ตอนที่ 100 เกี้ยวนางยังไม่สมหวัง เฝ้าคำนึงถึงนางทั้งยามตื่นยามหลับ (4)

หมอหญิงจ้าวดวงใจ

“ตามใจพี่ชาย” อวิ๋นเหยาตอบกลับ แล้วปรายตามองเว่ยจาง ทว่านางที่กำลังจะเดินไปกลับไม่ยอมเดินต่อ

อวิ๋นคุนมองตามสายตาของอวิ๋นเหยา เมื่อเห็นเว่ยจางหันไปมองอีกด้านหนึ่ง โดยไม่คิดจะสนใจน้องสาวของตนเองแม้แต่น้อย เขาจึงลอบถอนหายใจ อวิ๋นคุนยกมือขึ้นตบบ่าของอวิ๋นเหยาเบาๆ พร้อมปลอบโยนเสียงเบา “อวิ๋นเหยา อย่าเอาแต่ใจตนเอง”

“พี่ชายไม่ไป เช่นนั้นน้องไปเอง” อวิ๋นเหยาหันไปมองเว่ยจางอีกครั้ง นางหมุนตัวหันหลังกำลังจะเดินจากไป

หันซังเย่ว์เหยียดกายลุกขึ้น เขาคลี่ยิ้มบางๆ “น้องหญิง ข้าส่งเจ้ากลับจวนดีไหม”

อวิ๋นเหยาหันไปมองหันซังเย่ว์ครู่หนึ่ง นางพูดด้วยสีหน้าเศร้าใจ “พี่รอง ขอบคุณในความปรารถนาดีของท่าน แต่ข้ากลับเองได้”

“ได้ๆ ! เช่นนั้นข้ากลับจวนพร้อมกับเจ้า” อวิ๋นคุนยิ้มอย่างจนปัญญา เขาผายมือสั่งให้ข้ารับใช้หยิบเสื้อคลุมของตนมา จากนั้นหันหน้าไปมองหันซังเกอพร้อมทำมือคารวะขึ้นเพื่อกล่าวคำอำลา “พี่ใหญ่ ไว้วันหน้าข้าจะมาเยี่ยมท่านใหม่ ทุกท่านที่นั่งอยู่ที่นี่ วันข้างหน้าขอเชิญทุกท่านมารวมตัวกันที่จวนอ๋องอีก”

“พวกเราล้วนเป็นญาติกัน เหตุใดจึงต้องเกรงใจถึงเพียงนี้ ขอเพียงวันใดที่เจ้ามีเวลาก็มาได้ทุกเมื่อ ถึงอย่างไรเสียสภาพของข้าในตอนนี้ก็ไม่อาจออกจากจวนได้อยู่แล้ว” หันซังเกอคลี่ยิ้มแล้วเหยียดกายลุกขึ้น เฟิงเซ่าเชินที่อยู่ข้างกายพลันหยิบไม้เท้ายื่นให้เขา

ทุกคนต่างก็พากันยืนขึ้นเพื่อส่งอวิ๋นคุน อวิ๋นคุนประสานมือขึ้น แล้วบอกให้ทุกคนนั่งสังสรรค์กันต่อ และท้ายที่สุดหันซังเย่ว์กับเว่ยจางก็เป็นคนส่งพวกเขาสองพี่น้องออกไปจากจวน ทางด้านเฟิงเซ่าเชินและซูอวี้เสียงก็นั่งดื่มเหล้าสังสรรค์เป็นเพื่อนกับหันซังเกอ

หลังจากออกมาจากจวนองค์หญิงใหญ่ เหตุเพราะอวิ๋นคุนดื่มเหล้าไปหลายจอกจึงไม่สามารถขี่ม้าได้ เขานั่งรถม้าไปกับอวิ๋นเหยา

รถม้าที่ใช้ม้าถึงสี่ตัวในการขับเคลื่อน ด้านในของรถม้ากว้างขวางยิ่งนัก ทั้งยังมีเก้าอี้และโต๊ะอย่างครบครัน อวิ๋นเหยานั่งพิงบนตั่งไม้ อวิ๋นคุนนั่งอยู่ด้านหน้าเก้าอี้ตัวยาว เขารับน้ำชาสร่างเมาที่สาวใช้ยื่นมาให้

ผ่านไปนานครู่หนึ่ง อวิ๋นเหยาเรียกขึ้นกะทันหัน “พี่ชาย”

