ตอนที่ 205 ต้องใส่พริกมาหน่อยถึงจะเป็นอาหารรสเผ็ด / ตอนที่ 206 น้ำจิ้มเปรี้ยวเผ็ด

คู่มือเศรษฐีของหมอหญิงบ้านนา

ตอนที่ 205 ต้องใส่พริกมาหน่อยถึงจะเป็นอาหารรสเผ็ด

ไป๋จื่อเช็ดเหงื่อที่ผุดออกมาบนหน้าผาก พลางยิ้มกริ่ม “ข้ายังมีอาหารอีกสองจานต้องทำพอดี เจ้ายืนดูอยู่ข้างๆ แล้วกัน ไม่เข้าใจตรงไหนก็ถามข้า”

นางคิดว่าในเมื่อมาเรียนทำอาหาร ความสามารถพื้นฐานเป็นสิ่งที่ควรมี เมื่อมีความสามารถพื้นฐานแล้ว คอยดูวิธีการของนางไปทีละขั้นตอน เช่นนั้นก็จะเรียนรู้ได้เร็ว

เพียงแต่นางคิดไม่ถึงเลยว่า หลังจากทำอาหารสองจานนี้เสร็จ เด็กสาวที่อยู่ข้างกายกลับปิดจมูกอยู่ตลอด อย่างไรก็ไม่เข้ามาใกล้แม้สักหน่อย และไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วนางเข้าใจบ้างหรือไม่

ไป๋จื่อตักอาหารขึ้นจากในกระทะ แล้วถึงยกไปตรงหน้าตงเอ๋อร์ “อยากชิมดูหรือไม่”

ตงเอ๋อร์เป็นคนเมืองชิงหยวนขนานแท้ ชินกับอาหารรสอ่อนๆ มาตั้งแต่เล็ก ครั้นเห็นอาหารที่มีน้ำมันสีแดงจานนี้ นางจึงไม่กล้าชิมโดยสิ้นเชิง เอาแต่ส่ายหน้าไม่ยอมหยุด “ไม่ๆๆ ขอบคุณความหวังดีของแม่นาง แต่ข้าไม่ชอบกินเผ็ด”

เมื่อได้ยินดังนั้น ไป๋จื่อตะลึงไปเล็กน้อย แม้แต่ชิมก็ไม่กล้าหรือ แล้วนางจะเรียนรู้การทำอาหารรสเผ็ดได้อย่างไร แม้แต่รสชาติของอาหารรสจัดก็ไม่รู้จัก แล้วจะทำอาหารที่อร่อยออกมาได้อย่างไร

ทีแรกไม่ได้พิจารณาเด็กสาวผู้นี้อย่างละเอียด แต่เมื่อมองให้ชัดเจนแล้ว แม้เด็กสาวผู้นี้จะสวมเสื้อผ้าของสาวใช้ ทำผมอย่างประณีต บนตัวก็สะอาดเอี่ยม ทั้งยังประดับเครื่องหัวที่สวยงาม ทว่าท่าทางยามปิดจมูกของนาง ราวกับรังเกียจสภาพแวดล้อมในห้องครัวอย่างยิ่ง

แม่ครัวที่อยู่ข้างๆ เดินเข้ามา ยื่นมือไปรับปลาผัดเผ็ดจากในมือของไป๋จื่อ พลางยิ้มว่า “แม่นางตงเอ๋อร์เป็นสาวใช้ข้างกายของคุณหนูใหญ่ สถานที่เช่นห้องครัวนี้ ปกติแล้วไม่ยอมย่างกรายเข้ามา วันนี้ห้องครัวของพวกเรานับว่าได้รับความเปล่งประกายของแม่นางไป๋ ถึงทำให้แม่นางตงเอ๋อร์เข้ามาอยู่ที่แห่งนี้ได้ตั้งนาน”

