ตอนที่ 81 มัดผมให้เจ้าผู้เดียว Ink Stone_Romance
“พูดเถอะ จะให้ข้าทำอะไร อย่างไรเสียต่อให้ข้าเอาด้วยก็ไม่ถือว่าผิดกฏ” เอ๋าเลี่ยมองเข้าไปในดวงตาน่าสงสารคู่นั้นของหลิวหลี เอาเถอะ วางหลักการอีกสักครั้งแล้วกัน
“ข้าต้องการป้ายหยก เจ้าช่วยข้าหา ข้าจะไปแย่งมาเอง จะได้ลองทดสอบเพลิงสุวรรณพรางพอดี” หลิวหลีบอกแผนการที่วางไว้ ถึงเอ๋าเลี่ยจะไม่เต็มใจเท่าไหร่แต่ก็ทำตาม เขาหลับตาลง แล้วกระจายประสาทเซียนเพื่อตรวจตรา
“ฝั่งตะวันออกอีก 50 กิโลเมตรมีคนอยู่” เอ๋าเลี่ยลืมตาแล้วเอ่ย หลิวหลีลงมือทันที นางหายตัวไปแล้วพบว่าคนผู้นี้มีป้ายหยกสองชิ้น นางจึงใช้พลังพรางตัวของเพลิงสุวรรณพรางซ่อนตัวเอาไว้ เก็บงำกลิ่นอายตนเอง ก่อนเดินเข้าไปอย่างเงียบๆ แล้วหยิบหยกทั้งสองชิ้นไป จนหลิวหลีเดินไปไกลแล้ว คนผู้นั้นถึงได้พบว่าตนเองโดนฉกป้ายหยกไป
หลิวหลีแกว่งป้ายหยกที่อยู่ในมือไปมาอย่างดีใจ ได้ผลดีทีเดียว แล้วจึงไปตามทางที่เอ๋าเลี่ยชี้ หาๆอยู่หลายครั้ง ไม่สิ นั่นมันคนสกุลหลง นางไม่อยากจะลงมือกับคนสกุลเดียวกัน พวกเขาโดนขโมยของจนหมดตัว บนเนื้อบนตัวไม่มีป้ายหยกเหลืออยู่เลยสักชิ้น หลิวหลีรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย ทำไมถึงเป็นเช่นนี้ไปได้
“อาเลี่ย พวกเขาจนเหลือเกิน กระทั่งป้ายหยกของตัวเองก็ไม่สามารถรักษาไว้ได้” หลังจากพ่ายแพ้มาหลายครั้ง หลิวหลีก็รู้สึกอึดอัด
“นังหนู จะทำต่อไหม” เอ๋าเลี่ยมองดูหลิวหลีที่มีสีหน้าหงุดหงิดจึงเอ่ยถาม
“ทำ” จะไม่เอาได้อย่างไรกัน ให้นางหาเองจะไม่เท่ากับงมเข็มในมหาสมุทรหรอกหรือ
“ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ 30 กิโลเมตรมีคน”
เมื่อไปตามทางที่เอ๋าเลี่ยบอก ทำให้หลิวหลีเจอกับเจ้าแกะอ้วน มีป้ายหยกบนตัวอยู่ถึง 5 ชิ้น หลิวหลีถูมืออย่างตื่นเต้น
ฮัวจิงซวี่หาที่มิดชิดเพื่อพักผ่อน เหลืออีกแค่ 4 วันก็จะสิ้นสุดลง เขาจำเป็นต้องเก็บแรงเอาไว้ ผลคือเมื่อเขาลืมตาขึ้นมา ก็เจอะเข้ากับดวงตาที่เปล่งประกายคู่หนึ่งกำลังมองเขา
“หลงหลิวหลี คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะอยู่ที่นี่ ทำไมไม่หลบแล้วล่ะ” ฮัวจิงซวี่เห็นผู้ที่มาเยือน รู้สึกว่าในที่สุดจะได้ล้างแค้นสักที ส่วนฝ่ายตรงข้ามเป็นนักปรุงยาที่อ่อนแอหรือไม่นั้น ขอโทษด้วย ไม่เกี่ยวกัน
“บนตัวของเจ้ามีป้ายหยกไหม?”
“เกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วย จริงสิ หากเจ้าตกลงว่าออกไปแล้วจะให้ยาระดับ 6 คุณภาพชั้นเลิศ 100 เม็ดข้า ข้าจะปล่อยเจ้าไปก็ได้” ฮัวจิงซวี่รู้สึกประหลาดใจกับคำถามที่ได้ยิน จึงรีบต่อรองขึ้นมาในทันที
“ข้าต้องการป้ายหยก” หลิวหลีเม้มปาก คิดว่ายาของนางสามารถมอบให้ใครก็ได้เช่นนั้นหรือ
“จริงสิ เอาป้ายหยกของเจ้าออกมาเสียดีๆ” ฮัวจิงซวี่เอาอาวุธของเขาออกมา ทวนพยัคฆ์พิฆาต
ผลลัพธ์คือ ดูสิ เขามองเห็นอะไรเข้า นักปรุงยาผู้อ่อนแอคนนั้นฉกอาวุธศักดิ์สิทธิ์ของเขาไป แล้วหักมันด้วยมือเปล่า นั่นเป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์ระดับล่างเชียวนะ ใครบอกว่านักปรุงยาร่างกายอ่อนแอ ไร้สาระทั้งเพ เขารู้สึกร้อนใจขึ้นมา ฮัวจิงซวี่ที่เห็นท่าไม่หนีจึงคิดจะหนี แต่กลับพบว่าตัวเองขยับไม่ได้ มือคู่นั้นที่ดูเหมือนจะอ่อนแอจับเขาไว้แน่น ทำให้เขาขยับไม่ได้เลยแม้แต่น้อย
“จริงๆเลย ก็บอกแล้วว่าจะเอาป้ายหยก ยอมเอาให้ข้าแต่โดยดีไม่ได้หรืออย่างไร” หลิวหลีพูดไปพลางเก็บป้ายหยกเก็บไว้ใช้เอง จากนั้นก็จากไปโดยไม่สนใจฮัวจิงซวี่เลยสักนิด
“คนผู้นี้ เป็นนักปรุงยาจริงหรือเนี่ย” ผู้ฝึกบำเพ็ญทางกายยังไม่น่ากลัวขนาดนี้เลย อนึ่งฮัวจิงซวี่มองดูหลิวหลีที่จากไปด้วยท่าทางเครียดขึง ตอนนี้เขามองพลังบำเพ็ญเพียรของนางไม่ออกแล้ว เมื่อนึกถึงเรื่องที่มีคนบรรลุช่วงพลังไม่กี่วันก่อนเขาจึงรีบไปหาจิงหงกับจิงเฟยในทันที
“อาเลี่ย ข้ามีป้ายหยก 7 ชิ้นแล้ว” หลิวหลีแกว่งหยกไปมาด้วยความดีใจ
“น่าจะพอสำหรับการเข้าไปแข่งเดี่ยวในรอบสุดท้ายแล้ว” เอ๋าเลี่ยพยักหน้า ป้ายหยกทั้งหมดมีแค่ 50 ชิ้นเท่านั้น มี 7 ชิ้นก็เพียงพอจะเข้าแข่งได้แล้ว
“อืม แต่ว่า ข้ากำลังคิดเรื่องมิติในป้ายหยกที่พูดขึ้นเมื่อคราวก่อน ตั้งแต่โม่หรานเตะข้าออกมา ข้าก็ติดต่อมันไม่ได้อีกเลย จื่อฉียังอยู่ข้างใน ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไรบ้าง ข้าอยากจะลองหาหยกชิ้นอื่นดู” หลิวหลีบอกแผนการตนเอง
“ก็ดีเหมือนกัน” เอ๋าเลี่ยรู้สึกว่าใช้ได้ทีเดียว
“อีกอย่าง พวกเราทำแบบนี้ก็ได้” หลิวหลีกระซิบกระซาบกับเอ๋าเลี่ย จู่ๆเอ๋าเลี่ยก็รู้สึกว่านางเป็นคนที่วางแผนเก่งทีเดียว