“หืม” อวิ๋นคุนจิบน้ำชา จากนั้นขานรับเสียงเบา “ข้าฟังอยู่ เจ้ามีสิ่งใดก็พูดมาเถอะ”

“ข้ามีใจให้เพียงเขา” ดวงตากลมโตของอวิ๋นเหยาจ้องมองไปนอกหน้าต่างอย่างเหม่อลอย ผ้าม่านลายตั๊กแตนเกาะกล้วยไม้ท่ามกลางท้องฟ้าแจ่มใสตรงนอกหน้าต่าง ยามที่ปลิวไหวไปตามรถม้า ราวกับว่าพวกมันมีชีวิตขึ้นมาจริงๆ

“ข้าเคยบอกเจ้าแล้ว เขาไม่ได้หมายปองเจ้า” อวิ๋นคุนเลิกคิ้วขึ้นอย่างจนปัญญา จากนั้นหันหน้าไปมองน้องสาวของตน พร้อมปลอบโยนขึ้น “อีกทั้ง เสด็จพ่อและเสด็จแม่ก็ไม่มีวันยินยอมด้วย น้องสาวที่แสนดี เจ้าเปลี่ยนไปชอบผู้อื่นเถอะ”

“ผู้อื่นข้าล้วนไม่โปรดปราน”

“แต่สตรีที่เขาหมายปองคือคุณหนูเหยา อีกทั้งงานเลี้ยงในวันนี้หากจะพูดตามตรงก็คือท่านป้าจัดขึ้นเพื่อพวกเขาสองคน ท่านป้าต้องการดูท่าทีของคุณหนูเหยา ขอเพียงคุณหนูเหยาตอบตกลง รอให้ถึงเดือนหน้า หลังจากเหยาหย่วนจือเข้ามาในเมืองหลวง ท่านป้าก็จะเป็นแม่สื่อให้กับพวกเขาทั้งสองคน”

อวิ๋นเหยาลุกขึ้นนั่งตัวตรงทันที นางจ้องเขม็งไปที่อวิ๋นคุนแล้วเอ่ยถาม “สิ่งที่พี่ชายพูดเป็นความจริงหรือ!”

อวิ๋นคุนไม่ได้พูดสิ่งใด เพียงแค่จิบน้ำชาอีกคำหนึ่งเท่านั้น

“พี่ชายได้ยินมาจากผู้ใด พี่ใหญ่หรือพี่รอง?” อวิ๋นเหยาดึงแขนเสื้อของอวิ๋นคุนแล้วเค้นถาม

“ยังต้องให้ผู้อื่นพูดให้ชัดเจนอีกหรือ” อวิ๋นคุนปล่อยให้น้องสาวกระชากแขนเสื้อของตนเอง

“ข้าไม่เชื่อ!” อวิ๋นเหยาสะบัดแขนเสื้อของอวิ๋นคุน นางพูดด้วยความโมโห “พี่ชายไม่ช่วยข้า เช่นนั้นข้าจะไปบอกกับท่านพ่อด้วยตนเอง”

“เจ้าไปบอกท่านพ่อก็ไม่เกิดประโยชน์ใดขึ้นมาหรอก” อวิ๋นคุนนั่งเหยียดตัวตรง เขาตบมือน้องสาวเบาๆ แล้วปลอบโยน “หากไม่มีเหตุสุดวิสัยใดเกิดขึ้น หลังจากผ่านตรุษจีนเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ เว่ยจางต้องไปประจำการที่ชายแดน หากเจ้าออกเรือนไปกับเขา เกรงว่าในหนึ่งปีเจ้าคงต้องอยู่อย่างเดียวดายถึงสิบเอ็ดเดือน เจ้าจะทนได้หรือ”

“ข้าจะไปชายแดนพร้อมกับเขา!” อวิ๋นเหยาพูดด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด

“เหลวไหล!” อวิ๋นคุนถลึงตาจ้องเขม็งทันที “ท่านพ่อและท่านแม่ไม่มีวันยอมให้เจ้าออกไปใช้ชีวิตอยู่นอกเมืองหลวง อีกทั้งชีวิตในชายแดนเป็นเช่นไร เป็นที่แห้งแล้งเต็มไปด้วยฝุ่นควัน ไม่เห็นต้นไม้ใบหญ้าแม้เพียงหนึ่งต้น เจ้าถูกเลี้ยงมาอย่างดีตั้งแต่เล็ก จะทนลำบากเช่นนั้นได้หรือ”

