ตอนที่ 87 ศึกรับอนุภรรยา (9)

เจ้าสาวร้อยเล่ห์

เยี่ยนมี่เอ๋อร์พาหลิงหลงกับจิงอิ๋งที่ท่าทางโกรธเป็นฟืนเป็นไฟและไม่พอใจกลับมาที่เรือนมีคู่ จิงอิ๋งโพล่งออกมาทันที “พี่สะใภ้ เจ้าทำเช่นนี้ได้อย่างไร? อย่างน้อยก็ต้องรอจนกว่าหญิงสารเลวคนนั้นถูกทุบตีแล้วค่อยปล่อยนางไป!”

“จริงด้วย!” หลิงหลงค่อนข้างไม่พอใจเช่นกันกล่าวว่า “พี่สะใภ้มักจะฉลาดหลักแหลม จะทำผิดพลาดแบบนี้ได้อย่างไรเล่า ในเมื่อรู้ว่าจิงอิ๋งวิ่งไปหาเรื่องนาง เจ้าก็ควรปล่อยให้จิงอิ๋งระบายความโกรธ ต่อให้อยากจะเป็นคนดี เป็นคนกลางไกล่เกลี่ย ก็ควรจะชะลอไว้สักพัก รอให้จิงอิ๋งกับข้าบังคับลูกผู้พี่ให้เล่นงานนาง ให้นางรู้ว่ามีบางคนที่ตอแยไม่ได้ ไม่เช่นนั้นจะมีผลร้ายแรงตามมา แล้วค่อยปรากฏตัวให้อภัยนางก็ยังไม่สายเกินไปหรอก”

“อีกเพียงนิดเดียวก็จะทำให้ลูกผู้พี่เล่นงานนางได้แล้ว เจ้าช้าลงหน่อยจะเป็นไรไป!” จิงอิ๋งกล่าวอย่างเดือดดาลว่า “เจ้าไม่คับแค้นใจใดๆ กับพวกนาง แต่พวกนางคิดหาวิธีจะทำให้เจ้าเศร้าตรอมตรม ทำให้เจ้าร้องไห้อย่างน่าเศร้าตลอดทั้งคืน ขมวดปมนับเป็นปฏิปักษ์ได้แล้ว!”

เยี่ยนมี่เอ๋อร์โอบกอดน้องสาวสามีทั้งสองคนที่เอาแต่ดุนางมาไว้ในอ้อมแขนอย่างมีความสุข แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่ว่านางจะทำอะไรก็ตาม แต่สิ่งที่นางทำก็ทำให้ข้ารู้ว่าพวกเจ้าคิดถึงข้าอยู่ในใจ ปกป้องข้า ข้าควรจะขอบคุณนาง!”

“พี่สะใภ้…” เด็กสาวทั้งสองตะโกนพร้อมกันอย่างลำบากใจเล็กน้อย น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความออดอ้อนและไม่เชื่อฟังเหล่านั้นทำให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์อิ่มเอมระคนอบอุ่นใจ

“แต่เรื่องนี้ยังไม่สิ้นสุด!” หลิงหลงกล่าวเสียงเข้ม “พี่สะใภ้ พี่ชายใหญ่ได้ตกลงกับท่านพ่อท่านแม่แล้ว เมื่อคนของตระกูลชุยมาถึง ท่านแม่จะเป็นฝ่ายเอ่ยกับฮูหยินชุยเองเรื่องแต่งชุยอวี่เฟยเข้ามา”

เยี่ยนมี่เอ๋อร์ตัวแข็งทื่อ ให้ชุยอวี่เฟยแต่งเข้ามา? เป็นการตัดสินใจของซั่งกวนเจวี๋ย เขาต้องการทำอะไร?

“ให้ผู้หญิงคนนั้นเข้ามา?” จิงอิ๋งร้องออกมาแล้วพูดอย่างดุเดือดว่า “ถ้านางกล้าแต่งเข้ามา ข้าก็กล้าฆ่านาง!”

“เจ้ารีบร้อนอะไรนัก!” หลิงหลงไม่ได้สังเกตเห็นความแข็งขืนของเยี่ยนมี่เอ๋อร์พลางกล่าวว่า “ถ้าตระกูลชุยกล้าตกลงเรื่องนี้ ข้าตายก็จะไม่แต่งกับชุยฮ่าวหรัน ถ้าไม่ตกลง พวกเขาก็จะหาใครสักคนมารับโทษที่ยุยงให้ทะเลาะวิวาท ในเมื่อหวังเหมยเสียนและหลี่ฉยงอวี่สมรู้ร่วมคิดกัน ก็ควรแบกรับโทษทัณฑ์ไปด้วยกันใช่ไหมเล่า?”

