ฉินมู่ลิงโลด เป้าหมายของการมาเยือนครั้งนี้ของเขาก็เพื่อแสวงประสบการณ์ เพื่อมาสัมผัสความแข็งแกร่งของผู้ฝึกวิชาเทวะในโลกกว้างใหญ่ไร้ขอบเขต และเรียนรู้จากจุดแข็งของพวกเขา เขาอยากที่จะเติบโตขึ้นเพื่อที่จะได้ต่อสู้กับกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรก
ยอดฝีมือมารในสวรรค์ไท่หวงมีจำนวนมากมาย และพวกเขาก็เป็นคู่ต่อสู้ที่ดีที่สุดในการทดสอบทักษะฝีมือของเขา!
ยิ่งไปกว่านั้น ในเมื่อมีเสือเทพยดาขนดำอยู่ด้วย พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องกังวลว่าจะหนีไปไม่พ้นหากว่าพบปะกับมารเทวะสักตน
ความเร็วของเสือเทพยดาขนดำนั้นว่องไวอย่างสุดขีดขั้ว ดังนั้นต่อให้เขาต้องเผชิญหน้ากับมารเทวะสักห้าตน เขาก็ยังคงสามารถล่าถอยไปได้อย่างสบายๆ
ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยประโยคสุดท้ายของเทพเสือขนดำ หากว่าบังเอิญพวกเขาไปก่อเรื่องวุ่นวายขึ้นมา เทพเสือก็จะเป็นผู้รับผิดชอบทั้งหมดเอง จ้าวลัทธิฉินผู้ยิ่งใหญ่ไม่จำเป็นต้องไปเปลืองตัวเลยแม้แต่นิด
ซังฮั่วและอวี่เหอก็เบาใจลงไปเช่นกัน ด้วยเสือเทพยดาขนดำไปกับพวกเขาด้วย การเดินทางของพวกเขาก็จะไม่อันตรายเลยแม้แต่น้อย
ทุกๆ คนเดินลงมาจากป้อมปราการเมือง อวี่เหอนั้นกล้าหาญและระมัดระวัง มีวุฒิภาวะมากกว่าซังฮั่ว ดังนั้นนางจึงเป็นคนแรกที่เสนอความเห็น “ผู้อาวุโสเสือ ในเมื่อพวกเราจะไปยังเขตแดนของเผ่ามาร จะดีมากๆ หากว่าผู้อาวุโสไม่แผ่รัศมีของท่านออกไป มิเช่นนั้นมารเทวะก็จะปรากฏตัวมาหยุดยั้งพวกเราเอาไว้”
“จะยิ่งเยี่ยมยอดหากว่าท่านแสร้งปลอมตัวเป็นผู้ฝึกวิชาเทวะธรรมดาๆ สาเหตุที่เทพเจ้าทั้งหลายแห่งสวรรค์ไท่หวงของพวกเรามาด้วยไม่ได้ ก็เพราะว่ามารเทวะเหล่านั้นมีสัมผัสเฉียบไวต่อการปรากฏตัวของพวกเทพเจ้า”
เสือเทพยดาขนดำรั้งรัศมีของเขาเข้าไปในข้างในกายและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ไม่ต้องห่วง ข้าไม่กระโตกกระตากจนมารเทวะพวกนั้นตามมาหรอก มันเป็นการฝึกฝนของพวกเจ้า ดังนั้นข้าจะเฝ้าดูอยู่ข้างๆ และไม่ยื่นมือเข้าไปขัดขวาง”
ฝีเท้าของพวกเขาว่องไว ดังนั้นผู้ฝึกวิชาเทวะที่มีวรยุทธต่ำสักหน่อยก็ไม่อาจจะตามมาได้ทัน ในเมื่ออวี่เหอต้องการที่จะแทรกซึมเข้าไปในเขตแดนของเผ่ามาร ผู้คนที่นางนำมาด้วยล้วนแต่เป็นยอดฝีมือระดับหัวกะทิในกองทัพ พวกเขาล้วนแต่เคยผ่านประสบการณ์ต่อสู้ชิงเป็นชิงตายมาก่อน
เมื่อพวกเขาเข้าใกล้เป้าหมาย ท้องฟ้าก็ค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นมืดดำ ขณะที่ร่องรอยของปราณมารลอยไปลอยมาอยู่ในป่า สถานที่นี้ดูเหมือนกับว่ามันถูกครอบงำไปด้วยหมอกเทา พวกเขาพอมองเห็นได้แต่ไม่ไกลนัก
หนึ่งในผู้ฝึกวิชาเทวะคิดจะใช้ทักษะเทวะเพลิงไฟเพื่อส่องสว่างเส้นทางเดิน แต่ฉู่เหยายับยั้งเขาเอาไว้ทันที “นี่เป็นเขตแดนของเผ่ามาร เว้นแต่เจ้าจะตกอยู่ในสถานการณ์คับขัน ห้ามมิให้ใครใช้ทักษะเทวะที่เปล่งแสงออกมา มิเช่นนั้นตำแหน่งของพวกเราก็จะถูกเปิดโปง! จำเอาไว้ เมื่อพวกเราพบพานศัตรู ให้กำจัดพวกเขาโดยฉับพลันและจบการต่อสู้ให้เร็วที่สุด พวกเราไม่อาจปล่อยให้การต่อสู้ลากยาว และเสี่ยงที่จะชักนำศัตรูมาเพิ่มอีกได้!”