“หากข้าได้สมรสกับเขา ข้าจะทูลขอเสด็จลุงฮ่องเต้ ให้ทรงแต่งตั้งเขาเป็นขุนนางในเมืองหลวง เช่นนั้นเขาก็ไม่ต้องไปประจำการที่ชายแดนแล้ว!” อวิ๋นเหยาเบะปากแล้วพูดขึ้น

“เสด็จลุงฮ่องเต้ทรงตระหนักถึงความสงบสุขของไพร่ฟ้า! เรื่องไปประจำการที่ชายแดนซึ่งถือเป็นเรื่องใหญ่หลวงเช่นนี้จะเปลี่ยนแปลงเพียงเพราะเด็กผู้หญิงเช่นเจ้าแค่คนเดียวได้อย่างไร” อวิ๋นคุนขมวดคิ้วเป็นปม แม้ว่าพวกเขาจะเป็นราชนิกุล ฐานันดรศักดิ์สูงส่ง แต่ความสูงศักดิ์ของพวกเขาสร้างขึ้นบนความมั่นคงของแคว้น สร้างขึ้นบนความมั่นคั่งของอาณาจักรและความแข็งแกร่งของไพร่ฟ้า หากเกิดความปั่นป่วนขึ้นที่ชายแดน ชาวซีเจวี๋ยและเป่ยหูรุกรานเข้ามา เกรงว่าพวกเขาที่เป็นเหล่าราชนิกุลไม่อาจเอาชีวิตรอดได้

ทว่าอวิ๋นเหยากลับไม่ได้คิดมากเช่นนั้น นางพูดอย่างเอาแต่ใจ “ในราชสำนักมีผู้บัญชาการทหารตั้งมากมาย เหตุใดเขาจึงจำต้องไปประจำการอยู่ชายแดน”

“ในราชสำนักมีผู้บัญชาการทหารตั้งมากมาย ในจำนวนนั้นมีชายหนุ่มหล่อเหลามากความสามารถถึงเจ็ดหรือแปดคน เหตุใดเจ้าจึงหมายปองแค่เขาเพียงผู้เดียว” หลังจากอวิ๋นคุนเอ่ยถาม ก็เห็นน้องสาวที่รักก้มหน้าลง เขาอดไม่ได้ที่จะยื่นมือไปลูบผมของนาง พร้อมปลอบเสียงเบา “เชื่อฟังพี่เถอะ ท่านพ่อและพี่ล้วนปรารถนาดีต่อเจ้า เจ้าอายุยังน้อย อย่าร้อนใจไปเลย เจ้าค่อยๆ เลือกเถอะ การสอบคัดเลือกช่วงวสันต์**[1]**ในปีหน้า ไม่แน่อาจจะมีบุรุษหนุ่มมากความสามารถปรากฎตัวก็ย่อมได้ ถึงเวลานั้นพวกเราค่อยเลือกบุรุษรูปงาม แล้วค่อยเลือกที่หายากกว่าเว่ยจาง ดีหรือไม่”

“ผู้ใดต้องการที่หายากอย่างบัณฑิตรูปงามล่ะ!” อวิ๋นเหยาพูดอย่างเอาแต่ใจ นางร้องไห้อย่างตั้งใจ นางหมุนตัวหันไปนอนบนตั่งไม้ หันหน้าเข้าด้านในแล้วร้องไห้

อวิ๋นคุนรู้สึกลำบากใจยิ่งนัก เขาถอนหายใจพร้อมกับยกมือขึ้นนวดขมับของตนเองอย่างจนปัญญา

อีกด้านหนึ่ง ณ เรือนอั้นเซียงภายในสวนดอกเหมยขององค์หญิงใหญ่ หันหมิงชั่น เหยาเยี่ยนอวี่ ซูอวี้เหิง หันหมิงหลังและหันหมิงเจวี๋ย สตรีทั้งห้าคนเป่ายิ้งฉุบดื่มเหล้าร่วมกันอย่างครื้นเครง พวกนางดื่มเหล้าเหมยจนหมดหนึ่งไห

แม้ว่าเหล้าเหมยไม่แรงเพียงใดแต่ก็หมักด้วยน้ำหมาก เมื่อดื่มมากก็ทำให้เมาได้เช่นเดียวกัน

