บทที่ 104 ผลจากการไม่คิด
“แม่…เอ๊ย ทำไมผู้การต้องทำให้มันดูลึกลับแบบนี้เนี่ย กัปตันจาง ข้าว่าเปิดมันดูตอนนี้จะดีกว่า”
ระหว่างทางกลับ เฉินเฉียงที่อดที่จะอยากรู้อยากเห็นไม่ได้ นี่ทำให้เขานั้นพยายามยุยงจางหยวนให้แอบดูของที่อยู่ข้างใน
“ไม่ คำสั่งของผู้การ พวกเราต้องทำตามเท่านั้น”
เฉินเฉียงไม่คิดว่าจางหยวนจะเคร่งครัดและไม่ยอมทำตามที่เขายุส่งอย่างเห็นได้ชัด นี่ทำให้เขาได้แต่เดินตามจางหยวนกลับโรงแรมไปอย่างเซ็งๆ
“โอ้ กัปตัน ท่านกลับมาแล้ว”
หวังต้าหลู่ออกมาต้อนรับในขณะที่มือหนึ่งของเขากำลังลูบท้องของตน
จางหยวนที่เห็นก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบไปมองกองจานอาหารที่วางอยู่บนโต๊ะ มันเยอะจนเขาต้องเดาะลิ้นออกมาและถามอย่างอารมณ์เสีย “ไอ้เจ้าหน้าเลือด นี่เจ้าซัดไปเท่าไหร่เนี่ย”
“ฮี่ฮี่ฮี่ ไม่มากไม่มายหรอกน่า แค่สองแก่นคริสตัลระดับนายพลวิญญาณขั้นต้นสองก้อนก็เท่านั้น”
“ห้ะ ไม่มากไม่มายกับผีบ้านเอ็งน่ะสิ แก่นคริสตัลนายพลวิญญาณขั้นต้นสองก้อนเลยนะโว้ย” จางหยวนได้ชี้ไปที่หวังต้าหลู่ที่กำลังยิ้มร่า ก่อนที่จะหยิบเก้าอี้มาหมุนแล้วแกระแทกลงพื้นอย่างดังลั่นแล้วนั่งลงไป
“โคตรน่าเสียดายเลยจริงๆ แก่นคริสตัลที่เจ้าจ่ายไปมันพอสำหรับพวกเรากินอยู่ไปได้สิบวันไม่ใช่รึไง แล้วมาจ่ายพวกมันภายในมื้อเดียวเนี่ยนะ ไอ้หมูตอนโลภมากเอ๊ย ข้าน่าจะตีเจ้าให้ตายเสียตรงนี้”
คนทั้งเก้าได้เดินออกมาจากโรงแรมด้วยเสียงเอ็ดตะโรที่ดังลั่น จางหยวนได้ให้หวังต้าหลู่และเม่ยหลัวหลันไปรวบรวมเสบียง ส่วนคนอื่นให้ไปพักยังที่พักของตน
ที่พักของกองกำลังเทียนเว่ยนั้นเรียกได้ว่าดีที่สุดในกองกำลังทั้งหมดที่ตึกจอมพลเหมันต์จันทรามี ที่นี่มีห้องกว่าสามร้อยห้อง แต่ส่วนใหญ่แล้วล้วนเป็นห้องว่างๆธรรมดา
จางหยวนได้ชี้ไปที่ห้องหนึ่งที่อยู่ตรงกลางและพูดขึ้นมา “เฉินเฉียง เจ้าจะเลือกห้องไหนก็ได้ยกเว้นห้องนั้น”
“หื้ม ทำไมล่ะ กัปตัน หรือว่านั่นคือห้องของท่าน”
จางหยวนส่ายหน้าก่อนจะพูดออกมา “นั่นคือห้องของกัปตันของกองกำลังเรา ขนาดข้าเป็นรักษาการณ์กัปตันยังไม่กล้าจะใช้เลย”
