บทที่ 63 ความฝันวีรบุรุษ ProjectZyphon
จางหนิงและหวางชง คนหนึ่งเป็นศิษย์คนสำคัญรุ่นหนึ่งของพรรคมังกรฟ้า คนหนึ่งเป็นระดับสามเขี้ยวของสำนักเขี้ยวพยัคฆ์หรือก็คือศิษย์ระดับสูงที่สุดนั่นเอง คนหนึ่งเชี่ยวชาญดาบ อีกคนหนึ่งเชี่ยวชาญทวน ทั้งคู่ต่างมีชื่อเสียงอยู่บ้างในสำนักของแต่ละฝ่าย ในยุทธภพทิศพายัพก็พอจะมีชื่อเสียงเช่นกัน
จิตใจของทั้งสองในตอนนี้กระสับกระส่ายนัก
เพราะมัจจุราชหลี่มู่เรียกพวกเขามายังห้องทรมานเพียงลำพัง
ห้องทรมานเอาไว้ใช้ทำอะไร?
ก็เอามาทรมานเค้นข้อมูลจากนักโทษอย่างไรเล่า
เข้ามาในที่แบบนี้ จะมีเรื่องดีอะไรได้?
พูดตามตรง เวลาก่อนหน้านี้หนึ่งถ้วยชา ในยามที่พวกมือปราบกระชากพวกเขาทั้งสองออกมาจากห้องขัง ถูกลากเดินไปยังห้องทรมาน สีหน้าท่าทางเศร้าสลดและหวาดกลัวของทั้งคู่ช่างเหมือนกับนักโทษประหารที่เดินไปยังลานประหารไม่มีผิด
จางหนิงยังดีหน่อย ภายใต้การจับจ้องจากนักโทษจอมยุทธ์พวกเดียวกันมากมายเช่นนี้ ถึงแม้แข้งขาจะสั่นอยู่บ้าง แต่อย่างไรเสียก็ยังนับว่ากล้าหาญ ไม่พูดอะไรสักคำ
แต่หวางชงนั้นกลัวจนร้องไห้จ๊าก ร้องอ้อนวอนกับเหล่ามือปราบไม่หยุด น้ำมูกน้ำตาไหลพราก นึกว่าจะถูกจับไปทรมานจากเครื่องทรมานต่างๆ ตกใจเสียจนฉี่ราดจริงๆ แล้ว
แต่ว่า หลังจากเข้าไปในห้องทรมานจริงๆ แล้ว ทั้งสองก็ค่อยๆ สงบสติลงเมื่อพบว่าเรื่องราวอาจจะไม่เหมือนกับที่พวกเขาคิดไว้
เครื่องทรมานสีดำมืดโหดเหี้ยมทั้งหมดวางอยู่อีกด้านหนึ่ง
กลางห้องทรมานมีพื้นที่ว่างเว้นอยู่
หลี่มู่ขุนนางเมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์ปีศาจในใจพวกเขากำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้พร้อมยิ้มตาหยีใบหน้าอ่อนโยน
“ ‘ดาบนางแอ่น’ จางหนิง ‘ทวนไม่หวนคืน’ หวางชง?”
หลี่มู่ถือบัญชีรายชื่อ มองไปยังคนทั้งสอง
ไม่ว่าจะเป็นจอมยุทธ์ที่กล้าหาญเท่าใด เวลานี้ถูกหลี่มู่มองปราดเดียวขาก็แข็งไปหมด ดังนั้นจางหนิงและหวางชงจึงไม่ได้แสดงความกล้าหาญอย่างที่ตัวเองคิดเอาไว้ ต่างพยักหน้าหงึกๆ อย่างไม่เอาไหน
ข้างๆ ทั้งคู่มีทหารองครักษ์เดินมามอบดาบให้จางหนิง มอบทวนให้หวางชง
“เจ้าสองคนสู้กัน คนที่ชนะจะได้ออกไปอย่างปลอดภัยไร้รอยขีดข่วน”
หลี่มู่มองคนทั้งสองด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม
แต่น้ำเสียงจริงแท้แน่นอน
จางหนิงยังลังเลอยู่บ้าง
แต่หวางชงหลังจากได้ยินก็กระชากเอาทวนมาโดยไม่ถามสักคำ ใบหน้าเต็มไปด้วยจิตสังหาร มือสะบัดเพลงทวนพุ่งไปยังลำคอและหน้าอกของจางหนิง
เวลาหน้าสิ่วหน้าขวาน จางหนิงเองก็ไม่ลังเลอีกแล้ว
เขาวูบไหวตัวหลบไป รับดาบมา แล้วตั้งท่า ‘รัตติกาลศึกแปดทิศ’ โจมตีกลับ
เคร้ง เคร้ง!
