ตอนที่ 171 พันปีที่ยากจะได้พบ

อัจฉริยะตัวน้อยกับคุณพ่อสุดโฉด

ตอนที่ 171 พันปีที่ยากจะได้พบ

ทันทีที่นิ้วของเธอแตะไปที่หน้าจอ เธอก็ได้ยินเสียงฝีเท้ากับเสียงคำพูดแหบ ๆ ดังเข้ามาในหูของเธอ และพูดว่า “คุณเหอที่คุณพูด หมายถึงโทรศัพท์ของเธอนั้นถูกตัวเธอเองส่งข้อความมาใช่หรือเปล่า?”

เธอเงยหน้าขึ้นมองอันโหรวด้วยท่าทีที่เรียบเฉยและดูไร้เดียงสา “ฉันไม่รู้หรอกนะว่าเธอพูดเรื่องอะไรอยู่ แต่ถึงอย่างไรก็ตามโทรศัพท์มือถือของลูกพี่ลูกน้องฉัน ฉันไม่มีทางแตะต้องมันหรอก อีกอย่างโทรศัพท์ของเธอเองก็อยู่บนโต๊ะโน่น! เธอจะทำอะไรมันจะมาเกี่ยวข้องกับฉันได้ยังไง”

อันโหรวเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์ของตัวเอง ก่อนจะโทรไปยังเบอร์ของเหอเฉ่า โทรศัพท์ที่อยู่บนโต๊ะเคสสีชมพูก็ดังขึ้นอย่างรวดเร็ว เสียงของโทรศัพท์ที่ได้ยินเป็นเสียงเพลงภาษาอังกฤษที่ดูไพเราะและดูผ่อนคลาย

เธอโทรอยู่สักพักหนึ่ง เหอเฉ่าก็ยังคงนอนหลับอยู่ที่ด้านข้าง แม้ว่าเสียงโทรศัพท์จะไม่ได้ดังมาก แต่อย่างน้อยมันก็น่าจะปลุกเธอได้ เว้นเสียแต่เธอไม่ได้นอนหลับแบบปกติ

“เห็นเธอเหนื่อยมากซะขนาดนั้นก็ให้เธอพักผ่อนก่อนสิ!” เธอถือโทรศัพท์โดยไม่ได้มองไปที่เหอเหมียว ก่อนจะหันหลังและเดินออกไป

เช่นเดียวกับตอนที่เธอเพิ่งมาถึง เหอเหมียวก็ยังคงนั่งอยู่บนเตียงมองแผ่นหลังของเธอที่เดินออกไป เมื่อออกมาที่หน้าห้องของผู้ป่วย อันโหรวก็เปิดประตูเบา ๆ พลางชำเลืองสายตากลับไป เหลือบเห็นเหอเฉ่าที่นอนหลับอยู่บนเตียง

อันโหรวเดินออกไปข้างนอกก็เห็นจิ่งเป่ยเฉินถูกพยาบาลหลายคนจ้องมองด้วยสีหน้าที่เขินอายอยู่ด้านหลัง จิ่งเป่ยเฉินนะจิ่งเป่ยเฉิน คุณเล่นดันฉันซะติดกำแพง แต่ดูเหมือนจะไม่มีใครคนไหนกล้าออกมาพูดคุยกับคุณเลย

เธออยากจะหัวเราะเต็มที เพียงแต่เมื่อเห็นเหล่าผึ้งและผีเสื้อที่คิดจะตอมดอกไม้โดยที่เจ้าตัวไม่มีทีท่าจะขยับหรือเปลี่ยนท่าทีอะไร เธอก็ทนไว้ไม่ไหว

“ประธานจิ่ง เหอเฉ่ากำลังนอนหลับอยู่ เพียงแต่ว่าฉันรู้สึกว่าเรื่องนี้มันไม่ใช่เรื่องง่ายขนาดนั้นแล้ว” ถึงแม้ว่าในใจเธอจะไม่ได้แน่ใจอะไร แต่ก็หลีกเลี่ยงที่จะเอ่ยประโยคที่ดูกำกวมนี้ไม่ได้จริง ๆ

เพราะถ้าหากตามนิสัยของเหอเฉ่าแล้ว ถ้าหากเธอใช้มือถือส่งข้อความมาว่าอีกครึ่งชั่วโมงจะถึง แล้วทำไมเธอถึงยังต้องนอนอยู่อีก ครั้งนี้พันปีที่ยากจะได้พบ[1]เชียวนะ แถมวันนี้เป็นวันสำคัญอีกต่างหาก มีหรือเธอจะปล่อยให้มันพลาดได้ง่าย ๆ

