ตอนที่ 100 รับเส้นชีพจรเสวียน

ศิษย์หลานข้า ระวังอย่าหลงผิด

อวิ๋นเจี่ยวยัดตำราในมือให้ชายแก่ “เอาละ พรุ่งนี้เจ็ดโมงเช้าเริ่มสอน เป็นอาจารย์อย่ามาสายนะ” เพราะว่านางรับเงินไว้แล้ว สามเท่า! แบบที่คืนไม่ได้ด้วย พูดจบก็เดินออกจากห้องไป 

 

 

“เดี๋ยว เจ้าหนู…” ไป๋อวี้รู้สึกอยากร้องไห้ออกมาทันใด เหตุผลเขารู้ แต่ว่าอย่างนี้จะไม่มีปัญหาจริงๆ หรือ คาถาเหล่านั้น เขาศึกษามาแล้วทุกเล่ม และยังได้รับคำอธิบายจากเจ้าหนูอีก ทำให้เขาสามารถซึมซับได้อย่างลึกซึ้ง! แต่สิ่งสำคัญคือการซึมซับกับการฝึกฝนมันคนละเรื่องกัน! 

 

 

คาถาเหล่านั้น มีอันไหนที่ไม่ต้องใช้เวลากว่าหลายปีหรือหลายสิบปีในการฝึกฝน ตอนนี้เขาฝึกคาถาเสวียนซินถึงระดับสามเท่านั้นเอง เป็นประเภทที่เรียนได้ทำไม่ได้นะ 

 

 

ไป๋อวี้แสดงถึงความกังวลอย่างสุดซึ้ง ให้เขาไปสอน ไม่ได้เป็นการถ่วงความก้าวหน้าของศิษย์คนอื่นหรือไง 

 

 

จนกระทั่งวันต่อมาเขาถึงรู้ว่า สามารถทำได้จริง! 

 

 

○| ̄|_ 

 

 

อวิ๋นเจี่ยวเตรียมเอกสารไว้ให้เขา ไม่เพียงแต่เอกสารคำอธิบาย ตัวอย่าง และคำตอบในจุดยากที่เขาใช้ศึกษาในตอนแรก แต่ยังรวมไปถึงคำถามในรายละเอียด และเนื้อหาในแต่ละบทการสอนของเขาอีกด้วย 

 

 

พูดง่ายๆ คือทุกคนฟังเข้าใจอย่างแน่นอน หากไม่ใช่ปัญญามีปัญหาหรือไม่ตั้งใจเรียน สิ่งที่แตกต่างคือ เขาสอนผ่านทางยันต์ส่งสาร จึงไม่สามารถชี้แนะได้ด้วยตนเอง ซึ่งก็หมายความว่า เขาไม่จำเป็นต้องเรียนรู้คาถาทั้งหมดนั้น เพียงแค่สอนวิธีและหลักการ ส่วนเรื่องการฝึกฝนเป็นเรื่องของตัวพวกเขาเอง 

 

 

เพราะว่าคุณสมบัติของแต่ละคนแตกต่างกัน ถึงแม้คาถาจะเป็นคาถาเดียวกันก็ตาม 

 

 

เขามาคิดทบทวนอย่างละเอียดแล้ว พบว่าตอนที่ตนเองเรียนนั้น เหมือนกับว่าอวิ๋นเจี่ยวก็ไม่เคยฝึกคาถาเหล่านี้เหมือนกัน ดังนั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึงการแสดงวิธีการใช้เลย แต่เขาก็ฝึกฝนจนสำเร็จได้ ถึงแม้ต่อมาอาจารย์ปู่จะใช้คาถาที่เขาฝึกสำเร็จต่อย(ทดสอบ)เขาเดือนละครั้งก็ตาม แต่ว่าอาจารย์ปู่เคลื่อนไหวเร็วเกินไป ทำให้ส่วนใหญ่นั้นเขามองไม่ทัน 

 

 

เจ้าหนูราวกับเคยชินกับเรื่องแบบนี้ ก่อนจะเอียงคอแล้วพูดว่า นี่ไม่ใช่เรื่องปกติหรือ คุณครูฟิสิกส์ทุกคนไม่ใช่ว่าจะประดิษฐ์ระเบิดปรมาณูเป็น! 