สะเก็ดไฟปะทุขึ้นกลางห้องมืด
ยอดฝีมือระดับสองทั้งสองเริ่มสู้กันอย่างดุเดือดท่ามกลางห้องมืด
หลี่มู่พูดเอาไว้ว่าคนที่มีชีวิตอยู่สามารถออกไปได้ ทำให้ทั้งสองคนไม่เหลือโชคอีกแล้ว อีกทั้งสองสำนักแต่เดิมก็เป็นศัตรูคู่อาฆาต เมื่อสู้กันขึ้นมาย่อมไม่ต้องพะวงอะไร ‘เพลงดาบนางแอ่น’ และ ‘เพลงทวนไม่หวนคืน’ ในมือของพวกเขาถูกสำแดงจนถึงขีดสูงสุด
เงาร่างของทั้งสองแปลงเป็นเงาทวนและประกายดาบสู้กันอุตลุต
บรรยากาศเย็นยะเยือกชวนขนลุก
หลี่มู่เอนตัวอยู่บนเก้าอี้อีกด้านหนึ่ง แทะเมล็ดแตงไปดูไป
เขาดูอย่างเพลิดเพลินใจ
ความหวังที่จะมีชีวิตรอดจากไปและความหวาดกลัวต่อความตาย ทำให้พลังทั้งหมดในตัวของยอดฝีมือระดับสองทั้งคู่ปะทุออกมา จางหนิงและหวางชงพูดได้ว่าต่างสำแดงทุกกระบวนท่า พยายามสุดชีวิต ไม่เก็บกักเอาไว้แม้แต่น้อย
การต่อสู้เช่นนี้อันตรายและทุ่มสุดชีวิตยิ่งกว่าการประลองบนเวทีความเป็นความในตายตอนนั้นเสียอีก
ประมาณหนึ่งถ้วยชาหลังจากนั้นจึงรู้ผลแพ้ชนะ
จางหนิงฟันทวนยาวในมือของหวางชงหัก ดาบพาดอยู่บนคอของคู่ต่อสู้
ทว่าดาบนี้ไม่ได้ฟันลงไป
หวางชงหน้าซีดเผือด สั่นเทิ้มไปทั่งร่าง
หลี่มู่โบกมือ
องครักษ์สองคนเดินมาพาผู้แพ้หวางชงที่หน้าซีดเผือดออกไปอีกประตูหนึ่งด้านข้าง
ครืด ตึง!
ประตูเหล็กถูกปิดลง
“หวางชงจะถูกประหารหรือไม่?”