ทุกคนรีบรับคำของเขา
“วิสัยทัศน์ของฉู่เหยาไม่เลวเลยทีเดียว” ฉินมู่กล่าวชม จากนั้นหันไปทางซังฮั่ว “เจ้าได้ไปที่เจดีย์สยบเทพหรือยัง”
ซังฮั่วส่ายหัว เปียยาวๆ ของนางกระเด้งไปมาตรงหน้าอก “ข้าไม่มีเวลา มันมีเรื่องราวมากมายเกินไปที่จะต้องทำในช่วงไม่กี่วันมานี้ ดังนั้นข้าจึงไม่สามารถปลีกตัวไปได้ ล่าสุดนี้แทบไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรจากฝั่งมารเลย และนี่ทำให้ข้าหวาดผวา ยิ่งไปกว่านั้น ครูบาสวรรค์ยังได้นำเทพเจ้ายี่สิบสี่ตนไป และก็ไม่มีข่าวคราวใดๆ จากพวกเขา ข้ารู้สึกสังหรณ์ไม่ค่อยดี”
ฉินมู่ขมวดคิ้วเล็กน้อย นักบุญคนตัดไม้ได้จากไปพร้อมกับเทพเจ้ายี่สิบสี่ตน แต่ก็ยังไม่มีข่าวของศึกใหญ่ นี่ก็น่าแปลกจริงๆ นั่นแหละ
“ระวัง พวกเราเข้ามาในเขตแดนของเผ่ามารแล้ว! ติงอวิ๋น ไปสำรวจทางข้างหน้าด้วยจิตวิญญาณดั้งเดิมของเจ้า!”
เมื่ออวี่เหอออกคำสั่ง ผู้ฝึกวิชาเทวะคนหนึ่งก็นั่งลงขัดสมาธิดอกบัว และจิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาก็ฉายส่องออกไป ผู้ฝึกวิชาเทวะอีกคนจึงก้าวเข้ามาเพื่อแบกเขาไว้บนหลัง
พวกเขาส่วนใหญ่เป็นผู้ฝึกวิชาเทวะในขั้นเจ็ดดาว และสามารถฉายส่องจิตวิญญาณดั้งเดิมออกไปได้ ทว่า เมื่อไม่ได้ประสบพบพานการปฏิรูปจิตวิญญาณดั้งเดิมในสันตินิรันดร์ จิตวิญญาณดั้งเดิมของพวกเขาก็ไม่แข็งแกร่งเพียงพอและเหาะเหินไปได้ไม่ไกลนัก แต่ถึงอย่างไร มันก็สามารถใช้สำรวจเส้นทางข้างหน้าได้
ทุกคนเร่งรุดไปตามเส้นทางของตน ผ่านไปสักพักหนึ่ง จิตวิญญาณดั้งเดิมของติงอวิ๋นก็บินกลับมาและกล่าว “ห่างจากที่นี่สองร้อยลี้ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ มีเมืองอยู่เมืองหนึ่ง ข้างในนั้นมีผู้คนที่ถูกมารใช้เป็นทาสอยู่ราวๆ สองพันคน แต่ข้าไม่รู้ว่าพวกเขากำลังถูกใช้แรงงานให้ก่อสร้างอะไรอยู่”
“และก็ยังมีหมู่บ้านอีกสี่ห้าแห่งใกล้ๆ ที่มีคนชราและคนหนุ่ม สตรีและเด็กเล็ก แต่ทว่ามันมีเจดีย์สังเกตการณ์อยู่ระหว่างทาง อันสูงเป็นอย่างยิ่ง ข้าไม่กล้าเข้าไปสำรวจดูอย่างละเอียดในเมื่อข้าเกรงว่าผู้ฝึกวิชาเทวะเผ่ามารจะตรวจจับจิตวิญญาณดั้งเดิมของข้าได้”
“เจดีย์สังเกตการณ์เหล่านั้นอยู่ห่างกันสักเท่าไร” อวี่เหอถาม
ติงอวิ๋นหน้าแดงไปครู่หนึ่งและพึมพำ “วิชาคำนวณของข้าไม่ค่อยดี ข้าไม่เคยเรียนมาก่อน…”
