อวี่ตามขบวนรถข้างหน้ามาตลอดทาง เจอจุดพักม้าได้อย่างง่ายดาย ทว่า เมื่อมองดูลานที่คราคร่ำไปด้วยผู้คนแล้ว จี๋อวี่ก็ขี่ม้าไปยังรถของซ่งชูอี ก้มศีรษะถาม “ท่าน จุดพักม้าคนเยอะเกินไป พวกเราจะเข้าไปหรือไม่?”
“เข้า ทำตัวกระปรี้กระเปร่า ดูแลสินค้าให้ดี เจ้าพาคนไปซื้ออาหารชดเชยในส่วนที่ขบวนรถต้องการเถิด” ซ่งชูอีกล่าว
จี๋อวี่คิดว่ามันต้องเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว ด้วยความเร็วของซ่งชูอีในการการรับคนมานั้นทำให้การบริโภคอาหารเป็นไปอย่างรวดเร็ว เขาตอบรับเสียงหนึ่ง ชี้ให้ขบวนรถเข้าไปยังจุดพักม้า บัดนี้ห้องเต็มแล้ว จี๋อวี่จึงหาพื้นที่ว่างเปล่าแล้วสั่งให้ขบวนรถพักผ่อนสักครู่ ส่วนตัวเองก็พาคนไปซื้ออาหาร
ซ่งชูอีนอนอยู่ในรถม้าหลายรอบแล้ว ในเวลานี้จึงหยิบเนื้อที่ปรุงสุกแล้วมาแหย่ไป๋เริ่นด้วยความเบื่อหน่าย
หลังจากผ่านการฝึกซ้อมอยู่หลายวัน…บัดนี้ไป๋เริ่นมีนิสัยคล้ายกับซ่งชูอีมาก ครั้นซ่งชูอีหยิบเนื้อออกมาก็ขี้คร้านที่จะเปลืองแรงไปแหย่ไป๋เริ่น ไป๋เริ่นรู้ดีกว่าช้าเร็วเนื้อชิ้นนั้นก็จะเป็นของมัน จึงนั่งหมอบอ้าปากรอให้ชิ้นเนื้อตกลงมา
เจียนนั่งอยู่ในมุมรถ มองดูภาพนิ่งระหว่างคนกับหมาป่า รู้สึกสงสัยในใจ
ซ่งชูอีฟังเสียงดังข้างนอกอย่างสบายใจ หาบทสนทนาน่าสนใจเพื่อฆ่าเวลา
“เหตุใดท่านผู้ยิ่งใหญ่ก็มายื้อแย่งจุดพักม้ากับพวกข้าเล่า? คราวนี้ไม่มีสาวงามจริงหรือ?” น้ำเสียงป่าเถื่อนเสียงหนึ่งหัวเราะเอ่ย
“มิบังอาจ ข้าหัวหน้าคณะเพียงค้าขายมนุษย์ มิอาจเป็นผู้ยิ่งใหญ่” หญิงสาวเอ่ยเสียงเบา
ซ่งชูอีมือสั่น ชิ้นเนื้อร่วงเข้าสู่ปากของไป๋เริ่น นางไม่ทันสวมเสื้อคลุมด้วยซ้ำก็วิ่งลงจากรถม้าไปอย่างเร่งรีบ ยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชน พลางกวาดสายตามองหา พลางจับตำแหน่งของบุคคลที่กำลังสนทนา
“ได้ยินว่าท่านหัวหน้าคณะประสบภัยในรัฐซ่งหรือ?”
ทันทีที่ซ่งชูอีได้ยินประโยคนี้ก็หันไปตามเสียงทันที สายตาก็ไปหยุดอยู่ที่สาววัยกลางคนในชุดคลุมยาวฉวี่จวีสีม่วงเข้ม นางคือหัวหน้าคณะนักแสดงจริงๆ!