จางหนิงจ้องหลี่มู่
หลี่มู่ยืนขึ้นยักไหล่ กล่าวว่า “อาจจะโดนหรืออาจจะไม่ ดูอารมณ์ของข้าแล้วกัน”
เขาเดินเข้าไปใกล้ ปลายเท้าแตะงัดทวนยาวที่ร่วงอยู่บนพื้นมาถือไว้ จากนั้นสะบัดไป สำแดงท่าทวนหลอกล่อทั้งเก้าออกมา เป็นท่าที่หนึ่งของ ‘เพลงทวนไม่หวนคืน’ ความงดงามแม่นยำเหนือชั้นกว่าหวางชงเสียอีก
แสงทวนคืบคลานเข้าใกล้จางหนิง
“เจ้า…” สีหน้าของจางหนิงเปลี่ยนไปทันที “พูดจาไร้สัตย์ เจ้าพูดเอาไว้แล้วว่าผู้ที่ชนะจะออกไปได้อย่างปลอดภัย”
ขณะเขาพูด ดาบพลางโจมตีกลับไปโดยสัญชาตญาณ
หลายกระบวนท่าหลังจากนั้น จางหนิงค่อยๆ สงบลงบ้าง
เพราะเขาพบว่าขุนนางเมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์ไม่ได้สำแดงพลังแบบมุ่งทำลาย แต่เพลงทวนที่อีกฝ่ายใช้คือ ‘เพลงทวนไม่หวนคืน’ ที่หวางชงสำแดงก่อนหน้านี้ ท่วงท่ายอดเยี่ยม ช่ำชองกว่าหวางชงที่ฝึกฝนวิชาทวนชุดนี้มาเจ็ดแปดปีเสียอีก อีกทั้งรอยต่อของกระบวนท่ายิ่งปราดเปรียวและไปตามอารมณ์ขึ้นหลายส่วน
จางหนิงเตรียมโต้กลับ
แต่เมื่อสำแดง ‘เพลงดาบนางแอ่น’ จบ ครั้งนี้คนที่แพ้พ่ายคือเขา
ปลายทวนยาวแตะอยู่ที่ลำคอของจางหนิง
ส่วนดาบของเขา แม้แต่กระบวนท่าสุดท้ายก็ยังไม่สมบูรณ์
กระบวนท่าเดียวกัน การเปลี่ยนแปลงเหมือนกัน การปะทะของอาวุธครั้งสุดท้ายเหมือนกัน แต่สุดท้ายคนที่ได้รับชัยชนะกลับแตกต่าง
เหงื่อเย็นไหลลงจากหน้าผากและแผ่นหลังของเขา
แต่หลี่มู่ไม่ได้แทงทะลุคอหอยของจางหนิงจริงๆ
หลี่มู่โยนทวนกลับไปยังชั้นวางอาวุธข้างกำแพง จากนั้นยื่นมือออกมา มือปราบคนหนึ่งยื่นดาบมาให้
ครั้นดาบอยู่ในมือ หลี่มู่ไม่พูดอะไร รุกโจมตีไปอีกครั้ง
จางหนิงถูกบีบจนต้องโจมตีกลับอีกครั้งหนึ่ง
แต่ไม่นาน ความตื่นตระหนกในใจเขาก็ยากจะเก็บซ่อนเอาไว้
เพราะดาบที่หลี่มู่สำแดงคือ ‘เพลงดาบนางแอ่น’ ที่เขาฝึกฝนมาสิบกว่าปี
แสงดาบแวบวาบ
หลังจากนั้นยี่สิบอึดใจ จางหนิงพ่ายแพ้อีกครั้ง
เขาแพ้ให้กับท่าสุดท้าย ‘นางแอ่นเรียบน้ำ’
กระบวนท่านี้ทั้งสองใช้ออกมาในเวลาเดียวกัน การเปลี่ยนท่าของหลี่มู่เร็วกว่า แม่นยำกว่า และเหนือชั้นยิ่งกว่า เป็นจุดที่จางหนิงฝึกฝนมานานหลายปีก็ไม่อาจทำได้
ดังนั้นเมื่อคมดาบของจางหนิงเพิ่งยกขึ้น ดาบของหลี่มู่ก็กดที่ปลายคางเขาแล้ว หากขยับขึ้นไปอีกนิดก็เด็ดหัวของจางหนิงออกมาได้
หากพูดว่าก่อนหน้านี้หลี่มู่ใช้ ‘เพลงทวนไม่หวนคืน’ เอาชนะเขา ในใจยังพอรู้สึกว่าโชคดีอยู่บ้าง เช่นนั้นในยามนี้พ่ายแพ้ให้กับ ‘เพลงดาบนางแอ่น’ ใจของจางหนิงพูดได้ว่าสิ้นหวัง ไร้คำพูดอย่างสิ้นเชิง