ที่แท้เป็นอย่างนี้ จะว่าไปการกระทำของหลิงหลงและจิงอิ๋งก็เป็นซั่งกวนเจวี๋ยที่ยุยงไม่ใช่หรือ? เยี่ยนมี่เอ๋อร์คิดในใจอย่างหวานชื่น ดูท่าซั่งกวนเจวี๋ยจะใส่ใจตัวเองมากขึ้นแล้ว ถือเป็นสัญญาณที่ดี!

“ถ้าตระกูลชุยไม่ต้องการเจ้า จะแต่งชุยอวี่เฟยเข้ามาเล่า?” คนเลวย่อมไม่พูดอะไรที่ดีๆ หรอก จิงอิ๋งเอ่ยปากก็พูดคำหยาบคาย หลิงหลงโกรธมากจนกลอกตาค้อนขวับ

“ช่างเป็นเรื่องดี! หลังจากที่ข้าแต่งเข้าตระกูลชุย พวกนางจะไม่มีโอกาสเสียใจกับความคิดที่จะสร้างความเสียหายได้อีก” หลิงหลงจ้องเขม็งมองนางแล้วพูดอย่างคับแค้นใจว่า “พี่สะใภ้ เจ้าไม่ต้องกังวล ต่อให้ไปถึงขั้นนั้น ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร ชุยอวี่เฟยเพียงแค่เข้ามาในฐานะอนุภรรยา ถ้านางแต่งเข้ามา ท่านแม่จะล้มป่วย เพียงแค่ไปหาหมอดูแล้วบอกว่านางมีดวงเป็นกาลกิณีกับท่านแม่ จับนางโกนผมแล้วส่งไปเป็นแม่ชี ตระกูลชุยจะเพิกเฉยต่อชีวิตท่านแม่ได้ไหม จะยอมแตกคอกับตระกูลซั่งกวนเพื่อปกป้องนางหรือไม่?”

ดูท่าข้าจะยังโหดเหี้ยมไม่พอ! เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่ได้คาดหวังว่าซั่งกวนเจวี๋ยจะไร้ความปรานีมากขึ้น แต่รู้สึกดีมากจริงๆ ที่ได้รับการปกป้องเช่นนี้ ทว่าซั่งกวนเจวี๋ยรู้ได้อย่างไรว่านางร้องไห้ตลอดทั้งคืน หรือว่าในตอนกลางคืนที่รู้สึกว่ามีใครบางคนจะไม่ใช่ภาพลวงตา แต่ที่มีคนลอบเข้าห้องมาตอนดึกดื่นเกิดขึ้นจริงหรือ? ดูเหมือนซั่งกวนเจวี๋ยจะเก่งกว่าตนมาก จึงสามารถอยู่ได้ทั้งคืนโดยไม่ให้รู้ตัวได้เช่นนี้! ไม่น่าแปลกที่ท่านป้าไม่อาจจะลอบสังหารซั่งกวนฮ่าวสำเร็จได้สักครั้งใช่ไหม? ถ้าดูจากพ่อที่ถ่าย ทอดมาถึงลูกชาย ซั่งกวนฮ่าวควรจะมีวรยุทธ์ที่เหนือชั้นกว่าท่านป้า แล้วท่านป้าหนีมาได้อย่างไร?

“พี่สะใภ้ พี่ชายใหญ่ให้ข้าฝากบอกเจ้าว่ายามนี้ท่านแม่เสียใจมาก เสียใจที่พูดเรื่องพรรค์นั้น ทำให้เจ้าทุกข์ทรมานใจ นางไม่ได้คิดมากขนาดนั้น เป็นคนหูเบา จึงถูกคนอื่นหลอกใช้ง่าย ยังขอให้เจ้าอย่าถือสานาง” หลิงหลงมองสีหน้าของเยี่ยนมี่เอ๋อร์อย่างระมัดระวังพลางกล่าวว่า “แม้ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่สนใจนาง แต่นางมักจะทำแบบนี้บ่อยๆ และทุกครั้งจะถูกท่านพ่อสั่งสอนสิบวันถึงครึ่งเดือน แล้วก็ลืมเรื่องนี้ไป จนทำผิดอีกครั้ง แต่ในเมื่อพี่ชายใหญ่พูดเช่นนั้น ข้าคิดว่าก็สมเหตุสมผลแล้ว”

“ข้าขอแนะนำให้เพิกเฉยต่อนางด้วย!” จิงอิ๋งพยักหน้าระรัว โดยไม่คิดว่า ‘นาง’ คือมารดาของตนแล้วพูดว่า “พี่สะใภ้ รอให้นางมาพูดดีๆ กับเจ้าแล้วค่อยให้อภัยนาง!”

ยัยสองสาวนี่! เยี่ยนมี่เอ๋อร์หยิกแก้มของทั้งสองแล้วพูดกลั้วหัวเราะว่า “เด็กแก่นแก้วอย่างพวกเจ้าสองคนปฏิบัติต่อแม่ของตนแบบนี้หรือ? พวกเจ้าจำไว้ว่า นางเป็นแม่ ไม่ใช่คู่อรินะ!”