อวี่เหอขมวดคิ้ว “พวกมารในเจดีย์น่าจะเป็นผู้ฝึกวิชาเทวะในขั้นหกทิศไม่ก็เจ็ดดาว พวกเขาระวังไวเป็นอย่างยิ่ง และหากว่าพวกเราแหวกหญ้าให้พวกเขาตื่นและข่าวก็แพร่งพราายออกไป ที่จะมาหาพวกเรานั้นมิใช่เพียงแค่เศษทัพทหารเลว แต่จะเป็นยอดฝีมือขั้นชาวสวรรค์หรือไม่ก็ขั้นเป็นตายเลยด้วยซ้ำที่จะออกมารับหน้า!”
ติงอวิ๋นส่ายหัว “ที่อื่นก็มีเจดีย์สังเกตการณ์ และพวกมันก็มากมายเหลือคณา”
ฉู่เหยาครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งและกล่าว “ถ้าเช่นนั้น พวกเราก็คงได้แต่ต้องลอบเร้นเข้าไปอย่างลับๆ และกำจัดพวกมารที่อยู่บนเจดีย์สังเกตการณ์ หากว่ามารตนไหนที่สังเกตเห็นพวกเราก่อนล่วงหน้า พวกเราจะต้องล่าถอยในทันที…”
ฉินมู่คิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเอ่ยถาม “ปราณชีวิตของใครใช้ได้ยืนนานที่สุด แข็งแกร่งที่สุด”
ทุกๆ คนมองไปที่เขา ปากอ้าหวอ แต่พวกเขาไม่พูดอะไร อวี่เหอและฉู่เหยาเองก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ไม่ปริปากเช่นกัน
“หากว่าปราณชีวิตของคนผู้หนึ่งแข็งแกร่งพอ พวกเขาก็จะสามารถขับเคลื่อนไจกระบี่ได้จากระยะร้อยลี้ ด้วยวิธีนี้ พวกเราสามารถทำลายทหารมารบนเจดีย์สังเกตการณ์ได้โดยไม่เปิดโอกาสให้พวกเขาตั้งตัว!”
ทุกๆ คนยังคงอ้าปากหวอ แต่พวกเขาไม่พูดอะไร
ฉินมู่งงงวย และเมื่อเขาคิดจะพูดอะไรต่อ ซังฮั่วผู้ซึ่งโผงผางกว่าคนอื่นก็กล่าว “พี่ชายจ้าวลัทธินักฟาดฟ่อนข้าว นอกจากผู้อาวุโสเสือแล้ว ท่ามกลางผู้ฝึกวิชาเทวะทั้งหมดนี้ ไม่ใช่ว่าปราณชีวิตของเจ้านั้นใช้ได้ยืนนานที่สุด และแข็งแกร่งที่สุดหรอกหรือ”
ทุกคนรีบผงกหัวหงึกๆ
“พวกเราล้วนแต่ตราตรึงกับการที่จ้าวลัทธิได้สังหารยอดยุทธฝีมือแกร่งเผ่ามารถึงสี่คนในการประลองชิงเมืองหลี ดังนั้นหากว่าเจ้ายังคงถ่อมตัวต่อไป นั่นก็จะจอมปลอมไปแล้ว” ฉู่เหยากล่าวอย่างช่วยไม่ได้
ฉินมู่เกาหัวแกรกๆ ตอนนี้เขาถึงเพิ่งจำได้ว่าเขาเหนือล้ำกว่าอวี่เหอและฉู่เหยาได้อย่างไร นอกจากทักษะเทวะเพลงกระบี่และจิตวิญญาณดั้งเดิมแล้ว อีกอย่างก็คือการฝึกปรือปราณชีวิต
“ตกลง ข้าจะกวาดล้างเจดีย์สังเกตการณ์ ตามข้ามาให้ดี!” ฉินมู่ลุกขึ้นและแตะไปที่หว่างคิ้วของตนเอง
“ฉายส่องจิตวิญญาณดั้งเดิม!”
จิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาพุ่งวาบและหายวับ
“จิตวิญญาณดั้งเดิมแข็งแกร่งอะไรอย่างนี้!”
ทุกๆ คนรวมทั้งอวี่เหอกระโดดโหยงด้วยความตกใจ จิตวิญญาณดั้งเดิมของฉินมู่ได้ถูกฝึกปรือจนกลายเป็นสสาร และไม่ด้อยไปกว่าจิตวิญญาณดั้งเดิมของผู้ฝึกวิชาเทวะขั้นชาวสวรรค์ มันทรงพลังอย่างแท้จริง!
แม้ว่าข้าจะเป็นอันดับหนึ่งท่ามกลางผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งสวรรค์ไท่หวง และบรรลุมาตรฐานของเทพเที่ยงแท้เยาว์ในหลายด้าน แต่จิตวิญญาณดั้งเดิมของข้าก็ยังด้อยกว่าของเขา สตรีผู้นี้ครุ่นคิด
ซังฮั่วเดินเข้าไปหมายจะแบกฉินมู่ขึ้นมา เพื่อที่พวกเขาจะได้รีบรุดไปตามทาง แต่นางกลับเห็นเขาเริ่มวิ่งไปข้างหน้า ความเร็วของเขาทวีมากขึ้นทุกที ทำให้นางอ้าปากค้าง
เทพเสือขนดำวิ่งตามไปข้างหลังฉินมู่ “เลิกจ้องได้แล้ว นี่คือเวทมนตร์ควบคุมจิตวิญญาณ เวทมนตร์ของนายท่านของข้า เร็วเข้า รีบตามมา!”
ทุกคนเร่งรีบไปตามที่บอก เมื่อพวกเขาตามฉินมู่ไปทัน จิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาก็พลันบินกลับมาและคืนสู่ร่างเนื้อ เขาตบถุงเต๋าตี้ และไจกระบี่ลูกหนึ่งก็โบยบินออกมา มันหมุนติ้วและพลันพวยพุ่งขึ้นไปบนอากาศด้วยความเร็วยิ่งยวด
ฉินมู่พลันย่างเท้าไกลกว่าเดิมและบุกไปข้างหน้าอย่างดุเดือด ด้วยเสียงตูม เขาถึงกับวิ่งไปด้วยความเร็วเหนือเสียง ไม่ปิดบังร่องรอยของตนอีกต่อไป
อวี่เหอและผู้วิชาเทวะคนอื่นๆ ขมวดคิ้ว ฉินมู่สามารถบุกจู่โจมโดยมิให้ศัตรูทันตั้งตัวได้ก็จริง แต่เสียงของเขาก็จะต้องเดินทางไปยังเจดีย์สังเกตการณ์อื่นเป็นแน่
เมื่อติงอวิ๋นล่วงหน้าไปสอดแนม นอกจากเจดีย์สังเกตการณ์หกหอระหว่างเส้นทางไปของพวกเขา ก็ยังมีเจดีย์สังเกตการณ์อื่นๆ ในละแวกใกล้เคียงที่ไม่ได้ขวางอยู่บนเส้นทางด้วย ฉินมู่ได้สร้างเสียงอึกทึกอันจะทำให้เจดีย์สังเกตการณ์อื่นๆ จับสังเกตได้และเผยตำแหน่งของคณะ ทำให้พวกเขาไม่มีทางอื่นนอกจากล่าถอย
อวี่เหอกัดฟันกรอด “พวกเราตามไป!”