วาจาของแม่ครัวช่างน่าสนใจนัก เพียงแค่สองสามประโยคก็ทำให้เข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง ไป๋จื่อพอจะรู้เรื่องบ้างแล้วเหมือนกัน จึงไม่ได้กล่าวอะไรให้มากความ เพียงแค่ยิ้มจางๆ ถามว่า “แม่นางตงเอ๋อร์ทำเป็นแล้วกระมัง”

ตงเอ๋อร์โบกมือ “ก็ไม่มีอะไรยาก แค่ใส่พริกให้มากหน่อยเท่านั้น”

ที่นางพูดก็ถูกต้อง ทำอาหารรสเผ็ดก็ต้องใส่พริกมากหน่อย แต่จะใส่พริกก็ต้องมีหลักการ ไม่ใช่ว่าใส่พริกลงไปตามใจชอบแล้วจะทำให้รสชาติดีขึ้น

แน่นอนว่าศาสตร์การทำอาหารไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่จะใช้คำกล่าวเพียงสองสามประโยคก็เข้าใจได้ โดยเฉพาะคนที่ไม่เชี่ยวชาญในการทำอาหาร

ไป๋จื่อก็ไม่ใช่คนโง่ ย่อมไม่มีทางเปลืองน้ำลายเพราะเรื่องที่ไม่มีความหมายพรรค์นี้ “ในเมื่อแม่นางตงเอ๋อร์ทำเป็นแล้ว เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน” แม่ครัวส่งอาหารไปให้ทางใต้เท้าเมิ่งก่อนแล้ว ส่วนไป๋จื่อไปล้างหน้า แล้วค่อยจัดผมเผ้า จากนั้นนางก็ดมกลิ่นควันที่ติดกาย ก่อนจะถอนใจว่าเครื่องดูดควันช่างเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่ยิ่งใหญ่จริงๆ

ในยุคปัจจุบัน ถึงแม้ปกติจะทำอาหารอยู่ในห้องครัว ก็จะไม่มีกลิ่นควันติดตัวมากเช่นนี้ ผมยิ่งไม่ต้องมันย่องเพราะทำอาหารเพียงครั้งเดียว

แม่ครัวยกอาหารมาถึงห้องโถงในเรือนของใต้เท้าเมิ่ง หลังจากยกอาหารจานสุดท้ายวางลงบนโต๊ะแล้ว นางก็ถือโอกาสกวาดสายตามองจานที่เหลือบนโต๊ะ นอกจากจานผัดผักธรรมดาแล้ว อาหารจานอื่นอันตรธานหายไปจนเกือบเกลี้ยง

บวกกับอาหารจานที่เพิ่งยกขึ้นโต๊ะนี้ ทั้งหมดมีอาการหกอย่าง น้ำแกงหนึ่งอย่าง บุรุษสามคนนี้ช่างกินเก่งเสียจริง

เมิ่งหนานเห็นหูเฟิงคีบอาหารใส่จานเปล่าใบหนึ่งอยู่ตลอด ทุกครั้งที่อาหารจานใหม่มาถึง เขาก็จะคีบมันใส่ในจานเปล่าใบนั้น ทว่าไม่ได้กิน แค่คีบมาวางไว้ใกล้ๆ ตัวเท่านั้น

“เหตุใดเจ้าถึงเก็บอาหารไว้มากเช่นนั้น ไม่กินก็ส่งมาให้ข้า” เมิ่งหนานยื่นมือไปทางหูเฟิง

หูเฟิงเหลือบมองเขาครั้งหนึ่ง ก่อนจะกล่าวเสียงเย็น “ข้าเก็บไว้ให้ไป๋จื่อ”

จินเสี่ยวอันกลืนเนื้อกระต่ายนุ่มๆ ลงคอไป แล้วพยักหน้าให้หูเฟิง “ควรจะเก็บไว้ให้นางจริงๆ นางทำอาหารลำบากถึงเพียงนั้น จะเหลือเศษอาหารให้นางคงจะไม่ดีกระมัง”

………..

