บทที่ 89 เนื้อย่างสูตรลับของตระกูลปู้

ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD

เนื้อส่วนกระดูกสันหลังของหมูวิญญาณเพลิงอัสนีถูกเสียบด้วยกิ่งไม้สายพันธุ์อะไรก็ไม่ทราบได้ และกำลังถูกย่างอยู่บนกองไฟ ทันทีที่อุณหภูมิเพิ่มสูงขึ้น กิ่งไม้นั้นก็ปล่อยกลิ่นหอมน่าหลงใหลออกมา กลิ่นหอมจากไม้เหมือนกลิ่นผลไม้สดใหม่น่ากินตัดกับกลิ่นเนื้ออย่างสิ้นเชิง

สีชมพูสวยเริ่มปรากฏขึ้นบนผิวเนื้อที่กำลังย่างอยู่บนกองไฟ ตามมาด้วยน้ำมันที่ค่อยๆ ซึมออกจากเนื้อ พร้อมด้วยกระแสไฟฟ้าที่กระเด็นกระดอนออกจากผิวเนื้อเป็นพักๆ

ปู้ฟางหมุนเนื้อให้สุกโดยรอบด้วยความร้อนเท่ากัน ถือเป็นอีกหนึ่งในบททดสอบความสามารถของพ่อครัวในการควบคุมไฟ การย่างเนื้อเสียบไม้นั้นดูเป็นสิ่งที่ทำง่าย แต่ในความเป็นจริงแล้วมีจุดเล็กๆ มากมายที่ต้องเอาใจใส่

ด้วยความที่เนื้อนี้เป็นเนื้อของหมูวิญญาณเพลิงอัสนีระดับหก ความจริงแล้วไฟไม่สามารถทำอะไรมันได้ ด้วยเหตุนี้ปู้ฟางจึงต้องปล่อยพลังปราณเที่ยงแท้ลงไปในไฟตลอดเวลา ถือเป็นอีกหนึ่งในกระบวนการทำอาหารด้วยพลังปราณเที่ยงแท้

ยิ่งย่างนานเท่าไร กลิ่นของเนื้อที่ลอยออกจากเตาก็ยิ่งอบอวลไปทั่วป่าหินมากเท่านั้น

ถังอิ่นและลู่เซียวเซียวกลืนน้ำลายพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย ดวงตาหันไปจ้องที่เนื้ออย่างควบคุมไม่ได้ เนื้อสีชมพูสวยวิบวับด้วยมันที่ซึมออกมา ดูน่าดึงดูดใจเป็นอย่างมาก

 “หอมมาก!” ถังอิ่นอดอุทานออกมาไม่ได้ กลิ่นเนื้อนั้นดูพอดี ไม่เลี่ยนจนเกินไป และผสมผสานกับกลิ่นผลไม้อ่อนๆ ทำให้เขารู้สึกเหมือนได้ขึ้นไปวิ่งเล่นอยู่บนสวรรค์

ลู่เซียวเซียวเองก็กำลังมองเนื้อย่างเช่นกัน ดวงตาของนางจับจ้องไม่วางตา หลังจากที่ใช้ชีวิตฝึกปราณอยู่ในสำนักความลับแห่งสวรรค์มาตลอดชีวิต ใครกันเล่าจะต้านทานกลิ่นหอมนี้ได้

ภายในสำนักนี้ ใครก็ตามที่มีปราณตั้งแต่ระดับห้าขั้นราชันยุทธการขึ้นไปจะเลือกอดอาหารโดยสมัครใจ ความจำเป็นในการกินอาหารนั้นน้อยมาก

ปู้ฟางหมุนเนื้อด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ขณะที่น้ำมันค่อยๆ ซึมออกจากเนื้อย่าง ชายหนุ่มก็โรยเครื่องปรุงรสลงไป ทำให้กลิ่นของเนื้อย่างหอมหวนชวนกินมากขึ้นไปอีก

เขาเอาเนื้อสองไม้ลงจากไฟแล้วยื่นให้ถังอิ่นและลู่เซียวเซียว ก่อนทำท่าเชื้อเชิญให้กิน

 “เนื้อย่างสูตรลับของตระกูลปู้ กินให้อร่อย” ชายหนุ่มพูดหน้าตาย

ถังอิ่นและลู่เซียวเซียวแทบน้ำลายไหลย้อย ยิ่งได้ดมกลิ่นเนื้อย่างใกล้ๆ ก็ยิ่งรู้สึกท้องไส้ปั่นป่วนด้วยความหิวจนแทบทนไม่ไหว

