ตอนที่ 57: คลุมถุงชน
เจี้ยนเฉินสูดลมหายใจเข้าลึกเพื่อสงบสติอารมณ์ลงก่อนที่จะเดิมไปที่ชั้นหนังสือ สายตาของเขากวาดไปทั่วชั้นหนังสือทีละเล่มก่อนที่จะเอาหนังสือเล่มหนึ่งออกมา เขาเดินไปที่กึ่งกลางของชั้นไปที่โต๊ะและนั่งลง หนังสือมีข้อมมูลเชิงลึกเช่นเดียวกับกับทักษะสำหรับการตัดผ่านช่วงคอขวด แม้แต่เซียนปฐพีก็ยังสามารถได้รับประโยชน์จากบันทึกที่เขียนไว้อย่างชัดเจนนี้ได้
แม้ว่าจะไม่ได้มีหนังสือมากที่ชั้นนี้ แต่คุณภาพของเนื้อหาด้านในนั้นมีมากมาย ถ้าหนังสือหนึ่งในนี้ถูกปล่อยออกไปสู่สายตาคนทั่วไป มันคงต้องเกินการฆ่าชิงเพื่อเอามันมาแน่
เจี้ยนเฉินพลิกหน้าหนังสือไปทีละหน้าในขณะที่เขาอ่านมัน ในไม่ช้าหนังสือก็ถูกอ่านจนจบ แล้วเจี้ยนเฉินก็จมอยู่ในห้วงสมาธิ หนังสืออะไรก็ตามที่เขาอ่านได้ช่วยเปิดโลกแห่งความเป็นไปได้ให้กับเขา ระบบการฝึกฝนของโลกนี้ได้ล้มล้างความรู้ระบบการฝึกฝนของโลกก่อนของเขา จากหนังสือเล่มนี้ เจี้ยนเฉินก็รู้สึกเหมือนเข้าใจในระบบการฝึกฝนของของโลกนี้มากขึ้นในตอนนี้
ไม่นานหลังจากนั้น เจี้ยนเฉินก็อ่านหนังสือสิบกว่าเล่มจากชั้นจบ หนังสือครึ่งหนึ่งที่เขาอ่านพูดถึงเชิงลึกในการฝึกฝนและปัญหาที่อาจพบ อีกครึ่งหนึ่งเป็นหนังสือที่เกี่ยวกับเทคนิคการฝึกฝน แต่เทคนิคที่แข็งแกร่งที่สุดเหล่านี้อยู่ในระดับปฐพีขั้นสูงเท่านั้น สิ่งที่เจี้ยนเฉินพบว่ามีประโยชน์ที่สุดคือจดหมายส่วนตัวของอาจารย์ใหญ่คนแรก ไบรอัน
สายตาของเจี้ยนเฉินกวาดไปที่กล่องเหรียญม่วง ตามที่อาจารย์ใหญ่บอกมา กล่องเหรียญม่วงนั้นมีทักษะระดับปฐพีขั้นต้นเก็บเอาไว้ แม้ว่าเจี้ยนเฉินจะไม่รู้ว่าทักษะระดับปฐพีจะมีค่าเพียงใด แต่เขาก็รู้ว่ามันเป็นสมบัติที่ประเมินค่าไม่ได้
เพราะว่าทักษะระดับปฐพีนั้นเป็นทักษะที่แข็งแกร่งเป็นอันดับที่สองบนทวีปเทียนหยวน มีเพียงระดับที่สูงกว่าระดับเดียวคือระดับเซียน
เจี้ยนเฉินเปิดกล่องม่วงขึ้นช้า ๆ และเห็นเพียงหนังสือขนาดเท่าฝ่ามือด้านใน บนสุดของปกหนังสือมีคำเขียนว่า หัวใจสุตรา ที่เขียนไว้บนตัวหนังสือติดกัน ในตอนที่หนังสือสัมผัสถูกกับมือของเขา เจี้ยนเฉินก็รู้สึกถึงความนุ่มนวลที่เข้ามาในมือของเขา มันเหมือนว่ามันเป็นสัมผัสของความอุ่นของหนังสือแม้ว่าหนังสือจะไม่เคยถูกสัมผัสมาก่อน