ตอนที่ 206 น้ำจิ้มเปรี้ยวเผ็ด

เมิ่งหนานมองจานที่อาหารหมดไปจนเกือบเกลี้ยงบนโต๊ะ ในใจรู้สึกตำหนิตนเองอยู่บ้าง เหตุใดเขาถึงไม่คิดถึงเรื่องนี้เลย

ไป๋จื่อเป็นสหายของเขา ไม่ใช่แม่ครัวในจวนของเขา นางทำอาหารให้เขาด้วยน้ำใจ ไม่ใช่ด้วยหน้าที่

ว่ากันตามตรงแล้ว พวกเขาควรรอนางมาก่อนค่อยลงมือกิน ไม่ใช่เหลือเศษอาหารเต็มโต๊ะให้คนที่ลำบากที่สุด

เขาเป็นคุณชายในตระกูลร่ำรวยมานาน แต่ลืมแม้กระทั่งมารยาทพื้นฐานเช่นนี้ไปจนสิ้น

ไป๋จื่อเข้ามาจากข้างนอก เห็นเมิ่งหนานนั่งเหม่ออยู่หน้าโต๊ะ จินเสี่ยวอันก็กำลังกุมท้องพิงเก้าอี้ ส่วนหูเฟิงกำลังยกชาขึ้นดื่ม

“เป็นอย่างไรเจ้าคะ ไม่อร่อยหรือ เหตุใดไม่กินกันแล้วเล่า”

จินเสี่ยวอันหันหน้ามา พลางยิ้มเบิกบาน “ขอโทษนะแม่นางไป๋ เป็นเพราะหิวเกินไป อีกทั้งอาหารของเจ้าอร่อยยิ่งนัก พวกข้าอดใจไม่ไหว จึงลงมือกินก่อน”

ไป๋จื่อนั่งลงด้านขวาของหูเฟิง จานบนโต๊ะส่วนใหญ่ล้วนว่างเปล่าแล้ว เหลือเพียงส่วนผสมสำหรับปรุงรสที่ก้นจาน

“พวกท่านชอบก็ดีแล้วเจ้าค่ะ สิ่งที่คนทำอาหารเห็นแล้วดีใจมากที่สุด ก็คือการที่อาหารของตนเองได้รับการต้อนรับอย่างดี”

จินเสี่ยวอันรีบกล่าว “ต้อนรับสิ ต้อนรับเป็นอย่างยิ่งเลย ถ้าได้กินทุกวันก็คงดี”

เด็กสาวส่ายหน้า “นั่นเกรงว่าจะไม่ได้เจ้าค่ะ แม้ข้าจะชอบทำอาหาร แต่ไม่ได้ชอบการเป็นแม่ครัว การทำอาหารเป็นงานอดิเรกของข้า แต่ไม่ใช่งานที่ข้าชอบ ต่อไปหากพวกท่านอยากกินอาหารฝีมือข้า ได้โปรดมาที่หมู่บ้านหวงถัวของข้านะเจ้าคะ มื้อนี้นับเป็นคำขอบคุณที่ข้ามอบให้พี่เมิ่ง ขอบคุณที่วันนั้นท่านเสียสละตนเองช่วยข้าไว้”

เมื่อพูดถึงเรื่องในวันนั้น จนถึงตอนนี้เมิ่งหนานยังคงไม่เข้าใจ ว่าความกล้าหาญในวันนั้นของตนโผล่มาจากที่ใด หากเกิดเหตุการณ์เช่นนั้นซ้ำอีกครั้ง เขาจะยังกล้าหาญเหมือนในวันนั้นหรือไม่

“เจ้าเป็นสตรี ข้าเป็นบุรุษ บุรุษต้องปกป้องสตรี นับเป็นครรลองตามธรรมชาติ อีกอย่าง พวกเราเป็นสหายกัน เจ้าช่วยข้า ข้าช่วยเจ้า ล้วนเป็นสิ่งที่สมควรแล้ว”