“แต่ว่า…” จิงอิ๋งพูดตามปกติว่า “เราปฏิบัติกับนางเช่นนี้!”

“ถึงว่าพวกเจ้าไม่ใช่ลูกสาวที่เอาใจใส่!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์สอนว่า “ลูกสาวเป็นคนที่ทะเลาะกับนางได้ ยังไม่ทันไรก็มุดเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนทำตัวเหมือนเด็กเอาแต่ใจ เป็นคนที่งอนตุปัดตุป่องไม่สนใจใครแต่ยังเป็นห่วงแม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นในเรื่องนี้ เป็นเพราะท่านแม่ไม่ระมัดระวังเพียงพอ จึงตกเป็นเป้าถูกหลอกใช้งาน และไม่ได้มีเจตนามุ่งเป้ามาที่ข้า ข้าย่อมจะไม่ตำหนินาง!”

“พูดได้ดี!” ซั่งกวนเจวี๋ยเอ่ยปากขณะยืนอยู่นอกประตูได้ยินพวกนางพูดคุยกัน จริงๆ แล้วเขาไม่อยากให้จิงอิ๋งและหลิงหลงเข้ามายุ่งเกี่ยว เวลาค่อนข้างกระชั้นชิด จึงขัดจังหวะการสนทนาของทั้งสาม

“ท่านพี่!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ส่งเสียงเรียกด้วยความประหลาดใจ เมื่อเห็นซั่งกวนเจวี๋ยเข้ามาก็ตื้นตันใจเพราะไม่นึกเลยว่าซั่งกวนเจวี๋ยจะยุยงและบงการให้พวกน้องสาวไประบายความโกรธ บนใบหน้าจึงฉายรอยยิ้มและความสุขจนไม่อาจปกปิดได้เลย

“มี่เอ๋อร์ ข้าดีใจมากที่เจ้าไม่เอาเรื่องโง่เขลาที่ท่านแม่ทำมาใส่ใจ” ซั่งกวนเจวี๋ยมองความงามเพริศแพร้วของภรรยา นางแต่งหน้าจัดทำให้เขาไม่คุ้นชินอยู่บ้าง กลับปวดร้าวใจมากกว่า รู้ว่าทำเพื่อปกปิดสีหน้าซีดเซียวและเปลือกตาปูดบวม เขานั่งตรงข้ามกับทั้งสามคนแล้วพูดว่า “แต่บางคนไม่สามารถให้อภัยได้! แม้ข้ามักจะพูดว่าให้เป็นคนใจกว้าง เช่น ถ้าเราถูกสุนัขบ้ากัด เราก็ไม่ต้องไปกัดกับมันด้วย แต่บางคนเลวทรามกว่าสุนัขเสียด้วยซ้ำ ทำแผนร้ายสำเร็จโดยไม่ต้องรับโทษ ก็คิดจะทำครั้งต่อไปอีก เมื่อเวลานั้นไม่ต้องการความเอื้ออาทร แต่เป็นไม้เรียวต่างหาก หวดให้งอมพระราม ต่อให้ทุบตีสุนัขจักต้องดูเจ้าของ ฆ่าตายไม่ได้ ก็ต้องให้มันเจ็บปางตายถึงกระดูกเส้นเอ็น ให้รู้ว่าร้ายกาจมากแค่ไหน เมื่อเห็นเจ้าอีกจะได้รู้จักหลีกเลี่ยง

“ท่านพี่หมายถึง…” เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองซั่งกวนเจวี๋ย หลี่ฉยงอวี่ได้รับบทเรียนแล้ว ยังขาดแต่หวังเหมยเสียน แต่ตระกูลชุยนั้นแตกต่างจากตระกูลหวงฝู่ จะปฏิบัติเหมือนกันไม่ได้ ยังจำเป็นต้องคำนึงถึงหลิงหลงด้วย

“ฮูหยินชุยกับลูกสะใภ้ที่มีคุณธรรมของนางอยู่ที่นี่ พวกนางค่อนข้างจิตใจเซื่องซึม หน้าตาท่าทางผิดปกติไปหน่อย ถ้าข้าคาดการณ์ไม่ผิดล่ะก็ พวกนางต้องโดนตำหนิอย่างรุนแรงจากท่านลุงชุย เดินทางมาขอโทษท่านแม่เป็นพิเศษและอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ ข้ารู้จักฮูหยินชุยเป็นอย่างดี นางเกิดในครอบครัวขุนน้ำขุนนางที่เซิ่งจิง พ่อของนางก็เป็นนักปรัชญา ดังนั้นนางจึงเลือกหวังเหมยเสียนที่มีชาติตระกูลคล้ายกับนาง แม่สามีลูกสะใภ้ยังคงผูกพันกันดีเยี่ยมอยู่ เป็นเพราะหวังเหมยเสียนได้นางสนับสนุน ถึงอวดดีขนาดนั้น ฮูหยินชุยกลัวท่านลุงชุยมาก และก็รักศักดิ์ศรีมากด้วย อาจจะเสียหน้าขอโทษไม่ได้!”