จากคำขอของหลิวหลี เอ๋าเลี่ยต้องหาหลินเสี่ยวเจียงจากสกุลหลินให้เจอก่อน ในมือมีป้ายหยก 8 ชิ้น หลิวหลีกดรอยสักที่อยู่บนตัว ก็รู้สึกร้อนวูบวาบ บนตัวของหลินเสี่ยวเจียงน่าจะมีป้ายหยกประจำสกุลอยู่ นางใช้เพลิงสุวรรณพราง ทำให้ได้ป้ายหยกของหลินเสี่ยวเจียงมาอย่างง่ายดาย มั่วหรายเริ่มดูดซับมิติภายในหยก หลิวหลีเริ่มหาเป้าหมายต่อไป บ้านสกุลฮัว ฮัวจิงหง
“จิงซวี่ เจ้าพูดอะไรนะ คนที่เข้าสู่ช่วงปราณก่อนกำเนิดคือหลิวหลีจากสกุลหลงหรือ เจ้าอย่าล้อเล่นสิ” ฮัวจิงหงรู้สึกว่ามุกนี้ไม่เห็นจะตลกเลยสักนิด
“จริงๆ อีกอย่างนางก็ไม่ใช่นักปรุงยาที่อ่อนแอด้วย นางโหดเหี้ยมนัก เจ้าดูสิ ทวนพยัคฆ์พิฆาต อาวุธศักดิ์สิทธิ์ระดับล่างของข้าก็ถูกนางหักด้วยมือเปล่า” ฮัวจิงซวี่เห็นฮัวจิงหงไม่เชื่อจึงนำอาวุธออกมาให้ดู บนอาวุธมีรอยนิ้วมืออยู่อย่างเห็นได้ชัด ถูกคนใช้มือหักจริงๆ ฮัวจิงหงเหงื่อแตกพลั่ก รู้สึกเหมือนมีอะไรไม่ชอบมาพากล
“โถ่ จะต้องถึงขนาดไปฟ้องผู้ปกครองเลยหรือ ข้าก็แค่หักอาวุธศักดิ์สิทธิ์ของเขาเท่านั้นเอง” เมื่อหลิวหลีไปถึง ก็เห็นฮัวจิงซวี่กำลังฟ้องอยู่
“นังหนู ตอนนี้ทุกคนก็รู้แล้วสิว่าเจ้าไม่ใช่นักปรุงยาที่อ่อนแอแล้ว” เอ๋าเลี่ยพูดอย่างหมดสนุก
“ข้าก็ไม่เคยบอกเลยนะว่าข้าเป็นนักปรุงยาที่อ่อนแอ” หลิวหลีเบะปาก นางเป็นคนที่เข้มแข็งมาโดยตลอด จะเป็นสาวน้อยผู้อ่อนแอได้อย่างไรกัน
“ใช่ ใช่ ใช่ หลิวหลี เป็นหลีเป็นคนที่ยืนด้วยลำแข้งของตัวเองมาโดยตลอด คนพวกนั้นมีตาหามีแววไม่” เอ๋าเลี่ยมองดูหลิวหลีที่ยืดอกบอกว่าตัวเองเก่งมาก ก็รู้สึกขบขัน
“พอได้แล้ว อาเลี่ย เป้าหมายต่อไปเถอะ” รีบไปเก็บรวบรวมมิติจึงจะเป็นทางที่ดีที่สุด คนพวกนั้นตาไร้แววเลยจริงๆ มีของล้ำค่าอยู่แต่ดันเอาไปเป็นป้ายประจำสกุล ไม่รู้เลยว่าบรรพบุรุษของพวกเขาจะโมโหจนต้องฟื้นคืนชีพเลยรึเปล่า
จ้านอวิ๋นจุนมองป้ายหยก 9 ชิ้นในมือ ดูแล้วตัวเองน่าจะได้ที่หนึ่งไม่มีปัญหาแน่ แค่ต้องทนใน 3 วันสุดท้ายให้ได้ก็พอ แต่เขากลับไม่รู้ว่าป้ายหยกของตัวเองถูกคนฉกไป
หลิวหลีหมุนป้ายหยก 3 ชิ้นในมือเล่น โม่หรานดูดซึมเสร็จก็ตื่นขึ้น มิติที่เปลี่ยนไปทำให้หลิวหลีแทบจะไม่เชื่อสายตาของตัวเอง ตอนนี้เหลือแค่ป้ายหยกบ้านสกุลหนานกงแล้ว น่าเสียดาย ผู้นำสกุลหนานกงยังไม่ได้ยกให้ลูกหลาน