ทุกๆ คนรีบเพิ่มพูนความเร็วของพวกเขาและวิ่งตะบึงไปอย่างดุเดือด ทวีความเร็วจนสุดขีดขั้ว เสียงระเบิดดังออกมาเมื่อความเร็วของพวกเขาเหนือกว่าความเร็วเสียง แต่ทว่า ผู้คนในคณะไม่ได้มีกำลังฝีมือเท่ากันทุกคน
อวี่เหอ ฉู่เหยา และซังฮั่วคือพวกที่เร็วที่สุด เร็วเสียยิ่งกว่าฉินมู่ ทั้งสามคนตามเขาไปทันและมองไปข้างหน้า ไจกระบี่ได้ไปถึงเจดีย์สังเกตการณ์แรกแล้ว!
ไจกระบี่นั้นยังคงอยู่ห่างออกไปสิบห้าวา กระบี่บินจำนวนนับไม่ถ้วนได้พรั่งพรูออกไปและพุ่งเข้าไปในเจดีย์สังเกตการณ์ กระบี่บินอีกสิบกว่าเล่มก็แยกตัวออกมา และพุ่งลงไปเลียดพื้น ในเวลาเดียวกันนั้น ที่เหลือก็กลับมารวมเข้าด้วยกันเป็นไจกระบี่ มันไม่หยุดชะงักแม้จังหวะเดียว และพุ่งต่อไปข้างหน้า
ฉินมู่เองก็กระทำเช่นเดียวกัน เมื่อเขาเห็นเจดีย์สังเกตการณ์ที่สองในชั่วจังหวะถัดมา มันก็มีทหารมารสองคนนั่งดื่มสังสรรค์กันใต้เจดีย์ ขณะที่มีอีกสองเฝ้าประจำการอยู่บนยอด
กระบี่บินสิบกว่าเล่มที่บินเลียดพื้นพุ่งปราดไปหา และมารสองตนที่ดื่มสุรากันอยู่นั้นก็ไม่ทันจะได้กะพริบตาเลยด้วยซ้ำ หัวของพวกเขาก็หลุดร่วง และกระบี่ก็วกพุ่งขึ้นไปข้างบนด้วยแสงโลหิต ปะทะเข้ากับไจกระบี่ที่บินออกมาจากเจดีย์สังเกตการณ์
ฟิ้ววว!
ฉินมู่เหาะเข้าไป และลมดุดันก็กวาดซัดใส่เจดีย์สังเกตการณ์ เขาพุ่งทะยานไปยังเจดีย์ที่สาม
อวี่เหอ ฉู่เหยา และซังเย่ตามเขาไปติดๆ และไปยังเจดีย์ที่สาม ฉินมู่พลันชะงักเท้า แต่ไจกระบี่ของเขาได้พุ่งไปยังเจดีย์สังเกตการณ์ที่สี่แล้ว
สองเท้าของฉินมู่ทั้งไม่ชิดและไม่ถ่าง ด้วยมือขวาของตั้งเป็นนิ้วกระบี่ ปราณชีวิตของเขาก็ไหลพล่านทั่วสรรพางค์กาย และเขาเซไปข้างหน้าเหมือนคนเมา นิ้วกระบี่ของเขาแทงเข้าไปในความว่างเปล่าทางนั้นทีทางนี้ที พลางรักษาการขับเคลื่อนโคจรเพลงกระบี่เอาไว้
ไจกระบี่ปะทะเข้าไปในเจดีย์สังเกตการณ์ และกระบี่บินจำนวนนับไม่ถ้วนก็พวยพุ่งออกไปทุกทิศทางราวกับปลาบิน พวกมันสังหารผู้ฝึกวิชาเทวะเผ่ามารทุกคนที่ยืนรักษาการณ์อยู่ ในเวลาเดียวกันนั้น ไจกระบี่ก็พุ่งทลายผ่านเจดีย์สังเกตการณ์ที่สี่ ห้า และหก
ผู้ฝึกวิชาเทวะคนอื่นๆ รีบรุดมาจนถึงสี่คนข้างหน้านี้ เมื่อพวกเขาหยุดเท้า ติงอวิ๋นก็ฉายส่องจิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาและวิ่งไล่ตามไจกระบี่ของฉินมู่ไป เขาเห็นว่าหลังจากที่มันพังถล่มเจดีย์สังเกตการณ์ที่หก มันก็แยกออกจากกัน และกระบี่บินแปดพันเล่มก็แยกออกเป็นสองกลุ่ม ก่อนที่จะก่อตัวเป็นไจกระบี่เล็กลงสองลูกอันคล้ายคลึงกันและโบยบินไปในทิศทางตรงกันข้าม