หนังสือทำมาจากหนังสัตว์อสูรบางอย่าง มันอ่อนนุ่มและแข็งแกร่งซึ่งยากที่จะทำลายได้
เขาเอาหนังสือออกมาจากกล่องช้า ๆ และพลิกไปเพื่ออ่านมันอย่างระมัดระวัง เขากำลังอ่านมันด้วยใบหน้าที่เคร่งเครียดเพราะเจี้ยนเฉินรู้ว่านี่เป็นวิธีการฝึกฝนที่แข็งแกร่งและยากที่จะพบได้ แม้ว่าเขาจะไม่ได้วางแผนว่าจะฝึกฝนมันแต่แรก แต่การอ่านมันนั้นอย่างน้อยก็ทำให้เขาได้ประโยชน์ แม้ว่าเขาจะไม่มั่นใจว่าเขาจะพบบางอย่างที่มีค่าที่จะช่วยเขาในการแก้ปัญหาของเขาได้หรือไม่
สองชั่วยามต่อมา เจี้ยนเฉินก็ละสายตาจากหนังสือในที่สุด ในขณะที่เขาก้มหัวทำสมาธิอยู่ หลังจากที่เขามั่นใจว่าเขาจำเนื้อหาในหนังสือได้แล้ว เขาก็คืนมันกลับไปที่กล่องเดิมและจากนั้นเขาก็เดินกลับมาที่โต๊ะ
สายตาของเขามองไปที่ชั้นหนังสือก่อนที่ถอนหายใจออกมา เจี้ยนเฉินเดินลงมาด้านล่างอย่างไม่เสียใจ เพราะเขาได้ประโยชน์มากมายในวันนี้ที่หอหนังสือชั้นที่เจ็ด
ตอนที่เจี้ยนเฉินกำลังลงมา เขาก็มองไปที่หอหนังสือชั้นที่หก แม้ว่าหนังสือภายในชั้นที่หกจะไม่ได้มีค่าเท่าในชั้นที่เจ็ด แต่ประโยชน์จากความรู้ที่ได้จากมันก็ถือว่าดีเยี่ยม สำหรับเจี้ยนเฉินแล้ว คนรุ่นก่อนนั้นเป็นคนส่งต่อความรู้และข้อมูลเชิงลึกของพวกเขาลงไปในหนังสือเหล่านั้น ดังนั้นความรู้จึงเป็นสิ่งที่มีประโยชน์
เจี้ยนเฉินได้รู้เรื่องสมบัติจิตวิญญาณหลายอย่างของทวีปเทียนหยวน ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ไม่สามารถหาได้ที่หอหนังสือห้าชั้นแรก
ในตอนที่เจี้ยนเฉินเดินออกมาจากหอหนังสือ ท้องฟ้าก็มืดแล้ว เขาไม่รู้ตัวเลยว่าเขาได้ใช้เวลาทั้งวันไปในหอหนังสือ เขาลืมแม้แต่ความหิว
“จ้อก…” ในตอนนี้เอง ท้องของเจี้ยนเฉินก็ส่งเสียงดังออกมาอย่างกะทันหัน
เจี้ยนเฉินลูบท้องตัวเองที่ว่างเปล่าซึ่งมันก็เริ่มปวดนิด ๆ เขาอดยิ้มไม่ได้ และจากนั้นเขาก็เดินไปที่ห้องอาหาร