“ลองพูดให้ฟังหน่อย” จิ่งเป่ยเฉินเดินหันหลังกลับมา ก่อนจะเดินไปที่ลิฟต์พร้อมกัน

อันโหรวดูเหมือนจะได้ยินเสียงของหญิงสาวที่ดูรู้สึกเสียดายอยู่ด้านหลังที่ประธานจิ่งสุดหล่อคนนี้เดินเคียงข้างมากับผู้หญิงที่แก่และขี้เหร่ ช่างเป็นรสชาติที่ชวนอี๋จริง ๆ!

“โทรศัพท์ของเหอเฉ่าอยู่ที่ด้านหน้าของเธอ ฉันได้ลองโทรไปดู มันก็ดังพอที่จะปลุกคนได้ อีกอย่างฉันโทรมาตั้งหลายครั้งหลายสาย ไม่มีทางที่จะไม่ตื่น เว้นเสียแต่ว่าเธอจะกินยานอนหลับ หรือไม่ก็ถูกวางยา” ขณะที่เธอพูดทั้งสองคนก็ได้เดินเข้าไปในลิฟต์ เธอเอื้อมมือกดที่ชั้นล่างและพูดต่อ

“และยิ่งตอนที่ฉันมาถึงที่สตูดิโอ ผู้ช่วยก็ได้บอกว่าเหอเฉ่าส่งข้อความมาบอกว่าอีกครึ่งชั่วโมงจะถึง ไม่ว่าข้อความนั้นเธอจะส่งมันเองหรือเปล่า แต่เรื่องนี้ก็น่าสงสัยมากจริง ๆ เหอเหมียวนั้นยิ่งน่าสงสัยมาก ๆ แต่ไม่รู้ว่าเธอคิดจะทำลายแผนโฆษณาของบริษัทจิ่งหรือจงใจกำหนดเป้าหมายเป็นฉันกันแน่ เพื่อทำให้พวกเราไม่มีความสุข”

“งั้นคุณจะทำยังไงต่อไป? แผนนี้เป็นคุณที่รับผิดชอบ หากเกิดเรื่องอะไรผิดพลาดขึ้น คุณก็ต้องรับผิดชอบอย่างเต็มที่ เพียงแต่ว่า…….” จิ่งเป่ยเฉินโน้มตัวลง พลางยื่นหน้าเข้าไปใกล้ ๆ เธอ เขาเอานิ้วเช็ดไปที่แก้มสีเหลืองขี้ผึ้งของเธอและกระซิบที่ข้างหูว่า “ถ้าหากคุณยอมขอร้องผม เรื่องวันนี้ผมจะไม่ถือว่าเป็นความผิดของคุณ”

ความรู้สึกจั๊กจี้ที่ข้างหูของเธอ ทำให้เธอต้องหดไหล่ทันที ก่อนจะขยับตัวไปที่ด้านข้างอย่างรวดเร็วและพูดว่า “ประธานจิ่ง วันนี้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น ฉันขอรับผิดชอบคนเดียวทั้งหมดเองค่ะ”

“คุณรับผิดชอบไหวเหรอ?” จิ่งเป่ยเฉินเอียงศีรษะเล็กน้อย ก่อนจะปัดแก้มเหลือง ๆ ของเธออีกครั้ง และเผยให้เห็นถึงริมฝีปากที่เย็นชา เขาไม่ชอบแป้งที่อยู่บนใบหน้าของเธอจริง ๆ มันอดไม่ได้ที่อยากจะเช็ดออกให้หมด!