ติงอวิ๋นตกตะลึง แต่จิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาก็รีบไล่ตามไจกระบี่ลูกหนึ่งไป เขาพบว่ามันเคลื่อนไหวจู่โจมอย่างมีแบบแผน และเคลื่อนที่เป็นแนวโค้งด้วยความเร็วอันน่าแตกตื่นสะท้านขวัญ มารทั้งหมดในเจดีย์สังเกตการณ์ล้วนแต่ถูกสังหารโดยไม่ทันได้ตั้งตัว
เมื่อไจกระบี่มาถึงยามสังเกตการณ์คนสุดท้าย ติงอวิ๋นก็พลันได้ยินเสียงตูมที่เกิดขึ้นมาจากการที่ไจกระบี่เหล่านั้นพุ่งไปด้วยความเร็วเหนือเสียง แต่มันไม่ได้ดังอึกทึกอีกต่อไป ผู้ฝึกวิชาเทวะมารหลายตนโผล่หัวออกมาดู แต่ข้างหลังพวกเขา ไจกระบี่โบยบินเข้าไปในเจดีย์และระเบิดออกมาด้วยแสงกระบี่ ท่วมท้นถล่มใส่พวกเขา
ติงอวิ๋นรีบเรียกจิตวิญญาณดั้งเดิมของเขากลับ และเมื่อเขาคืนสู่กายเนื้อ เขาก็เห็นไจกระบี่บินกลับมา และมีอีกลูกหนึ่งที่พุ่งหวีดหวือกลับมาเช่นกัน
ไจกระบี่สองลูกชนกันกริ๊งตรงหน้าฉินมู่ ก่อนจะหลอมรวมเป็นไจกระบี่ลูกใหญ่กว่าเดิมเล็กน้อย แล้วร่วงลงบนฝ่ามือของเขาอย่างแผ่วเบา
“โชคดีที่ข้าไม่ล้มเหลวในภารกิจ” ฉินมู่เงยหน้าขึ้นและส่งยิ้ม
ทุกคนกำลังหอบหายใจ พวกเขาพลันชะงักเท้าและยังไม่ทันได้เหลียวมองดูบริเวณรอบๆ เลยด้วยซ้ำ
ฉู่เหยามองไปที่ติงอวิ๋นผู้ซึ่งพยักหน้า “ในรัศมีหนึ่งร้อยห้าสิบลี้ หอสังเกตการณ์ใดที่ได้ยินเสียงอึกทึกของพวกเราก็ถูกทำลายไปทั้งสิ้นด้วยน้ำมือจ้าวลัทธิ สถานที่อันห่างไกลออกไป ไม่สามารถได้ยินเสียงถึงนี่”
“หนึ่งร้อยห้าสิบลี้?”
อวี่เหอมีสีหน้าเต็มไปด้วยความไม่เชื่อหู ฉินมู่เพิ่งพูดถึงแค่หนึ่งร้อยลี้อยู่เมื่อครู่ แต่เขากลับทำลายเจดีย์สังเกตการณ์ตลอดรัศมีหนึ่งร้อยห้าสิบลี้เชียว ปราณชีวิตของเขาแข็งแกร่งเกินไปแล้ว
ดูเหมือนว่าเขาจะถ่อมตนจริงๆ นางลอบคิดในใจ
“ไปกันเร็ว! จ้าวลัทธิ เจ้าควบคุมกระบี่มากมายขนาดนี้ จำเป็นต้องพักก่อนไหม” ฉู่เหยาถาม
ฉินมู่ส่ายหัว “ไม่ต้องห่วง ปราณชีวิตข้ายังเต็มเปี่ยม”
ฉู่เหยากระโดดโหยงด้วยความตกใจ และอุทานกับตนเองว่าฉินมู่เป็นอัจฉริยะปีศาจ ทุกคนพุ่งไปข้างหน้าผ่านเจดีย์สังเกตการณ์ที่ถูกทำลายไปด้วยความรีบเร่ง ไม่นานนัก พวกเขาก็อยู่ไม่ห่างจากเมืองเล็กๆ อันติงอวิ๋นได้เอ่ยถึงก่อนหน้านี้
ตรงหน้าพวกเขา สถานที่นี้ไม่อาจเรียกได้ว่าเมืองเล็กๆ อีกต่อไป ในทางกลับกัน มันกลายเป็นแท่นสังเวยขนาดยักษ์ที่ไม่เล็กไปกว่าอันที่นักบุญคนตัดไม้ใช้เพื่อจุติลงมา!