สิ่งที่เขาไม่อาจยอมรับได้เลยคือ ภายใต้สถานการณ์ที่หลี่มู่ควบคุมพลังของตัวเองและรักษาระดับให้เท่ากับเขา เพลงดาบเดียวกันนี้ เขาต้องมุมานะลำบากฝึกฝนสิบสองปีเต็มๆ กลับยังสู้พลังของคนที่ดูรอบเดียวก็สำแดงออกมาไม่ได้
จางหนิงพอจะเดาจุดประสงค์ของขุนนางเมืองหลี่มู่ได้แล้วว่าคืออะไร
เขาไม่คิดเลยว่าโลกนี้จะมีอัจฉริยะเช่นนี้อยู่จริงๆ สามารถเห็นแล้วไม่ลืม ดูผู้อื่นออกท่าเพียงรอบเดียวก็ลอกเลียนแบบเคล็ดวิชาของอีกฝ่ายได้
นี่มันปีศาจชัดๆ
“ไปเสีย”
หลี่มู่โยนดาบในมือกลับไปบนชั้นวางอาวุธ ก่อนโบกมือไล่
ประตูเหล็กด้านข้างถูกเปิดออกอีกครั้ง
ทหารมือปราบสองคนเดินมา เก็บดาบในมือของจางหนิง จากนั้นส่งสัญญาณให้เขาเข้าไป
จางหนิงลังเลครู่หนึ่ง
เพราะประตูนี้คือประตูที่หวางชงผู้แพ้ก่อนหน้านี้เข้าไป
หวางชงที่เป็นผู้แพ้การต่อสู้ครั้งนั้นไม่มีทางมีจุดจบที่ดี เช่นนั้นก็เป็นการบอกว่าหลังประตูเหล็กบานนี้ต้องมีอันตรายร้ายแรงอะไรซ่อนอยู่แน่ หากตนถูกพาเข้าไปด้วยจะไม่เคราะห์ร้ายมากกว่าดีหรอกรึ?
เรียนเคล็ดวิชาของพวกตนทั้งสองแล้ว ก็จะฆ่าคนปิดปากอย่างนั้นหรือ?
จางหนิงทั้งตื่นกลัวทั้งโกรธแค้น
“เจ้าพูดเอาไว้ คนที่ชนะออกไปได้อย่างปลอดภัย” เขาจ้องหลี่มู่เขม็ง
หลี่มู่ไม่พูดอะไร ทำแค่ยิ้มเท่านั้น
ด้วยการฉุดกระชากของมือปราบสองคน จางหนิงถูกลากไปยังประตูเหล็กบานนั้น
“ข้าตายไปเป็นผีก็ไม่มีทางปล่อยเจ้า…ข้า…” จางหนิงตะโกนลั่น
หลี่มู่หัวเราะเสียงดัง
เสียงหัวเราะนี้ จางหนิงได้ยินแล้วไม่ต่างจากเสียงหัวเราะเหี้ยมเกรียมของปีศาจ
เขาโกรธแค้นถึงขีดสุด
……
หลังจากนั้นประมาณหนึ่งถ้วยชา
ท่ามกลางแสงอาทิตย์จ้าตา จางหนิงเงียบงัน
ความโกรธในใจเขาสลายหายไปนานแล้ว
โซ่ตรวนที่มือและเท้าก็ถูกปลดออกไป
ที่ที่เขายืนอยู่คือนอกคุก
หรือกล่าวอีกนัยก็คือ เขาเป็นอิสระแล้ว
“ใต้เท้ากล่าวว่าเจ้าไม่มีความผิดอะไรในอำเภอขาวพิสุทธิ์ ตามกฎหมายของจักรวรรดิ ไม่เพิ่มบทลงโทษ สามารถไปได้แล้ว” เมื่อมือปราบหนุ่มคนหนึ่งพูดถึงหลี่มู่ ใบหน้าก็ปรากฏความภาคภูมิใจและสงบเยือกเย็น เขามองจางหนิงแล้วเอ่ยขึ้น “เจ้าต้องไปจากเมืองภายในหนึ่งก้านธูป ใต้เท้ากล่าวไว้ว่าช่วงระยะนี้เมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์ไม่ต้อนรับคนในยุทธจักร”
จางหนิงพยักหน้าอย่างไร้ชีวิตเหมือนหุ่นกลไก
เขาบอกไม่ได้เช่นกันว่าตอนนี้ตนเองรู้สึกอย่างไร
แต่ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในหลายวันนี้ สำหรับเขาแล้วสั่นคลอนเขาอย่างรุนแรง
เขาก้าวขาออกไปราวกับหุ่นไม้
เดินไปสามสี่ก้าวเขาพลันนึกอะไรขึ้นได้ จึงหันกลับมาถาม “หวางชง…ยอดฝีมือสำนักเขี้ยวพยัคฆ์ที่พาออกมาจากประตูเหล็กเมื่อครู่นี้ก็ถูกปล่อยตัวไปแล้ว?”