อันโหรวสัมผัสได้ถึงไออุ่นที่แผ่ออกมาจากใบหน้า เธอขยับตัวอีกครั้ง แต่ลิฟต์ที่อยู่ตรงหน้าก็ได้ถูกเปิดออกในช่วงเวลานี้

เธอรีบเคลื่อนตัวด้วยความรวดเร็วและพูดว่า “ประธานจิ่ง เชิญค่ะ”

ทั้งสองคนค่อย ๆ ก้าวออกจากลิฟต์ ตลอดทางพวกเขาถูกผู้คนมองมาจากที่ไกล ๆ หลายครั้ง จิ่งเป่ยเฉินเองก็ไม่มีทีท่าที่จะเหลือบตามอง พลางเดินไปอย่างสงบนิ่งและดูใจเย็น

บิ๊กบอสของเธอดูสูงส่งเสียขนาดนี้ เธอจึงได้เดินตามหลังของเขาก่อนจะออกจากโรงพยาบาลนี้ไป

หลังจากที่ออกไปแล้ว เสี่ยวหยางก็ได้เปิดประตูรถที่ด้านหลัง จิ่งเป่ยเฉินเข้าไปนั่งในรถ ขณะที่เธอกำลังจะออกไป เสียงทุ้มต่ำที่คุ้นเคยก็ดังขึ้นอีกครั้ง “ขึ้นมา”

แต่เดิมทีคิดอยากจะปฏิเสธอยู่แล้ว แต่เรื่องวันนี้ยังไม่ทันเคลียร์สถานการณ์ คำถามเมื่อครู่นี้เธอก็ยังไม่ตอบ จึงจำใจทำตัวแข็งกระด้างและเข้าไปนั่งในรถของเขา

รถได้แล่นออกจากประตูโรงพยาบาลอย่างรวดเร็ว เธอหันหน้าไปมองคนที่อยู่ด้านข้างและพูดว่า “ประธานจิ่ง ฉันคิดจะขอให้ผู้กำกับเจียงหลิวมาช่วยถ่ายภาพเหอเฉ่าอีกครั้งหนึ่ง ฉันคิดว่าครั้งต่อไปต้องไม่เกิดปัญหาแบบนี้ขึ้นอีกแน่ ๆ”

จิ่งเป่ยเฉินหันหน้าไปมองเธอและตอบอย่างช้า ๆ ว่า “วันนี้คนทำงานฟรี ทุกอย่างก็ฟรี เจียงหลิวเองก็….”

“หักออกจากเงินเดือนพนักงานของฉันได้เลยค่ะ หักทั้งเดือนก็ได้ค่ะ!” เธอจะต้องตรวจสอบเรื่องของวันนี้ให้ชัดเจนให้ได้ เหอเหมียวที่เป็นผู้ป่วยกลับดูผิดปกติขนาดนั้น มันชวนให้เธอรู้สึกติดอยู่ในใจไปเสียแล้ว

ผู้หญิงคนนี้ไม่เคยคิดจะเดินไปทางปกติกับเขาบ้างเลยเหรอ ขอร้องเขาสักคำก็ไม่เคย? ไม่คิดจะยอมแพ้กับเขาบ้างเลยหรือยังไงกัน! จิ่งเป่ยเฉินได้แต่แอบคิด

ไม่ช้าบิ๊กบอสที่ดูโหดเหี้ยมสุดโฉดคนนั้นก็ได้ยกมุมปากขึ้นและพูดด้วยน้ำเสียงเบา ๆ ว่า “งั้นเธอก็ไม่มีเงินเดือนเกือบทั้งปีเชียวนะ”

“ประธานจิ่ง นี่คุณวางแผนจะเอาเงินในกระเป๋าไปใช้จนหมดเลยเหรอ?” เธอได้รับเงินเดือนตลอดหนึ่งปีมากขนาดนั้นเชียว!? เธอคงต้องใช้เวลากว่าครึ่งเลยมั้งถึงจะได้เงินเดือนเกือบทั้งปีขนาดนั้นกับเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นเพียงครึ่งวัน

จิ่งเป่ยเฉินได้ยินที่เธอพูด ใบหน้าที่เย็นชาก็เผยคำพูดที่ดูเคร่งขรึมออกมา “ถ้าหากคุณขอร้องผม ผมก็สามารถเลี้ยงดูคุณได้ในเวลาลำบากนะ”

“ไม่ต้องหรอกค่ะ หากประธานจิ่งคิดอยากจะหักแบบนั้นก็เชิญค่ะ!” เธอปกปิดอยู่เล็กน้อย จริง ๆ แล้วไม่กี่ปีก่อนเธอได้เอาของที่ได้มาไม่นานมานี้ออกไปขายมาแล้วสักพักหนึ่ง ซึ่งของชิ้นหนึ่งก็มีมูลค่าเท่าเงินเดือนของเธอเกือบถึงสิบปีเชียว นั่นก็นับว่าคุ้มค่ามากแล้ว