หลังจากที่กินข้าวเย็นอย่างเร็วแล้ว เจี้ยนเฉินก็กลับไปที่หอ ระหว่างทาง เขาได้เจอกับสายตาของศิษย์หลายคน มันมีทั้งความอิจฉา ริษยา ความเคารพ และท่าทางอื่น ๆ ในสายตาของพวกนั้น
เจี้ยนเฉินไม่ได้สนใจรอบ ๆ และเดินไปที่หอโดยไม่ได้มองไปที่ใดเลย หลังจากที่เขาเข้าไปในหอ เขาก็เห็นร่างที่คุ้นเคยไกล ๆ ยืนอยู่ที่หน้าห้องของเขา เขารู้สึกโล่งใจเมื่อรู้ว่านั่นคือพี่ชายของเขา เจียงหยางหู่
“มันก็ดึกมากแล้ว แต่ท่านพี่ก็ยังรอข้ากลับมาอีก มีบางอย่างเร่งด่วนที่เขาต้องการจะบอกข้าหรือเปล่า?” เจี้ยนเฉินเดาในใจ เขารีบเดินไปที่นั่น
“ท่านพี่ มันก็ดึกมากแล้ว ทำไมท่านถึงรอข้าอยู่ที่นี่? อะไรที่ทำให้ท่านต้องพูดคุยในวันนี้เลยหรือ ? ” เจียนฉินถามในขณะที่เขาเดินไปหาเจียงหยางหู่
เมื่อได้เห็นเจี้ยนเฉินเข้ามาใกล้ ใบหน้าของเขาขมขื่น และเขาก็พูดพร้อมถอนหายใจ “เห้อ… น้องสี่ ในที่สุดเจ้าก็กลับมาซะที เจ้าไปไหนกันวันนี้ ? ข้าตามหาเกือบทั่วทั้งสำนัก แต่ข้าก็หาเจ้าไม่พบ ข้าก็เลยมารอเจ้าอยู่ที่นี่ทั้งวันจนถึงตอนนี้”
เจี้ยนเฉินพูดแบบขอโทษขอโพย “พี่ใหญ่ ท่านตามหาข้าเพราะมีเรื่องสำคัญมากหรือไม่ ? “
เมื่อได้ยินดังนั้น เจียงหยางหู่ก็ยิ้มแล้วพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น “แน่นอน มีซิ นอกเหนือไปจากนั้น มันเป็นเรื่องใหญ่ด้วย มาน้องสี่ พวกเราเข้าไปคุยกันในห้อง”
เจี้ยนเฉินพยักหน้าและเอากุญแจออกมาจากเข็มขัดมิติของเขาเพื่อที่จะเปิดประตูห้อง ประตูห้องถูกเปลี่ยนใหม่แล้ว ตั้งแต่ที่บานเก่ากลายเป็นซากเพราะเพราะรองอาจารย์ใหญ่
ทันทีที่พวกเขาเข้าไปในห้อง เจียงหยางหู่ก็ปิดประตูและพูดอย่างรีบร้อน “น้องสี่ ทางตระกูลเพิ่งส่งข้อความมา เจ้าโชคดีมาก พี่ใหญ่อิจฉาเจ้าจริง ๆ “
เมื่อได้ยินดังนั้น เจี้ยนเฉินก็งงและเขาก็ถามออกไปอย่างสับสน “พี่ใหญ่ มีอะไรเกิดขึ้นกันแน่?”
เจียงหยางหู่นั่งลงที่เตียงของเจี้ยนเฉินแล้วยิ้มอย่างมีความสุข “น้องสี่ ข้าเดาว่าเจ้ายังไม่รู้ ท่านพ่อได้จัดการเรื่องงานแต่งให้กับเจ้า”
เมื่อได้ยินดังนั้น ท่าทางของเจี้ยนเฉินก็ผวาอย่างเห็นได้ชัด หลังจากที่ตั้งสติแล้ว เขาก็ถามด้วยน้ำเสียงไม่เชื่อและตกใจ “อะไรนะ! จัดการเรื่องแต่งงาน?!”