สายตาเย็นชาของหูเฟิงกวาดมองเมิ่งหนานครั้งหนึ่ง ก่อนจะเบะปาก “กินข้าวเถอะ ข้าเก็บไว้ให้เจ้าด้วย” เขาดันจานที่ใส่อาหารจนเต็มไปตรงหน้าไป๋จื่อ ก่อนจะส่งตะเกียบคู่หนึ่งให้นางด้วย

ไป๋จื่อรับตะเกียบไปอย่างเป็นธรรมชาตินัก และถือโอกาสคีบเนื้อกระต่ายชิ้นหนึ่งเข้าปาก หลังจากเคี้ยวไปแล้ว นางก็มุ่นคิ้วเล็กน้อย “ยังขาดอะไรไปบางอย่าง ถ้ามีน้ำจิ้มเปรี้ยวเผ็ดน่าจะดีกว่านี้ รสชาติยังดีกว่านี้ได้อีก”

จินเสี่ยวอันฟังแล้วก็ตาเป็นประกาย “น้ำจิ้มเปรี้ยวเผ็ดคืออะไรหรือ ข้าได้ยินแล้วรู้สึกดียิ่งนัก จะต้องอร่อยมากแน่”

ใครจะไปคิดว่าองครักษ์จินที่ปกติดูดุดัน กลับเป็นคนช่างกินที่ไม่เลือกกินอะไรเลยสักอย่างเช่นนี้

“น้ำจิ้มเปรี้ยวเผ็ดเป็นน้ำจิ้มเผ็ดที่มีเอกลักษณ์อย่างยิ่งชนิดหนึ่งเจ้าค่ะ ข้าทำเป็น ทว่าต้องใช้เวลา วันหน้าหากมีเวลาว่างจะทำส่งให้พวกท่านสักหน่อยนะเจ้าคะ” ไป๋จื่อกล่าว

“อ้อ จริงสิ ตอนที่ข้าทำอาหารอยู่ในห้องครัวเมื่อคู่ เด็กสาวนามตงเอ๋อร์ เรียกตัวเองว่าเป็นสาวใช้ของคุณหนูใหญ่ผู้หนึ่ง เฝ้าดูอยู่ข้างๆ ยามที่ข้าทำอาหารอยู่ตลอด บอกว่าต้องการเรียนทำอาหารที่ข้าทำให้พวกท่าน ถึงเวลาหนึ่งพวกท่านอยากกินอาหารเผ็ดร้อนเช่นวันนี้ ไปหาคุณหนูใหญ่ก็ใช้ได้แล้วเจ้าค่ะ”

จินเสี่ยวอันกำลังดื่มชา เมื่อได้ยินไป๋จื่อกล่าวเช่นนั้น เขาก็พ่นน้ำชาในปากออกมาในทันที อีกทั้งยังพ่นใส่หน้าของเมิ่งหนานอย่างพอดิบพอดีเสียด้วย

ไป๋จื่อรีบหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาจากในอกเสื้อ กลั้นหัวเราะพลางส่งไปตรงหน้าของเมิ่งหนาน “เช็ดเร็วเจ้าค่ะ พี่จินไม่ได้ตั้งใจ ท่านอย่าถือโทษเขาเลยนะเจ้าคะ”

เมิ่งหนานรับผ้าเช็ดหน้ามาจากไป๋จื่อ หลังจากถลึงตามองจินเสี่ยวอันแล้ว คราวนี้เขาถึงจะเริ่มเช็ดหน้า

ผ้าเช็ดหน้าของเด็กสาวเย็บขึ้นจากผ้าหยาบ ย่อมไม่ได้นุ่มลื่นเหมือนผ้าเช็ดหน้าที่ทำจากผ้าไหม ทว่าซับน้ำได้ดียิ่งนัก และบนผ้าเช็ดหน้ายังมีกลิ่นหอมอ่อนๆ สายหนึ่ง เป็นกลิ่นหอมเฉพาะตัวอย่างมาก ไม่เหมือนกับกลิ่นกำยานที่เขาใช้ในทุกวันพวกนั้น กลิ่นนี้จางมาก ทว่าได้กลิ่นแล้วสดชื่นดีเหลือเกิน