 

 

ถึงแม้จะไม่รู้ว่า ‘ไข่กลม’ นั้นคือไข่อะไร แต่ทำไมถึงรู้สึกว่าดูมีเหตุผลอย่างยิ่ง ทันใดนั้นชายแก่ผุดความมั่นใจขึ้นมาเต็มเปี่ยม แม้แต่การบ้านนอกกรอบยังไม่วายเพิ่มขึ้นอีกสองใบ! อย่างน้อยแต่ก่อนเจ้าหนูออกข้อสอบให้เขาทำเหมือนกัน หากจะสอนก็ต้องสอนให้ครบหลักสูตร สำนักชิงหยางของพวกเราไม่กักเอาไว้อย่างแน่นอน 

 

 

แหะๆ! 

 

 

ถ่ายทอดเต๋า! พวกเขาจริงจัง! 

 

 

︿( ̄︶ ̄)︿ 

 

 

เหล่าศิษย์ “…” ตอนนี้คืนบัตรยังทันหรือไม่ 

 

 

ดังนั้นทั้งเสวียนเหมินจึงตกอยู่ในห้วงบรรยากาศของการศึกษาไปชั่วขณะ 

 

 

ส่วนอวิ๋นเจี่ยวที่ผลักหน้าที่ไปให้ชายแก่นั้นมีเวลาในการฝึกฝนวิชายาเสียที ตำราเกี่ยวกับหมอรักษาพลังลมปราณ ยิ่งถึงตอนท้ายเนื้อหายิ่งซับซ้อน อีกทั้งยังเกี่ยวข้องกับยาอีกเป็นจำนวนมาก ในนั้นประกอบด้วยสมุนไพรวิเศษมากมายที่นางไม่เคยเจอมาก่อน ว่ากันว่าล้ำค่าอย่างมาก 

 

 

แต่ก่อนนางไม่ศึกษาเพราะว่าไม่มีเงิน ตอนนี้เปิดคอร์สเรียนพิเศษขึ้นมาแล้ว ทำให้นางพอจะมีเงินเหลือบ้าง นางจึงเริ่มต้นที่จะศึกษาด้านนี้ เพียงแต่การหลอมยามีเงื่อนไขพื้นฐานคือพลังลมปราณ 

 

 

นางไม่มีเส้นชีพจรเสวียน เดิมทีคิดจะลองดูว่าสามารถชักนำพลังลมปราณผ่านทางข่ายพลังในการหลอมยาได้หรือไม่ น่าเสียดายที่นางยังไม่ทันได้ลองก็ต้องหยุดชะงักลง 

 

 

เพราะว่าอาจารย์ปู่ที่หายตัวไปหลายวันนั้นกลับมาแล้ว 

 

 

เขายังคงอยู่ในสภาพชุดขาวบริสุทธิ์ สีหน้าเย็นชา เขาปรากฏตัวในห้องของนางอย่างกะทันหัน นางไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือไม่ แต่รู้สึกว่าพลังรอบตัวเขาเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม คิ้วขมวดมุ่นราวกับเจอเรื่องรำคาญใจอะไรบางอย่าง ก่อนจะยื่นมือมาข้างหน้านางแล้วพูดขึ้นว่า “ให้!” 

 

 

“ฮะ?” 

 

 

อวิ๋นเจี่ยวผงะ เห็นเพียงแต่ในมือของเขากำสิ่งของลักษณะยาวเอาไว้ รูปร่างคล้ายกับสายฟ้า สิ่งนั้นมีสีขาวและมีพลังที่เหมือนกับบนตัวของอาจารย์ปู่แผ่ออกมา…พลังเทพ? 