หลังจากนั้นจางหยวนได้พูดกับเฉินเฉียงด้วยท่าทีจริงจัง “ไม่ใช่ว่าเจ้าเองต้องการธงแห่งกองกำลังเทียนเว่ยไม่ใช่เหรอ เมื่อใดที่เจ้าทำได้ เมื่อนั้นห้องนั้นก็จะเป็นของเจ้า”
หลังจากพูดจบ จางหยวนก็ได้ยืนอยู่หน้าห้องนั้น ก่อนที่จะเปิดห้องที่อยู่ใกล้ๆและเดินเข้าไป
ไม่ต้องพูดอะไรก็รู้ว่าห้องที่ว่านั้นคือห้องของพ่อของเขาสมัยที่ยังมีชีวิตอยู่
ถึงแม้ว่าเฉินเฉียงนั้นจะเป็นคนที่ข้ามผ่านมาจากกาลเวลาและอวกาศ แต่ในเมื่อรับคำซุนต้าฮู่ผู้ซึ่งตกตายไป เขาก็ถือว่าตัวเองมีพ่อแท้ๆที่ชื่อว่าเฉินเทียนเว่ย แน่นอนว่าเขาเองต้องการที่จะนำธงแห่งกองกำลังมาไว้ในครอบครองและฟื้นฟูความยิ่งใหญ่ของกองกำลัง
ความจริงแล้วเขาเองก็อยากจะลองเข้าไปดูในห้องเหมือนกัน
แต่นี่ยังไม่ถึงเวลา เขาจึงเลือกเข้าไปอีกห้องหนึ่ง
เขาถอดถอนลมหายใจอย่างหนักก่อนที่จะใช้พลังจิตของตนตรวจสอบดูพื้นที่โดยรอบ เมื่อมั่นใจว่าไม่มีคนอยู่ใกล้ๆ เขาก็ได้ทดลองใช้ทักษะใหม่ที่ได้รับมา ปีกสีเงิน
ในตอนนี้เองเขาได้ยินเสียงหนึ่งกลางหลัง เมื่อเขาหันกลับไปมองใบหน้าของเขาก็แทบจะเป็นลนลาน เขาได้รีบหยุดใช้ทักษะก่อนที่จะทิ้งตัวลงไปนอนกับเตียง ในขณะเดียวกันเขาก็ได้ปลดปล่อยพลังจิตไปตรวจสอบโดยลอบอีกครั้ง เมื่อมั่นใจว่าไม่มีใครสังเกตสิ่งที่เขาทำไปเมื่อครู่ เขาก็ได้ผ่อนคลายลง
“ไอ๊หยา… โคตรหลอนเลย”
เมื่อเขาได้คิดถึงฉากเมื่อครู่นี้เขาก็อดที่จะขนลุกขนพองไม่ได้
เพราะหลังของเขานั้นมีปีกสีน้ำเงินงอกออกมาจริงๆ
ส่วนไอ้เสียงวึ้งๆที่เขาได้ยินนั้นมันมาจากดาบสีเงินสี่เล่มที่กระพือราวกับเป็นปีกของเขา
เขาไม่คิดเลยจริงๆว่าเพียงดูดซับพลังของเจิ้งตี้มานั้นจะได้รับผลออกมาแบบนี้
หากจางหยวนได้เห็นปีกคู่นี้ของเขาไม่รู้เหมือนกันว่าจะทำหน้ายังไง
พวกเขาคงจะทำกับเขาราวกับเป็นมนุษย์กลายพันธุ์คนหนึ่งอย่างแน่นอน ดีไม่ดีจะรีบสังหารเขาด้วยซ้ำ
นี่ทำให้เฉินเฉียงเลิกที่จะคิดในเรื่องนี้อีกต่อไป
ในขณะเดียวกัน เขาเองก็อดที่จะตั้งมั่นไว้ในใจอย่างแข็งขันว่าจะไม่ดูดซับไอ้พวกมนุษย์กลายพันธุ์พวกนี้อีกโดยไม่จำเป็น