“ชางฉยง ป้ายหยกของเจ้าทำไมยังอยู่ที่ตัวอีก ไม่มีคนที่ถูกใจเลยหรอ” ในขณะที่ทุกคนกำลังเบื่อหน่าย จ้านเฟิงอวี้ก็มองหนานกงชางฉยงด้วยแววตาเหลือเชื่อ
“ใช่ ลูกหลานสกุลหนานกงของข้าอ่อนแอ ข้าจึงยังไม่ได้เลือก” หนานกงชางฉยงหัวเสีย เขาก็อยากจะมอบป้ายหยกให้กับหนานกงเวิ่นเทียน แต่น่าเสียดาย คุณสมบัติร่างกายของเขา เอิ่ม ถ้าหากวันไหนเขาต้องแต่งกับหลานตัวเองขึ้นมาจะทำอย่างไร
“ปัญหาทุกอย่างมีทางแก้” หลงเหวินเซวียนกล่าว คงไม่ดีถ้าจะบอกพวกเขาว่าป้ายหยกประจำสกุลหลงหายไป จะว่าไปแล้ว เขาจำได้ว่าบรรพบุรุษได้ให้ซินเยว่ไว้ รอหลิวหลีออกมา คงต้องลองถามดูว่ารู้เรื่องป้ายหยกหรือไม่
หลิวหลีนำป้ายหยกประจำสกุล 3 ชิ้น มอบให้กับคนสามคนที่ไม่ได้มาจากสกุลเดียวกัน จากนั้นก็บังเอิญพบว่าหนานกงเวิ่นเทียนอยู่ไม่ไกล เหมือนนางจะไม่ได้อยู่กับเสี่ยวเทียนสองต่อสองมานานแล้ว
“เสี่ยวเทียน”
หนานกงเวิ่นเทียนกำลังนั่งสมาธิอยู่ จู่ๆก็ได้ยินเสียงเรียก พลันเห็นหลิวหลีปรากฏขึ้นตรงหน้า เหมือนนังหนูจะสวยขึ้น
“อะไรกัน นังหนู เจ้าจะปล้นข้าหรือ?” หนานกงเวิ่นเทียนหยอกล้อพร้อมคลี่ยิ้ม
“ไม่บังเอิญเลย ข้ารู้สึกถูกใจเจ้า เจ้ายอมข้าเสียดีๆเถอะ” หลิวหลีทำท่าทางเจ้าเล่ห์ เชยคางของหนานกงเวิ่นเทียนขึ้น ทำให้หนานกงเวิ่นเทียนรู้สึกคันๆที่คาง นังหนูไปเรียนจากใครมา
“นังหนู เจ้ายังหวีผมไม่เป็นหรือ?” ปรายตามองหลิวหลีในชุดผู้ชายแล้วไหนจะยังมือที่ชักเก็บและทำท่าทีแหงนมองฟ้า เอาเถอะ ก็ยังคงทำไม่เป็นสินะ
“มานี่มา” หนานกงเวิ่นเทียนกวักมือ
หลิวหลีเดินไปหาด้วยความระมัดระวัง
“นั่งลง”
หลิวหลีก็ยังคงระมัดระวังตัวอยู่
พลันเห็นหนานกงเวิ่นเทียนปล่อยผมนางสยาย และหยิบหวีขึ้นมาหวีผมให้นาง
“เอ่อ เสี่ยวเทียน เจ้าหวีผมเป็นด้วยเหรอ” หลิวหลีค้นพบอย่างประหลาดใจอีกทั้งสบายอย่างยิ่ง
หนานกงเวิ่นเทียนไม่ตอบ เพียงแค่หวีผมแล้วรวบไว้ข้างหลังง่าย ๆ แล้วใช้ผ้าคาดผมมารวบเอาไว้
“เจ้าชอบไหม” หนานกงเวิ่นเทียนใช้พลังเซียนเหมันต์ทำกระจกน้ำแข็งให้นางดู หลิวหลีมองดูที่คาดผมที่ลอยพริ้วอยู่บนศีรษะ ด้านบนมีไข่มุกประดับอยู่ด้วย ดูเรียบง่ายแต่ก็ดูเหมาะสมอย่างยิ่ง
“ชอบ ชอบมากเลย เสี่ยวเทียน ต่อไปนี้เจ้าหวีผมให้ข้าแค่คนเดียวได้ไหม” หลิวหลีรู้สึกชอบเป็นอย่างมาก
“ได้สิ” นอกจากเจ้าแล้ว ก็ไม่มีใครเดินเข้ามาอยู่ในใจของข้าได้แล้วล่ะ นังหนูของข้า