มือปราบหนุ่มพยักหน้า “ปล่อยไปแล้ว แต่ว่าหวางชงกระทำความผิดในเมือง ถึงแม้จะเป็นความผิดเล็กๆ แต่ก็ต้องไปรับบทลงโทษ หลังจากจ่ายค่าปรับมากพอก็จากไปแล้ว”
เป็นเช่นนี้จริงๆ ด้วย
ที่แท้หวางชงก็ไม่ตาย
เมื่อได้รับคำตอบเช่นนี้ ไม่รู้ว่าทำไมจางหนิงพลันโล่งใจ
ก่อนหน้านี้ ขุนนางเมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์หลี่มู่พูดไว้ว่า ‘ผู้ชนะจากไปได้อย่างปลอดภัยไร้รอยขีดข่วน’ แท้จริงแล้วก็ไม่ได้พูดว่าผู้แพ้จะต้องตาย แต่ตอนนั้น ในสภาพแวดล้อมแบบนั้น พวกเขาก็คิดโยงไปโดยไม่รู้ตัวว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น คิดว่าผู้ชนะรอดผู้แพ้ตาย
ตอนนี้มาคิดๆ ดูในช่วงสุดท้าย เสียงหัวเราะลั่นของขุนนางเมืองหลี่มู่นึกให้ละเอียดแล้วที่แท้ก็เล่นตลกเสียมากกว่า ไม่ได้เหี้ยมโหดคลุ้มคลั่งอย่างที่เขาคิด
จางหนิงเงยหน้ามองท้องฟ้า
ฟ้าใสกระจ่างนัก
แสงอาทิตย์ส่องสว่าง
อากาศอบอุ่น
‘บางทีอาจถึงเวลาที่ข้าจะถอนตัวจากพรรคมังกรฟ้าแล้ว…’
ใจของเขาเกิดความคิดนี้ขึ้นมา
‘สิบปีมานี้ สังหารปล้นชิง ชื่อเสียงจอมปลอม มีแต่ทุ่มเทสุดชีวิตให้คนอื่น แต่ก็จำได้ว่าเมื่อไม่นานมานี้ข้ามีความฝันวีรบุรุษอยากเป็นจอมยุทธ์ผดุงคุณธรรมเช่นกัน เหตุใดวันนี้จึงกลายเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดอาศัยอำนาจรังแกผู้คนได้?’
ครั้งนี้จางหนิงเหงื่อไหลซึมขึ้นมาจริงๆ
เขาย้อนคิดทบทวนและสั่นสะท้านจากในจิตวิญญาณ
‘ปณิธานน่ะหรือ
ปณิธานของข้า ข้าทิ้งมันไปตั้งแต่เมื่อใดกัน?’
ขณะรู้แจ้งในทันที จู่ๆ เขารู้สึกอยากร้องไห้ยิ่งนัก
‘แสงดาบเงากระบี่ ท่องไปในยุทธจักร จับดาบผดุงคุณธรรมทั่วหล้า อาจเป็นเส้นทางสำหรับอัจฉริยะชั้นยอดเช่นขุนนางเมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์หลี่มู่กระมัง ส่วนข้า…ยังห่างชั้นอีกไกลนัก ไยจึงต้องสู้แย่งชิงชื่อเสียงในยุทธจักรกันด้วยเล่า?’
ในใจของจางหนิงเกิดความคิดที่จะถอนตัว
ทางที่เดินผิดยังไม่นับว่าไกล รู้แล้วว่าวันนี้คือสิ่งที่ถูกต้องและอดีตคือสิ่งที่ผิดพลาด
เพียงคิดเช่นนี้ เขาก็พลันรู้สึกว่าฟ้าดินกว้างขวาง รู้สึกโล่งสบายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“สหายผู้นี้ หากทำได้ละก็ ฝากไปแจ้งแก่ใต้เท้าที ในยุทธจักรนับจากนี้ไม่มี ‘ดาบนางแอ่น’ จางหนิงผู้นี้อีกต่อไป”
พูดจบเขาก็ก้าวเท้าจากไปท่ามกลางแสงตะวัน
……………………………………………………