แต่นี่ทำให้เขาอดคิดสงสัยขึ้นมาว่าพวกมนุษย์กลายพันธุ์และคนทั่วไปนั้นต่างกันตรงไหน
หากว่าเขานั้นไม่ได้บังเอิญไปได้ยินหมูป่าเขี้ยวดาบสองตนนั่นพูดคุยกันโดยบังเอิญล่ะก็ หากเขาไปพูดคุยกับเจี้งตี้เลยก็คงจะแยกไม่ออก
และการที่อยู่ไปพบเจอคนแปลกหน้าแต่จะให้ไปโจมตีทางจิตวิญญาณเลยตั้งแต่แรกพบก็ไม่ใช่สิ่งที่ควรกระทำ
เพราะนั่นไม่ได้ต่างไปจากการรนหาที่ตาย
ในคืนนั้น เฉินเฉียงคิดหนักจนเริ่มตื่นตระหนักและตื่นกลัว จนในที่สุดเขาก็พยายามเลิกคิดและผล็อยหลับไป
“กริ๊งงงงงงงงงงง”
รุ่งสาง เสียงกริ่งได้ดังขึ้นที่นอกห้อง ทุกคนในกองกำลังต่างก็ไปรวมตัว
แม้จะเป็นสมาชิกชั่วคราวแต่เฉินเฉียงก็ยังรีบวิ่งออกจากห้องและไปเข้าแถวต่อหลังซานเอ๋อและหลิวไฮ่เพื่อรอคอยคำสั่งของจางหยวน
เมื่อเห็นว่าทั้งแปดคนได้มาจนครบแล้ว จางหยวนก็ได้พูดออกมาด้วยท่าทีจริงจัง “พี่น้อง พวกเราได้รับคำสั่งจากท่านผู้การเมื่อวานนี้ว่าให้ไปส่งของที่เขตกันหนัน”
“ไอ๊หยา ไม่มีอะไรที่ต้องลงแรงมากกว่านี้รึไงกัน กัปตัน เมื่อไหร่พวกเราจะได้ทำภารกิจดีๆแบบคนอื่นเขาบ้างกันเนี่ย”
หลางซานเอ๋อเป็นคนแรกที่เอ่ยปากบ่นเมื่อได้ยินคำสั่งจากจางหยวน
“หุบปาก หลางซานเอ๋อ ในฐานะนักรบแห่งตึกจอมพล ไม่ว่าจะได้รับภารกิจใดมาก็ตาม พวกเราจะต้องยอมรับและทำตามให้สำเร็จจนได้ ไม่ว่าจะยากเย็นแสนเข็ญแค่ไหนก็ตาม”
“และท่านเอ่ยปากออกมาเองว่าให้กองกำลังของเราเป็นคนทำ”
ด้วยการที่นี่เป็นครั้งแรกที่เฉินเฉียงได้ออกไปภารกิจร่วมกับกองกำลังเทียนเว่ยทำให้เฉินเฉียงนั้นดูมีชีวิตชีวาจนหน้าตบกะโหลก แต่เมื่อเขาเห็นใบหน้าที่เอือมระอาของทุกคนแล้วก็อดไม่ได้ที่จะอยากชวนคุย
“พี่สาม พี่คิดว่าไอ้ของที่เรากำลังไปส่งนี้คืออะไร”
หลางซานเอ๋อที่ได้ยินก็อดจะเม้มปากไม่ได้ก่อนที่จะมองไปรอบๆและพูดออกมา “ไม่มีใครไม่รู้หรอกว่าพวกเรากำลังไปส่งอะไร เจ้าลองไปถามคนอื่นก็ได้”
“แต่ก็นะ เจ้าไม่ต้องไปถามหรอก เดี๋ยวมันจะกระโตกกระตากเกินไป ให้ข้าบอกเจ้าเอง ในทุกๆครั้งที่พวกเรานั้นเป็นคนส่งของ มันจะเกี่ยวข้องกับศัตรูเสมอ”