มนุษย์แข็งแรงหลายพันคนกำลังก่อสร้างมันภายใต้การควบคุมกำกับของทหารมาร
แท่นสังเวยนี้ได้ถูกสร้างมาครึ่งหนึ่งแล้ว และผู้ฝึกวิชาเทวะเผ่ามารมากมายก็กำลังหิ้วถังเลือดสดมาเพื่อจารึกอักษรรูนลงไปบนนั้น
“พวกมารได้เปิดทะลุม่านคุ้มกันของสวรรค์ไท่หวงแล้วไม่ใช่หรือ ม่านคุ้มกันโลกระหว่างสวรรค์ไท่หวงและโลกของมารไม่อาจยับยั้งการจุติลงมาของมารเทวะได้อีกต่อไป แล้วทำไมพวกเขายังต้องก่อสร้างแท่นสังเวย”
ฉินมู่ฉงนใจ เขาพลันกล่าวด้วยเสียงต่ำ “เว้นก็แต่เทพหรือมารที่พวกเขากะจะอัญเชิญมา มิใช่ผู้คนจากโลกมาร? หรือว่ามันจะเป็น…”
เขาไพล่คิดถึงปูมหลังที่มาของเจ๋อหัวหลี และความไม่สบายใจก็เต็มปรี่หัวใจของเขา
เจ๋อหัวหลีเป็นศิษย์ของลั่วอู๋ชวง ผู้ซึ่งมาจากสถานที่ที่เรียกๆ กันว่าสภาสวรรค์แท้!
“ตรงนั้นมียอดฝีมือขั้นชาวสวรรค์! ทุกคนเบือนสายตาไป อย่าให้เขาสังเกตเห็นพวกเจ้า!” ฉู่เหยารีบกล่าว
ทุกคนทำตามที่เขาบอก ข้างๆ แท่นสังเวย ยอดยุทธฝีมือแกร่งเผ่ามารมีจิตวิญญาณดั้งเดิมอันสูงกว่าสิบห้าวายืนอยู่ข้างหลังเขา เขาทั้งสูงและแข็งแกร่ง และจิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาก็ดูราวจะสัมผัสบางสิ่งได้ในเมื่อมันเหลียวมองไปรอบๆ แต่ถึงอย่างไร มันก็ไม่อาจตรวจจับสิ่งใดที่ผิดสังเกต
ฉินมู่นำกระจกบานหนึ่งออกมา และใช้มันเพื่อสะท้อนภาพรอบข้าง “มารที่นี่มีจำนวนไม่มาก นอกจากยอดฝีมือขั้นชาวสวรรค์นั่นแล้ว คนอื่นๆ ก็คงรับมือไม่ยาก…”
ในตอนนั้นเอง เขาก็เห็นเงาร่างหนึ่งเดินออกมาจากข้างในแท่นสังเวย และสีหน้าเขาก็แปรเปลี่ยนไปอย่างรุนแรง
“ฟู่ยื่อลัว!”
ฝ่ามือของฉินมู่สั่นพั่บๆ เมื่อฟู่ยื่อลัวในกระจกเดินออกมาจากแท่นสังเวย และเงยหน้าขึ้นมองตรงมาที่เขา
“หนี…” ฉินมู่กล่าวด้วยเสียงแหบแห้ง
ฟู่ยื่อลัวที่อยู่ในกระจก ก้าวอาดๆ ตรงเข้ามา และเดินออกจากกระจก ร่างกายของเขาใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ ราวกับฝันร้ายที่กำลังมาเยือน
“หนีเร็วเข้า!” ฉินมู่ตะโกนออกไปอย่างเฉียบขาด
………………