“ข้าเข้าใจแล้ว!” ดวงตาของเยี่ยนมี่เอ๋อร์สว่างวาบขึ้น เมื่อรู้ว่าซั่งกวนเจวี๋ยต้องการให้นางทำอะไร มันอันตรายจริงๆ แต่นางชอบแล้วพูดกลั้วหัวเราะคิกคักว่า “มี่เอ๋อร์จะไปตอบท่านแม่ บอกว่ามี่เอ๋อร์พร้อมจะรับอนุภรรยาให้สามีแล้ว ขอบคุณฮูหยินชุยกับพี่สะใภ้ชุย และเข้าใจถึงความยากลำบากของพี่สะใภ้ชุยในการทำเช่นนั้นด้วย”

ซั่งกวนเจวี๋ยหัวเราะร่า เขามองออกได้จากแววตาของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ นางรู้ดีว่าต้องทำอย่างไร จิงอิ๋งมองด้วยใบหน้ามึนงงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นและครุ่นคิดอย่างหนัก ทางด้านหลิงหลงขบคิดว่าพวกเขาตั้งใจจะทำอะไร ส่วนซั่งกวนเจวี๋ยมีความสุขและภูมิใจอยู่ลึกๆ ที่มีภรรยาที่เจ้าเล่ห์เช่นนี้

“ถ้าอย่างนั้น มี่เอ๋อร์ไปนะ!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ชอบเรื่องที่ชิงไหวชิงพริบแบบนี้ และชอบทำแบบนี้เมื่อมีคนหนุนหลังอยู่ด้วย จึงยิ้มพูดว่า “ท่านพี่ควรไปพูดคุยปรับความเข้าใจกับบรรดานายน้อยของตระกูลชุยไหม?”

———————————–

“น้องสะใภ้ เรื่องที่ข้าบอกเจ้าเมื่อวานนี้…” ฮูหยินชุยหน้าม้าน นายท่านชุยขอให้นางมาขอโทษหวงฝู่เยวี่ยเอ้อ และยกเลิกเรื่องนี้ แม้นางจะไปด้วยความไม่เต็มใจ แต่ก็รู้ว่าสิ่งต่างๆ จะไม่ง่ายอย่างที่พวกนางคิด ชุยฮ่าวหรันไม่แม้แต่จะมองไปที่นาง ไม่ได้ช่วยพูดอะไรที่ทำให้นางดูดี ทันทีที่มาถึงตระกูลซั่งกวนก็ไปหาหลิงหลง

“พี่สะใภ้ เรื่องนี้ไม่เป็นไร!” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อใบหน้ายิ้มระรื่นพลางกล่าวว่า “ข้าน่ะ คิดหน้าคิดหลังเรื่องนี้ทั้งคืน รู้สึกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องดีทีเดียว ข้าพูดกับลูกสะใภ้แล้ว นางก็ชอบมากเช่นกัน บอกว่ามีคนมาอยู่เพิ่มด้วยก็ดี!”

ฮูหยินชุยตกตะลึง ไม่รู้ว่าจะตอบบทสนทนาอย่างไรเลย นางเหลือบมองหวังเหมยเสียนปราดหนึ่ง นางไม่ได้บอกว่า เยี่ยนมี่เอ๋อร์มีปฏิกิริยาอย่างรุนแรง และปฏิเสธเรื่องนี้ในบัดดลหรือ?

“น้องสะใภ้เจวี๋ยเห็นด้วยหรือ?” หวังเหมยเสียนพูดอย่างตะกุกตะกัก นางไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตระกูลซั่งกวนในชั่วข้ามคืน ทำไมหวงฝู่เยวี่ยเอ้อจึงเห็นด้วยกับเรื่องนี้ ทั้งยังบอกว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็เห็นด้วยเช่นกัน

“ใช่แล้ว!” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อมองหวังเหมยเสียน มีความรังเกียจในหางตาที่ปิดซ่อนไม่มิด นางเข้าใจผิดคิดว่าหวังเหมยเสียนเป็นต้นคิดเรื่องนี้ทั้งหมด เข้าใจว่านางคิดจะใช้มันมาทำลายชีวิตแต่งงานของหลิงหลงกับฮ่าวหรัน ต่อให้จะทำลายไม่ได้ก็ตาม จะทำให้ฮูหยินชุยไม่ลงรอยกับหลิงหลงและตระกูลซั่งกวนอย่างลับๆ แต่ไม่คาดคิดว่าฮูหยินชุยจะมีความคิดที่บอกใครไม่ได้

“ฮูหยิน สะใภ้ใหญ่มาน้อมทักทายท่านเจ้าค่ะ!” ม่านหรูยิ้มแล้วพูดว่า “รู้ว่าท่านมีแขก จึงรออยู่ข้างนอกเจ้าค่ะ!”