 “ขอบพระคุณขอรับ ศิษย์พี่” ถังอิ่นเป็นชายที่มีวินัยมาก เขาขอบคุณปู้ฟางก่อนกัดเนื้อย่างเข้าไปหนึ่งคำ

แม้ลู่เซียวเซียวจะเป็นสตรี แต่มารยาทบนโต๊ะอาหารของนางไม่ได้ดีเท่าถังอิ่น ตอนที่ชายหนุ่มในชุดเขียวกินเนื้อเข้าไปคำแรกนั้น ปากของลู่เซียวเซียวก็เต็มไปด้วยเนื้อแล้ว

 “โอ๊ย โอ๊ย… ร้อน! ร้อน!” ลู่เซียวเซียวแก้มตุ่ยเพราะมีอาหารเต็มปาก ดวงตาเบิกกว้าง นางกำกิ่งไม้เสียบเนื้อเอาไว้แน่นด้วยมือข้างหนึ่ง อีกข้างพัดแก้มตนเองให้หายร้อน

ถังอิ่นกัดเนื้อคำแรกเข้าไป ทันทีที่ฟันสัมผัสเนื้อ รสชาติเข้มข้นก็ระเบิดออกมาภายในปาก เนื้อนั้นนุ่มมากจนน่าตกใจ ไม่มีทั้งความแห้งและความแข็งอย่างที่เนื้อย่างควรจะมีโดยสิ้นเชิง ทันทีที่กัดลงไป น้ำมันจากเนื้อก็ซึมออกมาทำให้ปากของชายหนุ่มมันย่อง ดูจากระยะไกลเหมือนเขาทาปากจนมันวาวไม่มีผิด

ขณะกำลังเคี้ยว รสชาติของเนื้อก็เข้าปกคลุมไปทั้งลิ้น ตามมาด้วยรสสัมผัสชาที่เป็นคุณสมบัติของเนื้อชนิดนี้ รสชาตินี้ระเบิดอยู่ในปาก ทำให้ชายหนุ่มขนลุกไปทั้งตัว

เมื่อกลืนเนื้อลงไป สัมผัสชานี้ก็ตามลงหลอดอาหารเข้ากระเพาะไปด้วย ชายหนุ่มรู้สึกราวกับร่างทั้งร่างกำลังถูกชำระล้าง เป็นความรู้สึกที่สบายมากเสียงจนอยากร้องออกมาอย่างมีความสุข

 “มีอะไรอร่อยขนาดนี้อยู่บนโลกด้วยหรือ! ข้าไม่รู้มาก่อนเลยว่าเนื้อของหมูวิญญาณเพลิงอัสนีจะอร่อยได้ถึงเพียงนี้!” ถังอิ่นรู้สึกอยากจะร้องไห้ เขามีชีวิตอยู่มานาน แต่ก็ไม่เคยได้กินอาหารที่อร่อยจนทำให้ความรู้สึกมากมายหลั่งไหลเข้าจิตใจขนาดนี้เลย

ลู่เซียวเซียวเดินทางมาถึงจุดที่หยุดกินไม่ได้อีกต่อไปแล้ว ดวงตาของนางแดงก่ำ ดูเหมือนว่าจะรู้สึกตื้นตันใจกับความอร่อยไม่น้อยเช่นกัน

ในฐานะที่ทั้งสองเป็นศิษย์จากสำนักความลับแห่งสวรรค์ ซึ่งเป็นหนึ่งในสำนักภายนอกอาณาจักรสิบอันดับแรก  ทั้งสองจึงต้องฝึกวิชาอย่างหนักตั้งแต่เด็ก โดยกินเพียงโจ๊กจืดชืดและหมั่นโถวนึ่งเป็นอาหารสามมื้อต่อวันติดต่อกันมาหลายสิบปี หลังจากที่พัฒนาปราณได้ถึงระดับห้า ส่วนมากก็จะเลือกอดอาหารกัน ทำให้ต่อมรับรสเรียกได้ว่าแทบจะตายด้าน

การได้กินเนื้อย่างฝีมือปู้ฟางเป็นครั้งแรกนี้ เปรียบเสมือนประสบการณ์ชีวิตที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เป็นประสบการณ์สดใหม่จนอธิบายไม่ถูก ที่มาพร้อมรสชาติแสนอร่อยเสียจนรู้สึกได้ถึงความสุขจากก้นบึ้งของหัวใจ

ปู้ฟางมองทั้งสองตั้งหน้าตั้งตากินอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ จากนั้นมุมปากก็ยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม เขาหยิบเนื้อเสียบไม้ชิ้นสุดท้ายออกจากที่วางเช่นกันแล้วเริ่มกินอย่างไม่รีบร้อน

ขณะที่กำลังกินนั้น ชายหนุ่มก็คิดพิจารณาถึงข้อผิดพลาดในอาหารจานนี้ไปด้วย

ฟ่าว!