เจียงหยางหู่พยักหน้าอย่างจริงจังและตอบกลับอย่างตื่นเต้น “ถูกต้องน้องสี่ นอกเหนือไปกว่านั้น คู่หมายของเจ้านั้นเป็นถึงองค์หญิงสามของจักรพรรดิ องค์หญิงเกอหลัน ข้าได้ยินมาว่าการแต่งงานครั้งนี้เป็นคำแนะนำจากจักรพรรดิเอง”
เมื่อได้ยินดังนั้น ท่าทางของเจี้ยนเฉินก็เคร่งเครียดมากกว่าเดิม เขารู้สึกว่าสถานการณ์มันผิดปกติ และนอกเหนือไปจากนั้น เขาก็ยังไม่ได้ตกลง เขารู้สึกไม่พอใจที่การแต่งงานของเขาถูกตระกูลตัดสินใจให้โดยไม่บอกเขา การที่ถูกคนอื่นกำหนดชะตาทำให้เจี้ยนเฉินเบื่อหน่าย
เมื่อได้เห็นท่าทางของเจี้ยนเฉิน เจียงหยางหู่ก็คิดว่าเจี้ยนเฉินนั้นกังวลเกี่ยวกับหน้าตาขององค์หญิงเกอหลัน เขาอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา “น้องสี่ ไม่ต้องกังวลไป แม้ว่าข้าจะไม่เคยเห็นองค์หญิงเกอหลัน แต่ข้าก็ได้ยินเรื่องของนางมาบ้าง องค์หญิงเกอหลันเป็นพระธิดาคนที่สามของจักรพรรดิ นางงดงามล่มเมือง ตั้งแต่ที่นางยังเด็ก นางก็เป็นอัจฉริยะที่มีพรสวรรค์ นางไม่เพียงแต่ชำนาญในด้านศิลปะทั้งสี่ แต่นางยังมีความสามารถในการฝึกฝนอีกด้วย ตอนที่นางอายุสิบห้า นางก็อยู่ในระดับพลังเซียนขั้นที่เจ็ดแล้ว นางได้รับความรักจากจักรพรรดิค่อนข้างมาก นางเป็นคนโปรดของจักรพรรดิ จักรพรรดิรักทุกอย่างที่เป็นนาง”
“ตัวตนขององค์หญิงเกอหลันไม่ใช่เพียงข้อดีอย่างเดียวของนาง แค่พรสวรรค์ในการฝึกฝนของนางแล้ว แม้แต่พี่ใหญ่ของเจ้าเองก็ยังเทียบกับนางไม่ได้เลย น้องสี่ จักรพรรดิยกนางให้กับเจ้า ถือเป็นโชคดีของเจ้า อย่าทำหน้าบูดไปเลย”
เจี้ยนเฉินอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาในใจ เจียงหยางฮูไม่เข้าใจความคิดของเขาเลย แม้ว่าองค์หญิงเกอหลันจะงดงาม แต่เจี้ยนเฉินก็ไม่ได้สนใจเลย ทั้งหมดที่เขาต้องการทำในตอนนี้คือการเพิ่มความแข็งแกร่งของเขาเอง เขาไม่อยากเสียเวลาไปกับผู้หญิงในตอนนี้ เจี้ยนเฉินรู้ว่าจักรพรรดิตระหนักถึงความสำเร็จของเขาในสำนักคากัต ไม่อย่างนั้น จักรพรรดิคงไม่มีทางมั่นใจที่จะยกพระธิดาของพระองค์ให้กับเขาเป็นแน่
เพราะว่านี่เป็นการคลุมถุงชนโดยจักรพรรดิ เจี้ยนเฉินก็ไร้อำนาจในการต่อต้านการแต่งงานนี้ พ่อแม่ของเขาไม่กล้าที่จะทิ้งโอกาสที่จะสร้างความสัมพันธ์กับราชนิกุล นอกไปเสียจากจักรพรรดิยกเลิกเรื่องนี้เอง ไม่อย่างนั้นมันคงไม่มีทางที่เจี้ยนเฉินจะปฏิเสธได้ ดังนั้นเขาคงต้องยอมรับอย่างเงียบ ๆ ไป