“มี่เอ๋อร์มาแล้ว เจ้าสาวใช้ตัวแสบคนนี้นี่ ยังไม่รีบเชิญสะใภ้ใหญ่เข้ามาอีก!” ใบหน้าของหวงฝู่เยวี่ยเอ้อดีอกดีใจและเก็บอาการทันที เจวี๋ยเอ๋อร์บอกว่าจะอธิบายให้มี่เอ๋อร์ฟังอย่างค่อยเป็นค่อยไป จะให้มี่เอ๋อร์มาร่วมมือกับนาง แล้วให้บทเรียนหวังเหมยเสียนอย่างสาสม ดูท่าเจวี๋ยเอ๋อร์จะทำสำเร็จแล้ว

“มี่เอ๋อร์น้อมทักทายท่านแม่!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์คุกเข่าคารวะหวงฝู่เยวี่ยเอ้อด้วยความเคารพ หวงฝู่เยวี่ยเอ้อได้บอกไว้แต่เนิ่นๆ ว่าไม่อนุญาตให้นางคุกเข่าคำนับเช่นนี้ นอกจากพิธียกน้ำชาแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์ทำอย่างนี้ ที่นางทำครั้งนี้เพื่อจะแสดงให้แม่สามีและสะใภ้ชุยเห็น

“ไม่ได้บอกเจ้าหรือว่าไม่ต้องคุกเข่าใหญ่โตเช่นนี้ ยังไม่รีบลุกขึ้นมาอีก!” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อทำท่าจะพยุงขึ้น จื่อหลัวก็ช่วย ประคองเยี่ยนมี่เอ๋อร์ลุกขึ้น

“ท่านป้าชุยอายุยืนหมื่นปีหมื่นๆ ปี!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์โค้งคำนับให้ฮูหยินชุยซึ่งมีสีหน้าแตกต่างกันเล็กน้อย หลังจากฮูหยินชุยบอกนางว่าไม่ต้องมากพิธี นางก็ทักทายหวังเหมยเสียนอีกครั้ง จากนั้นก็ยืนข้างๆ หวงฝู่เยวี่ยเอ้ออย่างเป็นธรรมชาติ แม่นม

หยางถอยออกไปอย่างรู้ความ

“ท่านแม่พูดเช่นนี้อีกแล้ว!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์พูดอย่างกระเง้ากระงอดว่า “ท่านแม่จะไม่ให้มี่เอ๋อร์คุกเข่าใหญ่โต นั่นเป็นเพราะท่านแม่เห็นใจว่ามี่เอ๋อร์สุขภาพอ่อนแอ แต่มี่เอ๋อร์ไม่ได้ถูกเลี้ยงมาตามใจ จะไม่แสดงความเคารพต่อท่านแม่จริงๆ ได้หรือ! อีกอย่างมี่เอ๋อร์ก็รู้ว่าท่านแม่เอ็นดูมี่เอ๋อร์ จะไม่ปล่อยให้มี่เอ๋อร์คุกเข่านาน!”

“มี่เอ๋อร์เอ๋ย ข้ากับท่านป้าชุยของเจ้าคุยกันว่าจะแต่งอวี่เฟยเข้ามา เจ้ามาได้บังเอิญพอดีเชียว!” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อยิ้มและพูดว่า “เจ้าบอกว่า เจ้าเห็นด้วยกับเรื่องนี้แล้วใช่ไหม?”

“เรื่องดีมาถึงประตูจะไม่รับได้อย่างไร!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์คลี่ยิ้มแล้วพูดว่า “มี่เอ๋อร์รู้สึกขอบคุณท่านป้าชุยกับพี่สะใภ้ชุยมากจริงๆ เรื่องนี้ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นการช่วยคนที่ตกทุกข์ได้ยากอย่างมี่เอ๋อร์”

หา? ฮูหยินชุยกับหวังเหมยเสียนมองหน้ากันเลิ่กลั่ก จู่ๆ เรื่องนี้จะเปลี่ยนไปมากขนาดนี้ได้อย่างไร ทำให้พวกนางรู้สึกตั้งรับไม่ทันเล็กน้อย

“นี่…น้องสะใภ้เจวี๋ยไม่ได้บอกว่าจะไม่ยอมรับเด็ดขาดหรือ?” หวังเหมยเสียนพูดติดอ่างว่า “ทำไมถึงเปลี่ยนแปลงอย่างพลิกหน้ามือเป็นหลังมือในชั่วข้ามคืนเช่นนี้? ข้าได้ยินไม่ผิดกระมัง!”