“หากว่าเจ้าต้องไปส่งของพวกนี้คนเดียว แน่นอนว่าเจ้าต้องถูกไล่ล่าจนต้องหนีหัวซุกหัวซุน”
“หากว่าของสิ่งนี้ถูกสั่งให้ไปส่งยังกันหนัน แน่นอนว่าต้องเป็นสิ่งวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการสงคราม”
เหรินหมิงที่ได้ยินตอนนี้ทำท่าราวกับว่าเป็นนักเลงหัวไม้ที่กำลังนำส่งสินค้าสำคัญให้แก๊ง เขานั้นได้ส่งของในฐานะคนของกองกำลังเทียนเว่ยมาสามรอบแล้ว และนี่เองทำให้เขาเองก็ค่อนข้างมั่นใจว่าเป็นกรณีเดียวกัน
“อย่าบอกนะว่าพวกเราได้รับภารกิจแบบนี้มาโดยตลอดน่ะ”
“ฮี่ฮี่ฮี่ แหงสิ และนี่เองถึงทำให้ตอนที่เจ้าบอกว่าจะเข้ากับทีมของพวกเราถึงได้โดนดูแคลน พวกมันต่างก็คิดไปว่าพวกเรานั้นกลัวตายและเป็นดอกไม้ในเรือนกระจกที่ได้รับการปกป้องจากท่านผู้การ”
“ไอ้นรกพวกนั้นไม่รู้ว่าคิดออกมาได้ยังไงว่าพวกเรากลัวตาย เมื่อสองเดือนก่อนพวกเราเองก็ต้องสังเวยไปห้าชีวิตเพื่อการส่งของนี่เหมือนกัน” เสียงของหลิวไฮ่นั้นดังพอจนคนอื่นได้ยินและนี่ทำให้พวกเขาต้องเงียบนิ่งไป
“ต้องเป็นเพราะไอ้ระยำเจิ้งตี้นั่นล่ะ พวกเราออกไปค้นหาและได้ข่าวคราวกลับมาบ้าง แต่พอพวกมันทำแล้วยังไม่พบร่องรอยอะไรเลย”
จางหยวนได้หันหน้ามาและพูดขึ้น “หลางซานเอ๋อ ถึงแม้ไอ้ระยำนั่นจะสมควรตาย แต่มันก็เป็นความผิดของพวกเราเหมือนกันที่เตรียมตัวไม่ดี ส่วนหนึ่งก็เพราะท่านผู้การให้แต่ภารกิจแบบนี้จึงทำให้กองกำลังของเรานั้นร้างราจากการต่อสู้มานาน พวกเราจะต้องไม่ว่อกแว่ก แม้แต่จะเป็นภารกิจแบบนี้ก็ตาม”
ดังนั้นข้าจึงตัดสินใจว่า หลังจากที่เราไปถึงกันหนันและจบภารกิจในครั้งนี้ พวกเราจะกลับมาฝึกแบบเมื่อก่อนอีกครั้งหนึ่ง ไม่อย่างนั้นพวกเราคงจะตกตายตามรอยพี่น้องทั้งห้าไปโดยไม่ทันรู้ตัว
“รับทราบ พวกเราจะทำตามคำสั่งกัปตันจาง”
ถึงแม้จะมีเพียงแปดคน แต่พวกเขานั้นคือคนที่ร่วมกันหัวเราะและร้องไห้มานับครั้งไม่ถ้วน เมื่อพูดถึงการฝึก พวกเขาจึงยืดอกและตอบออกมากันอย่างพร้อมเพรียง
“เฉินเฉียง เจ้าเองก็เป็นคนของกองกำลังเทียนเว่ยแล้ว ทำไมเจ้ายังดูตื่นๆอยู่อีกล่ะ”
จางหยวนหันไปถามพร้อมใบหน้าที่คิ้วขมวด