ลมพัดหอบเอากลิ่นเนื้อย่างกระจายไปทั่วบริเวณ กลิ่นนี้ทำให้หมู่อสูรเวทในดินแดนป่ารกชัฏสนอกสนใจเป็นอย่างมาก อสูรเวทหลายตัวค่อยๆ เดินตามกลิ่นมาตามสัญชาตญาณเพื่อหาต้นตอ

บนหินผา อสูรเวทหน้าตาเหมือนเสือชีตาห์ที่มีดวงตาสีเขียวเข้มเรืองแสงในความมืด กำลังแยกเขี้ยวและน้ำลายยืดออกจากปาก ดวงตาของมันจับจ้องมายังบริเวณที่พักของพวกปู้ฟาง

ในเวลาเดียวกันนั้นเอง อสูรเวทที่มีพลังปราณแก่กล้าหลายตัวก็กำลังเดินเข้าหาพวกเขาเช่นกัน

ไม่ได้มีแค่มนุษย์ที่รู้สึกหลงใหลกลิ่นเนื้อย่างหัวปักหัวปำ อสูรเวทเองก็อดรนทนไม่ได้เช่นกัน

ถังอิ่นกัดเนื้อย่างแล้วกลืนลงท้องไปอย่างรวดเร็ว สีหน้ามีความสุขขณะลุกขึ้นยืน

 “ทักษะในการทำอาหารของศิษย์พี่ทำให้ข้าประทับใจเป็นอย่างมาก ข้าจะจัดการพวกปลาซิวปลาสร้อยรอบตัวให้เอง ท่านจะได้ไม่เสียอารมณ์” ชายหนุ่มหยิบกระบี่ยาวมาถือไว้ในมือ อีกมือกำเนื้อย่าง ความคมของกระบี่แฝงไปด้วยไอเย็นจับใจ

ปู้ฟางนั้นกำลังกินเนื้อย่างส่วนของตน พร้อมคิดถึงข้อด้อยของอาหารจานนี้ไปด้วย

ส่วนศิษย์น้องหญิงของเขาก็กำลังตั้งหน้าตั้งตากินโดยไม่สนใจสิ่งรอบกาย

เมื่อถังอิ่นเห็นว่าไม่มีใครสนใจตน เขาก็รู้สึกอับอายเป็นอย่างมาก ชายหนุ่มยิ้มยิงฟันแล้วกินเนื้อย่างอีกคำ จากนั้นก็หัวเราะ ปล่อยพลังปราณเที่ยงแท้ในกายให้ระเบิดออกมา พลังปราณเหล่านั้นพุ่งเข้าโอบล้อมร่างกายของเขาไว้เหมือนมังกรคำราม

 “ฮ่าๆๆๆ! ในอดีตกาลวีรบุรุษมักร่ำสุราขณะฆ่าอสูรร้าย! แต่ตอนนี้ข้าถังอิ่น กำลังกินเนื้อย่างพร้อมสังหารอสูรไปด้วย!”

ถังอิ่นกระโจนเข้าไปในดงอสูรเวท ระดับความแข็งแกร่งของอสูรเวทที่ถูกกลิ่นเนื้อย่างดึงดูดเข้ามาอยู่ที่ประมาณระดับห้า ทุกตัวล้วนมีถิ่นที่อยู่ประจำของตน หากไม่ใช่เพราะความหอมยั่วยวนใจของเนื้อย่าง พวกมันคงไม่มีทางออกจากอาณาเขตของตนเองอย่างแน่นอน

กระบี่ของถังอิ่นส่องประกายในความมืด เขาเคลื่อนตัวอยู่ในดงอสูรเวทอย่างพลิ้วไหว เสื้อผ้าโบกสะบัดสบายตัว ระหว่างต่อสู้เขากัดกินเนื้อไปด้วยเป็นครั้งคราว แต่ยังคงรักษาภาพลักษณ์ความสงบนิ่งของนักรบอยู่

ช่างเป็นเรื่องประหลาดยิ่งนักที่ได้เห็นภาพคนต่อสู้กับอสูรเวทไปกินเนื้อย่างเสียบไม้ไป…