“ข้าเคยพูดคัดค้านหรือ?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ดูสับสนราวกับถูกหวังเหมยเสียนพูดให้งงงัน จึงหันไปหาหวงฝู่เยวี่ยเอ้อแล้วพูดขอร้องว่า “ท่านแม่ ข้าจำได้ชัดเจนว่าข้าเห็นด้วยกับเรื่องนี้ มักจะมีการเพิ่มดอกไม้บนผ้าดิ้นที่สวยงาม การช่วยคนตกทุกข์ได้ยากเช่นนี้ไม่ได้มีบ่อยครั้ง หรือว่าข้านอนหลับแล้วเลอะเลือนไปหรือเปล่า?”

“เลอะเลือน!” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อหัวเราะเอ่ยขึ้นว่า “เจ้าบอกว่าเรื่องได้ทีขี่แพะไล่เกิดขึ้นบ่อย แต่ช่วยคนตกทุกข์ได้ยากมีน้อย ข้าบอกแล้วว่าตระกูลชุยและตระกูลซั่งกวนของเรามีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดา ไม่ถือว่าช่วยคนตกทุกข์ได้ยากหรอก แค่เพิ่มดอกไม้บนผ้าดิ้นที่สวยงามเท่านั้นเอง!”

“ที่แท้ข้าเลอะเลือนจริงๆ!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ตบหน้าผากแล้วยิ้มพรายพูดว่า “ในขณะที่ท่านป้าชุยอยู่ที่นี่ มี่เอ๋อร์ขอโขกศีรษะคำนับต่อหน้าท่านป้าชุย ขอบคุณท่านป้าชุยถึงจะถูก!”

“ขอบคุณอะไรกัน?” ฮูหยินชุยรู้สึกกระวนกระวายใจมาก พร้อมกับใบหน้าที่ฝืนยิ้ม

“ท่านป้าชุยยินดีตัดใจ ให้คุณหนูชุยอวี่เฟยมาเป็นอนุภรรยาของท่านพี่!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวด้วยสีหน้าซาบซึ้งใจ “มี่เอ๋อร์รู้ดีว่าเกิดมาต่ำต้อยเป็นข้อบกพร่องร้ายแรงที่สุดของมี่เอ๋อร์ แต่ว่า…มี่เอ๋อร์ทำได้แค่ฝังเรื่องนี้ไว้ในใจเท่านั้น มี่เอ๋อร์เพียง

คิดว่า ไม่ว่าจะเป็นคุณหนูและสะใภ้ใหญ่ของตระกูลชนชั้นสูงที่ได้มาเห็นมี่เอ๋อร์ ล้วนมีสายตาดูถูกดูแคลน แต่ตอนนี้มี่เอ๋อร์รู้ว่า ท่านป้าชุยแตกต่างออกไป ท่านป้าชุยเต็มใจจะส่งบุตรีที่รักดั่งแก้วตาดวงใจของตัวเองมาเป็นอนุภรรยาของท่านพี่ คุณหนูที่เลี้ยงดูจากตระกูลชนชั้นสูงผู้หนึ่งมาอยู่ในฐานะอนุภรรยา เช่นนั้นมี่เอ๋อร์ในฐานะภรรยาหลักยังจะมีใครหน้าไหนกล้ามาสบประมาทได้อีกเล่า?”

ฮูหยินชุยเป็นใบ้ หวังเหมยเสียนก็อ้าปากค้าง ในที่สุดนางก็เข้าใจว่าตัวเองกับเยี่ยนมี่เอ๋อร์เป็นมวยคนละชั้นกัน จู่ๆ ก็พูดพลิกแพลงได้ ทั้งยังพูดมีเหตุผลน่าฟังมาก นางกลับไปล่วงเกินสตรีเช่นนี้ได้

“มี่เอ๋อร์สัญญากับท่านป้า จะดูแลน้องอวี่เฟยให้ดี!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวจากใจจริงว่า “มี่เอ๋อร์ได้ปรึกษากับท่านพี่แล้ว นอกจากเรือนไร้เดี่ยวกับมีคู่ทางตะวันออกแล้ว เรือนใหญ่ที่สุดจะเก็บปัดกวาดไว้ให้น้องอวี่เฟย หากน้องอวี่เฟยมีลูกในอนาคต มี่เอ๋อร์จะได้อุ้มมาเลี้ยงดูใกล้ๆ เพื่อที่เด็กจะได้มีชื่อเสียงดีงาม ส่วนค่าอาหารการกินและเสื้อผ้าอาภรณ์จะขึ้นกับมี่เอ๋อร์เอง หากน้องอวี่เฟยต้องการอะไรเป็นพิเศษ มี่เอ๋อร์จะต้องทำให้พอใจแน่นอน!”