สิ่งเดียวที่ทำให้เจี้ยนเฉินสบายใจก็คือเรื่องนี่เพิ่งเป็นเรื่องที่ตัดสินใจขึ้นมา วันจัดงานแต่งอย่างเป็นทางการยังไม่ได้ประกาศออกมา ซึ่งหมายความว่าการแต่งงานต้องเลื่อนไปเรื่อย ๆ ตามเวลา นี่ทำให้เขาได้มีเวลาหายใจ เพราะว่าเจี้ยนเฉินไม่ต้องการที่จะพูดถึงเรื่องนี้เลย ชีวิตที่แล้วของเขา เจี้ยนเฉินเป็นคนพเนจรที่เดินทางไปรอบโลกโดยไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง เขาใช้ผืนแผ่นดินเป็นที่นอน ถ้ามีคนอื่นอยู่ข้าง ๆ เขา เขาก็คงไม่สามารถใช้ชีวิตแบบนั้นได้อีก
หลังจากที่เจียงหยางหู่จากไป เจี้ยนเฉินก็นั่งอยู่บนเตียงคนเดียวและเขาก็ใคร่ครวญอย่างหนัก ต้องยอมรับว่าข่าวที่ได้รับจากตระกูลนั้นกะทันหันเกินไป และทำให้เจี้ยนเฉินไม่ทันตั้งตัว
“เฮ้อ ข้าอาจจะต้องใช้เวลาที่เหลือในการฝึกฝน พลังเท่านั้นถึงจะเป็นตัวตัดสินทุกอย่างในตอนท้าย เมื่อความแข็งแกร่งของข้ามีมากพอ แม้แต่จักรพรรดิก็ไม่สามารถพูดอะไรได้” เจี้ยนเฉินถอนหายใจในขณะที่เขาฝึกฝนต่อไป
เจี้ยนเฉินเอาแกนอสูรระดับหนึ่งที่อยู่ในแหวนมิติออกมา เขาหลับตาลงช้า ๆ และเริ่มดูดซับพลังภายในแกนอสูรเพื่อที่จะฝึกฝน ตั้งแต่ที่เขาพัฒนาเป็นเซียนได้เมื่อสองวันที่แล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่เขาฝึกฝน ตอนเย็นในสองวันที่ผ่านมานั้น เขาได้ทำตัวให้คุ้นเคยกับการใช้และการควบคุมอาวุธเซียน
ในตอนที่เจี้ยนเฉินเริ่มดูดซึมพลังงานในแกนอสูร ความเร็วในการดูดซึมก็มากขึ้นเรื่อย ๆ พลังงานไหลเข้าไปในตัวเขาอย่างรวดเร็วมาก อัตราความเร็วเพิ่มขึ้นหลายร้อยเท่าจากปกติ
ความเร็วในการฝึกฝนที่เพิ่มขึ้นอย่างกะทันหันทำให้ใบหน้าของเจี้ยนเฉินบิดเบี้ยวไปด้วยความประหลาดใจ แม้ว่าผู้ฝึกตนทุกคนจะปรารถนาที่จะให้ความเร็วในการฝึกฝนเพิ่มขึ้น แต่ความเร็วในการฝึกฝนของเจี้ยนเฉินก็ถึงระดับที่น่ากลัว ด้วยความเร็วในการดูดซับพลังงานจากแกนอสูรขนาดนี้ เจี้ยนเฉินก็ไม่มีเวลาพอที่จะสกัดมันได้ซึ่งไม่ได้มีผลประโยชน์กับเขาเลยแม้แต่น้อย เพราะพลังงานที่ไม่ได้ถูกเขาสกัดนั้นจะไม่สามารถควบคุมได้และจะต่อต้านร่างกายของเขาเอง และถ้าผลสุดท้ายเป็นแบบนั้นก็จะทำให้เจี้ยนเฉินต้องพบกับการตัดสินใจที่ยากลำบาก
เจี้ยนเฉินหยุดดูดซับพลังงานจากแกนอสูรทันที สิ่งเดียวที่ควรค่าแก่การดีใจก็คือขั้นตอนในการหยุดดูดซับพลังงานจากแกนอสูรนั้นเป็นไปอย่างราบรื่น ไม่มีความน่ากลัวหรือการควบคุมไม่ได้เกิดขึ้น ไม่เช่นนั้น เขาก็กลัวว่ามันอาจจะนำไปสู่ปัญหามากกว่าเดิม