เมื่อรู้ว่าเธอจะพูดแบบนี้ ใบหน้าของเขาก็นิ่งมากขึ้นเรื่อย ๆ และไม่คิดจะพูดคุยกับเธออีกเลย

……

เหอเหมียวยังนั่งเล่นโทรศัพท์อยู่บนเตียง ทันใดนั้นประตูห้องคนไข้ก็ถูกเปิดออก เมื่อเธอรู้ว่าใครเดินเข้ามาก็เงยหน้าขึ้นมองอย่างช้า ๆ และพูดว่า “เธอบอกว่าจะให้ฉันไปหาพี่โอวหยางลี่ได้ใช่ไหม แล้วคนล่ะ?”

เหลียวเว่ยยิ้มเยาะมองไปที่เหอเฉ่าที่นอนอยู่ด้านข้างและตอบกลับไปว่า “ลูกพี่ลูกน้องของเธอนี่ดูสวยกว่าเธอมากเลยนะ”

“แล้วยังไง ฉันก็คือฉัน ลูกพี่ลูกน้องก็คือลูกพี่ลูกน้อง!” เหอเหมียวจับโทรศัพท์แน่น ก่อนจะปิดเปลือกตาของเธอลงและพูดว่า “เธอบอกว่าจะให้พี่โอวหยางลี่มา เขาจะมาตอนไหน?”

“ฉันบอกเขาว่าเธออยู่โรงพยาบาลไหน แต่เขาไม่ได้ตอบกลับนี่ว่าจะมาหาเธอหรือเปล่า เรื่องนี้ฉันเองก็ไม่ทราบ” เหลียวเว่ยหลบสายตาจากเหอเหมียว ในที่สุดก็ยืนอยู่ข้าง ๆ เตียงของเหอเหมียว ก่อนจะพูดว่า “ฉันจะแนะนำอะไรเธอสักอย่างหนึ่งนะ อย่าได้คิดถึงของที่ไม่ใช่ของตัวเองเลย!”

“นี่เธอ…….” เหอเหมียวถลึงตาใส่เธอ เมื่อคิดหาวิธีโต้กลับอะไรไม่ได้ โอวหยางลี่เองก็ได้คิดจะเอาเธอขึ้นบัญชีดำแล้ว เธอจึงไม่สามารถติดต่ออะไรเขาได้อีก

ถ้าไม่อย่างนั้นเธอจะตกลงรับปากเหลียวเว่ยเรื่องวางยานอนหลับเหอเฉ่าทำไมกัน หนำซ้ำยังใช้โทรศัพท์มือถือแกล้งส่งข้อความไปว่าเธอกำลังไปที่นั่นอีก

“ฉันทำไม?” เหลียวเว่ยหัวเราะอย่างเย็นชา ดวงตาคู่งามของเธอจับจ้องไปที่เหอเหมียวที่ไม่อาจทำอะไรเธอได้

สิ่งที่เธอทำวันนี้ หนึ่งก็เพื่อทำให้แน่ใจว่าถ้าหากผู้หญิงที่ชื่ออันอีหานนั้นเป็นอันโหรวขึ้นมาจริง ๆ เรื่องนี้คงไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่สิ่งที่เธอคาดไม่ถึงก็คือจิ่งเป่ยเฉินถึงขนาดมาที่โรงพยาบาลด้วยตัวเองแบบนี้

เธอมาที่โรงพยาบาลก็ได้เห็นพวกเขาสองคนอยู่ฝั่งตรงข้ามก่อนจะขึ้นรถออกไป หลายปีมาแล้ว มีแฟนสาวซุบซิบไปเรื่อยของจิ่งเป่ยเฉินตั้งมากมาย แต่มีแค่คนคนเดียวที่สามารถขึ้นรถไปกับจิ่งเป่ยเฉินได้ ซึ่งภาพต่าง ๆ ก็ล้วนชี้ชัดมากขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว

ข้อยกเว้นที่แต่เดิมเคยมี ตอนนี้มีแค่อันอีหาน ส่วนอีกคนก็คือคนเมื่อห้าปีที่แล้วที่ชื่อว่าอันโหรว ที่จะสามารถนั่งรถของจิ่งเป่ยเฉินได้

[1] หมายความว่า โอกาสที่หาได้ยากและมีค่ามาก ๆ นับว่าเป็นโอกาสแค่ครั้งเดียว