ฮูหยินชุยไม่รู้ว่าจะต่อบทสนทนาอย่างไรแล้ว นางถลึงตาจ้องมองหวังเหมยเสียนที่ยังคงงุนงงอยู่อย่างดุดัน ส่งสัญญาณว่าถึงเวลาแล้วที่นางจะต้องพูด ไม่เช่นนั้น เยี่ยนมี่เอ๋อร์อาจจะกำหนดวันที่ชุยอวี่เฟยจะต้องเข้าห้องหอ

“เอ่อ น้องสะใภ้เจวี๋ย เรื่องนี้ต้องปรึกษากันให้ดีก่อน!” หวังเหมยเสียนปริปากพูดอย่างหมดหนทาง “หลังจากพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว ข้ากับท่านแม่รู้สึกว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ไม่ควรทำเช่นนี้ วันนี้จึงมาแต่เช้าตรู่ เพื่อจะอธิบายให้ท่านป้าซั่งกวนกับเจ้าฟัง หวังว่าพวกเจ้าจะไม่เอาคำล้อเล่นชั่วครู่มาถือเป็นเรื่องจริงจัง!”

ยามนี้รู้ตัวว่าผิด? มาขออภัย มันสายเกินไปแล้ว!

“คำล้อเล่น? เจ้าบอกว่ามันเป็นคำล้อเล่นหรือ?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กรีดร้องด้วยใบหน้าโกรธกริ้วแล้วพูดขึ้นว่า “พูดล้อเล่นในงานมงคลสมรสหรือ? ท่านป้าชุย พี่สะใภ้ชุย แม้น้องอวี่เฟยจะเข้ามาในฐานะอนุภรรยาเท่านั้น แต่ก็เป็นงานแต่งเช่นกัน ไม่ใช่สาวใช้เมียบ่าว ถ้าตอบตกลง แต่งหน้าทำผมในวันเดียวกันส่งไปที่ห้องได้ ถ้าไม่ตกลง ส่งเด็กจับแยกคู่ได้ทันที! นอกจากนี้ น้องอวี่เฟยไม่ได้มาจากบ้านชาวนาโกโรโกโส แต่เป็นคุณหนูจากตระกูลสูงส่ง จะพูดเล่นสนุกปากอย่างนั้นได้หรือ!”

“มี่เอ๋อร์ พูดดีๆ อย่าตะโกนเสียงดัง!” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อตำหนิ “เหมยเสียนบอกว่าปรึกษากันให้ดีก่อน ไม่ได้บอกว่าจะไม่มอบอวี่เฟยให้เป็นอนุภรรยาของเจวี๋ยเอ๋อร์”

“มี่เอ๋อร์ตื่นเต้นเกินไป!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์พูดด้วยสีหน้าผ่อนคลายว่า “แต่ท่านแม่ แม้มี่เอ๋อร์จะตัดสินใจ ต้อนรับน้องอวี่เฟย แต่งเข้ามา แต่ก็บอกตัวเองอย่างสมเหตุสมผลว่า การแต่งเข้ามาของน้องอวี่เฟย จะทำให้มิตรภาพของตระกูลซั่งกวนกับตระกูลชุยดีขึ้น ท่านพี่ได้มีอนุภรรยาที่สวยฉลาดเข้าอกเข้าใจผู้คน มี่เอ๋อร์จะได้มีเกียรติและศักดิ์ศรีมากขึ้น ได้เพิ่มกิ่งก้านสาขาอีกคนหนึ่งให้ตระกูลซั่งกวนได้…ยิงปืนนัดเดียวได้นกหลายตัว แต่มี่เอ๋อร์กับท่านพี่เพิ่งแต่งงานกันหยกๆ มี่เอ๋อร์ยังสงบจิตสงบใจไม่ค่อยได้ เมื่อคืนนี้ ถ้ามี่เอ๋อร์ถูกมีดบาด คงนอนไม่หลับทั้งคืน ถ้านี่เป็นเพียงคำล้อเล่น ท่านจะทำให้มี่เอ๋อร์ยอมรับได้อย่างไร?”

“น้องสะใภ้เจวี๋ย…” หวังเหมยเสียนเอ่ยพูดอีกครั้งภายใต้การจ้องมองของฮูหยินชุย “เจ้าคิดดูนะ การเข้าไปขัดเจ้ากับน้องเจวี๋ยที่ยังเพิ่งแต่งงานกันใหม่ๆ ไม่สมควรจะพูดให้อวี่เฟยแต่งเข้ามาจริงๆ มันไม่ได้ทำลายความสัมพันธ์ของเจ้ากับน้องเจวี๋ยหรอกหรือ!”