ซ่งชูอีดีใจยิ่ง เดินเข้าไปหานางอย่างเชื่องช้า
หลงกู่ปู้วั่งชมความครึกครื้นอยู่ภายในรถ ทันใดนั้นก็เห็นซ่งชูอี แม้นย่างก้าวของนางไม่รีบร้อน ทว่าไม่รู้ว่าเพราะอะไร หลงกู่ปู้วั่งสามารถรู้สึกได้ถึงความร้อนรนของนาง อดไม่ได้ที่จะโน้มตัวใกล้หน้าต่างด้วยความสงสัย รอดูการกระทำลำดับต่อไปของนาง
“หัวหน้าคณะ” ซ่งชูอีหยุดห่างออกไปหนึ่งจั้ง
นางหยุดคุยแล้วมองมา
คราวก่อนที่หัวหน้าคณะเจอซ่งชูอี ผมเผ้าของนางยุ่งเหยิง ใบหน้าเปรอะเปื้อน เผยเพียงแขนขาผอมบางให้เห็น นางมองปราดเดียวก็ดูออกว่าเป็นเด็กผู้หญิง รู้เพียงว่าหน้าตานางธรรมดาทั่วไป จึงไม่ใคร่ใส่ใจนัก บัดนี้พบหน้ากันก็จำมิได้ คลับคล้ายคลับคลาว่าคุ้นหน้าเท่านั้น
“พวกเรามิเคยพบกัน” ซ่งชูอียิ้มขัดจังหวะความคิดของนาง กล่าวต่อ “ข้ามีพี่ชายท่านหนึ่ง ครอบครัวประสบเคราะห์ ไม่ทราบชะตากรรม ข้าเสาะหาจนทั่ว…หากท่านรู้ข่าวคราว ได้โปรดบอกข้าด้วยเถิด ข้าจักขอบพระคุณเป็นอย่างสูง”
หัวหน้าคณะขมวดคิ้วเล็กน้อย นางซื้อขายผู้ชายมากเกินไปแล้ว จะรู้ได้เยี่ยงไรว่าซ่งชูอีหมายถึงพี่ชายคนไหน?
“พี่ชายของข้าท่านนั้นหายตัวไปในรัฐซ่ง เขามีหน้าตาหล่อเหลาที่หาได้ยากยิ่งในใต้หล้า” ซ่งชูอีเตือนความทรงจำ
คำว่าหาได้ยากยิ่งในใต้หล้านั้นเกินจริงอยู่บ้าง ทว่าซ่งชูอีคิดว่า หัวหน้าคณะคงมิเคยเห็นชายใดที่รูปงามกว่าเจ้าอี่โหลวอีกแล้ว
หัวหน้าคณะมองสำรวจเด็กหนุ่มตรงหน้าเล็กน้อย รู้สึกว่าเมื่อเขายืนอยู่ท่ามกลางกลุ่มพ่อค้าแล้วให้ความรู้สึกค่อนข้างแปลกแยก จึงคิดว่าไม่ใช่พ่อค้าแน่
นางจำเด็กหนุ่มรูปงามชื่อเจ้าอี่โหลวที่พบในรัฐซ่งโดยบังเอิญได้ หากมาจากสกุลเจ้าจริง สถานะจะต้องสูงส่งมาก การที่ครอบครัวออกตามหาก็มิใช่เรื่องแปลก
เมื่อคิดเช่นนี้ หัวหน้าคณะคุกเข่าคำนับ เอ่ยขึ้น “ข้าพบพ่อหนุ่มรูปงามท่านหนึ่งในรัฐซ่งจริง ขณะนั้นเขาบาดเจ็บสาหัส ข้าสงสารเขาจับใจจึงพาเขาร่วมเดินทางด้วย ใครจะรู้ว่าพบฝูงหมาป่า ทำให้เขาหายสาบสูญ…ทว่า นั่นเป็นหมาป่าฝูงใหญ่ เกรงว่าจะเป็นลางร้าย”
ซ่งชูอีมองนางเฉยเมย กำลังคิดแยกแยะว่าคำพูดนี้จริงเท็จกี่ส่วน
…………………………