เมื่อการต่อสู้สิ้นสุดลง ถังอิ่นก็เดินกลับมาพร้อมด้วยกระบี่ในมือข้างหนึ่ง และเนื้อย่างเสียบไม้ในมืออีกข้าง

กระบี่ยาวเยือกแข็งของเขายังมีหยดเลือดไหลย้อยลงมาอยู่ แต่ถังอิ่นก็กินเนื้อย่างต่อโดยไม่สนใจอะไร ใบหน้าของชายหนุ่มดูพึงพอใจอย่างอธิบายไม่ถูก ทั้งยังดูประหลาดใจอีกด้วย

“ศิษย์พี่ ข้าจัดการอสูรเวทหมดแล้ว” ชายหนุ่มในชุดเขียวพูดกลั้วหัวเราะ

ปู้ฟางพยักหน้า พร้อมเอาเนื้อชิ้นสุดท้ายใส่ปากแล้วค่อยๆ เคี้ยว

 “ศิษย์พี่ เนื้อย่างของท่าน… สามารถเติมพลังปราณเที่ยงแท้ในกายได้หรือ ข้าต่อสู้กับอสูรเวทระดับห้าถึงสี่ตัวด้วยตัวคนเดียว แต่พลังปราณในกายข้ากลับไม่ลดลงเลย แถมขณะที่สู้ไปเรื่อยๆ พลังปราณยังเพิ่มมากขึ้นด้วย จนแทบจะไหลออกจากร่างข้าอยู่รอมร่อ…” ถังอิ่นสูดหายใจเข้าลึกแล้วเอ่ยถามด้วยสีหน้าจริงจัง

ลู่เซียวเซียวที่นั่งอยู่ใกล้ๆ นั้นก็มีสีหน้าพึงพอใจเช่นกัน นางกำลังลูบพุงยื่นๆ ของตนหลังกินเข้าไปจนอิ่ม จากนั้นก็ถอนหายใจเอาลมร้อนออกมา ตั้งใจว่าจะพักสักครู่

ทว่าดวงตาของเด็กหญิงก็ต้องเบิกกว้างด้วยความตกใจ นางหันไปมองถังอิ่นจากนั้นก็นั่งขัดสมาธิลง พลังปราณปริมาณมากไหลเวียนอยู่ในตัว จนร่างกายของนางเข้าสู่การฝึกปราณโดยธรรมชาติ

 “อย่างที่เจ้าเข้าใจ เนื้อย่างนี้ทำให้พลังปราณในกายเจ้าเพิ่มมากขึ้น แต่อย่าตื่นเต้นมาก นี่เป็นเพียงอาหารพลังปราณเที่ยงแท้ธรรมดาเท่านั้น หากเจ้าอยากกินอาหารเช่นนี้อีก ก็มาที่นครหลวงของจักรวรรดิวายุแผ่ว แล้วตามหาร้านชื่อร้านเล็กๆ ของฟางฟางก็แล้วกัน” ปู้ฟางพูดเรียบๆ พร้อมโฆษณาร้านตัวเองไปด้วย

จักรวรรดิวายุแผ่ว ร้านเล็กๆ ของฟางฟาง… ถังอิ่นหรี่ตาแล้วพยักหน้าตอบรับ พร้อมคิด “อาหารที่ทั้งอร่อยและมีคุณสมบัติเทียบเท่าโอสถทิพย์ระดับห้า ศิษย์พี่ของเรานี้ช่างยอดเยี่ยมน่าเลื่อมใสจริงๆ!”

หลังจากที่กินเนื้อย่างเสร็จ ถังอิ่นก็นั่งขัดสมาธิแล้วเริ่มฝึกปราณเช่นกัน สำหรับปู้ฟาง ระบบได้นำพลังปราณที่ได้รับจากการกินอาหารไปสกัดเรียบร้อย เขาจึงหาที่นอนแล้วหลับไป

คืนนั้นผ่านไปโดยไม่มีเหตุการณ์ใดผิดปกติ เช้าวันรุ่งขึ้น ทั้งสามตื่นตั้งแต่ย่ำรุ่งเพื่อมุ่งหน้าไปยังหุบเขาปักษาเพลิงพ่าย

เมื่อเดินทะลุป่าหินไปได้ ทิวทัศน์เบื้องหน้าก็พลันเปลี่ยนไป

ทัศนียภาพเบื้องหน้าคือสายธารไหลรินรายล้อมด้วยแมกไม้เขียวชอุ่ม เสียงน้ำตกจากธารเล็กดังไพเราะเสนาะหู ในที่สุดทั้งสามก็เดินทางมาถึงหุบเขาปักษาเพลิงพ่าย

……………………..