“เสียใจจนน้ำมูกน้ำตาไหลตลอดทั้งคืน ข้าไม่ถือสาหรอก!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวอย่างไม่พึงพอใจว่า “หรือพี่สะใภ้สกุลชุย อยากจะเห็นข้าร้องไห้จนขาดใจตาย ถึงได้ทำเรื่องตลกที่เลยเถิดเช่นนั้น?”

“เอ่อ…” หวังเหมยเสียนมองเยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่เปลือกตาบวมและดวงตาแดงก่ำก็มิอาจซ่อนเร้นใบหน้าที่ซีดเซียวได้ แม้จะแต่งหน้าหนักก็ตาม ถ้าบอกว่าเป็นแค่เรื่องตลก ท่าทางของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่จิตใจตึงเครียด ก็เป็นไปได้มากที่จะระเบิดออกทันที

“แค่เรื่องตลกจริงๆ!” ฮูหยินชุยรีบพูด

“ถ้าอย่างนั้น มี่เอ๋อร์อยากจะขอถาม…” เยี่ยนมี่เอ๋อร์จ้องคนทั้งสองแล้วพูดว่า “มี่เอ๋อร์ดูเหมือนเป็นคนที่ให้ใครต่อใครมาล้อเล่นได้ตามใจชอบหรือจะบอกว่าท่านป้าชุยและพี่สะใภ้ชุยชอบเล่นสัพยอกโดยไม่คำนึงถึงเวลาหรือโอกาสและฐานะของอีกฝ่าย?”

“มี่เอ๋อร์ อย่าเข้าใจผิดนะ!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์รุกถามทีละก้าวทำให้ฮูหยินชุยไม่สามารถตอบได้ นางนึกไม่ถึงว่าหญิงสาวที่อ่อนโยนคนนี้ จะเจ็บแสบขนาดนี้

“ข้าไม่อยากเข้าใจอะไรผิด!” จู่ๆ เยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็ตอบกลับด้วยรอยยิ้มว่า “ตราบใดที่ท่านป้าชุยมอบน้องอวี่เฟยให้ท่านพี่ในฐานะอนุภรรยาตามที่ท่านแม่บอกไว้ เช่นนั้นก็ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น และจะไม่มีความเข้าใจผิดอะไร!”

“น้องสะใภ้เจวี๋ย เป็นอวี่เฟยเองที่นางปลงไม่ตกและไม่หักใจ!” จู่ๆ หวังเหมยเสียนก็เกิดความคิดชั่วแล่น โยนความผิดไปให้บุคคลที่ไม่ได้มาด้วย

“ใช่เลย! จริงด้วย!” ฮูหยินชุยถอนหายใจอย่างโล่งอกยกใหญ่ ยามนี้ตราบใดที่ให้นางหาเหตุผล นางก็จะคว้าไว้แล้วพูดว่า “อวี่เฟยถูกข้าตามใจจนเหลิง จะไม่อยากเป็นอนุภรรยาได้อย่างไร!”

“ไม่ใช่ว่าอวี่เฟยอดอาหาร เว้นแต่จะให้นางแต่งงานกับเจวี๋ยเอ๋อร์ ไม่อย่างนั้นนางจะยอมตายดีกว่าไม่ใช่หรือ?” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อจงใจพูดด้วยน้ำเสียงดังลั่นอย่างตกใจว่า “ถ้าไม่ใช่เพราะอย่างนี้ ข้าจะไม่เห็นด้วย นับประสาอะไรกับมี่เอ๋อร์ พี่สะใภ้ชุย ข้าอยากให้เจ้าอธิบายให้ข้าฟังสักหน่อย!”

ฮูหยินชุยตกตะลึง ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อไป นางรู้ว่าหวงฝู่เยวี่ยเอ้อเป็นคนที่หวั่นไหวง่ายเสมอ ต่อให้จะรู้ในภายหลังว่าถูกหลอกใช้ก็อาจจะโมโหไม่พอใจ นางก็ไม่ใช่คนเจ้าคิดเจ้าแค้นเช่นกัน โกรธง่ายหายเร็ว ตรงกันข้าม หากมีใครดีกับนาง นางกลับตราตรึงไว้ในใจ คนแบบนี้ดูเหมือนจะทนทุกข์อยู่ทุกหนทุกแห่ง แต่มีเพื่อนสนิทมิตรสหายมาก ทว่าอุปนิสัยเถรตรงของนางนั้น หากนางโกหกจะถูกจับได้ง่าย อารมณ์ไม่ยอมใครของนางก็เป็นที่รู้จักไปทั่วเช่นกัน ฮูหยินชุยเกลียดหวังเหมยเสียนที่ไร้สมองในตอนนี้ยิ่งนัก เมื่อมองหวงฝู่เยวี่ยเอ้อ ไม่มีอะไรอยู่ในหัวนอกจาก ‘ผิดพลาดครั้งใหญ่’ นอกนั้นมีแต่ความว่างเปล่า…

———————————-