ในพวกนางทั้งห้าคน ซูอวี้เหิงดื่มเหล้ามากที่สุด เวลานี้นางนั่งฟุบอยู่บนโต๊ะพร้อมกับตบโต๊ะและหัวเราะคล้ายคนโง่เขลา นับได้ว่านางเมาจนไม่มีสติแล้ว

หันหมิงเจวี๋ยยังอ่อนเยาว์ ตั้งแต่แรกนางก็ไม่รู้ว่าควรจะเล่นลูกไม้คดโกงอย่างไร อีกทั้งยังดื่มอย่างดุเดือด เวลานี้จึงพิงตัวลงนอนบนตั่งไม้เสียแล้ว แม่นมของนางสั่งให้สาวใช้นำผ้าห่มผืนหนามาห่มให้กับนาง จากนั้นจับศีรษะของนางด้วยความระมัดระวัง เพื่อให้นางนอนบนหมอนอย่างสบาย

หันหมิงหลังผายมือให้กับหันหมิงชั่นที่เร่งเร้าให้ดื่ม “พี่หญิงรอง ข้าดื่มไม่ไหวแล้วจริงๆ ดื่มอีกเพียงหนึ่งจอกข้าก็จะนอนไปพร้อมกับหมิงเจวี๋ยแล้ว”

“เช่นนั้นเจ้าก็ดื่มจอกนี้ให้หมด แล้วค่อยไปนอนกับนาง” หันหมิงชั่นยื่นจอกเหล้าให้ด้วยความมุ่งมั่น ท่าทีของนางคล้ายไม่ยอมลามือปล่อยใครทั้งนั้น

เหยาเยี่ยนอวี่ที่นั่งอยู่ด้านข้างลอบหัวเราะ โชคดีที่นางเตรียมตัวเอาไว้แต่แรก ไม่เช่นนี้เดาว่าคนที่นอนอยู่ทางนั้นคงเป็นตนเองกระมัง

หันหมิงหลังไม่อาจปฏิเสธหันหมิงชั่นได้ นางจึงจำต้องดื่มสุราอีกหนึ่งจอก จากนั้นวางจอกสุราลงพร้อมกับพูดว่าเวียนหัวไม่หยุด หันหมิงหลังจับมือสาวใช้เอาไว้แล้วไปนอนพักอยู่ด้านข้าง

ทางด้านหันหมิงชั่นเองก็เมามากแล้ว เวลานี้นางเมาครึ่งหนึ่งมีสติครึ่งหนึ่งเท่านั้น เป็นช่วงที่กำลังเมาแล้วพูดอย่างอิสระในสิ่งที่อยู่ในใจ นางลากตัวเหยาเยี่ยนอวี่ออกไปด้านนอก

ซูอิ่งและชุ่ยเวยรีบหยิบเสื้อคลุมของทั้งสองแล้ววิ่งตามไป พวกนางสวมเสื้อคลุมให้คุณหนูทั้งสองได้ทันท่วงที

ตอนนี้เป็นเวลาบ่ายแก่ๆ แล้ว นับตั้งแต่งานเลี้ยงเริ่มขึ้นจนถึงตอนนี้ ก็ใช้เวลาประมาณสองชั่วยามเท่านั้น เหยาเยี่ยนอวี่รู้สึกว่าหันหมิงชั่นดื่มจนกลายเป็นเพื่อนสนิทของนางไปแล้ว ไม่แปลกที่คนทำการค้าล้วนชอบดื่มเหล้า เพราะปรากฏว่าหลายสิ่งหลายอย่างสามารถพูดได้ง่ายขึ้นหลังจากดื่มสุราและระยะห่างระหว่างผู้คนก็สั้นลงไปมาก

ทั้งสองพยุงกันและกันเดินออกไปจากเรือนอั้นเซียง ภายใต้การปรนนิบัติรับใช้ของสาวใช้และแม่นม ทั้งสองพูดคุยและหัวเราะกันอย่างครื้นเครงพร้อมกับเดินวนรอบต้นเหมยอยู่หลายรอบ และสุดท้ายพวกนางก็หยุดเดินอยู่ตรงหน้าม้านั่งหินตัวยาว

[1] การสอบคัดเลือกช่วงวสันต์ คือการสอบคัดเลือกขุนนางเพื่อไปทำงานรับใช้ในราชสำนัก โดยมีฮ่องเต้มาคุมสอบด้วยตนเองหรือที่รู้จักกันในนามการสอบจอหงวน