 

 

“นี่…อะไร” มันคืออะไรกัน 

 

 

“เส้นชีพจรเสวียน!” อาจารย์ปู่ตอบอย่างจริงจัง “ใส่เข้าไปในจิตโดยตรงได้เลย” พูดจบก็ยกมือขึ้น วัตถุสีขาวในมือขยับขึ้นมาหนึ่งที 

 

 

“เป็น…เป็นๆ…หรือ” อวิ๋นเจี่ยวตกตะลึง ไม่กล้าจะรับมา “อาจารย์ปู่ท่านแน่ใจว่านี่…คือเส้นชีพจรเสวียนจริงๆ?” ไม่มีคนเคยบอกนางว่าเส้นชีพจรเสวียนเป็นเส้นชีพจรจริงๆ อีกทั้งยังเป็นแบบเป็นๆ ด้วย! 

 

 

“ไม่ชอบ?” เห็นนางไม่รับไป เยี่ยยวนสีหน้าดำลง ก่อนจะมองเส้นชีพจรเสวียนในมืออย่างรังเกียจ ราวกับนึกอะไรขึ้นได้ ก่อนจะพูดว่า “แย่ไปหน่อยจริง…” 

 

 

พูดจบก็หมุนมือ อวิ๋นเจี่ยวได้ยินเพียงเสียงอะไรบางอย่างดังขึ้น ก่อนที่มือของอีกฝ่ายจะมีเส้นชีพจรเสวียนที่มีลักษณะคล้ายกันอีกหลายเส้นปรากฏขึ้น เพียงแต่มีสีแตกต่างกัน แดงบ้าง เขียวบ้าง ม่วงบ้าง ทองบ้าง สีสันมากมายจนแทบจะรวมเป็นสามรุ้งอยู่แล้ว 

 

 

“งั้นเจ้าเลือกเอง” เขายังคงพูดด้วยความจริงจัง ก่อนจะยื่นเส้นชีพจรเสวียนหนึ่งกำมือมาให้ ท่าทางราวกับกำลังเร่งให้นางเลือก 

 

 

อวิ๋นเจี่ยว “…” อะไรกันเนี่ย 

 

 

( ̄△ ̄;) 

 

 

“จริงสิ!” เขาเหมือนนึกบางอย่างขึ้นได้ “ตามสภาพของเจ้าตอนนี้ ใช้เส้นสีขาวนี้จะเหมาะสมที่สุด แต่เลือกเส้นอื่นก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร!” แค่ศิษย์หลานตัวน้อยชอบก็พอ 

 

 

“อา…อาจารย์ปู่” อวิ๋นเจี่ยวสูดลมหายใจเข้าลึกๆ หนึ่งที ก่อนจะตั้งสติแล้วพูดขึ้นเป็นการลองเชิงว่า 

 

 

“ข้าขอถามหน่อย เส้นชีพจรเสวียนเหล่านี้…มาจากไหน” 

 

 

“ดึงมาจากพวกคนโง่เขลา” เขาตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย 

 

 

“ดึง…ดึง?!!” หน้าที่เคร่งขรึมอวิ๋นเจี่ยวราวกับมีรอยร้าว “ท่านบอกว่าเส้นชีพจรเสวียนเหล่านี้ ท่านดึง…ดึงมาจากตัวของคนอื่น?!” 

 

 

“อืม” เขาพยักหน้า “ไม่ต้องเป็นห่วง ไม่มีปัญหา!” เขาทำหน้าราวกับเจ้าวางใจได้ ไม่มีผลกระทบข้างเคียงอย่างแน่นอน 

 

 

“…” นี่มันคือปัญหาเรื่องผลข้างเคียงไหม 

 

 

อวิ๋นเจี่ยวรู้สึกกำลังจะเป็นบ้า “ข้าถามหน่อยได้หรือไม่ว่าเส้นชีพจรเสวียนเหล่านี้เป็นของใครบ้าง” ทำไมเขาออกไปแค่ห้าวัน แต่กลับดึงกลับมาเป็นกำเช่นนี้?! 

 

 

เขาขมวดคิ้ว ก่อนจะพูดเสียงเย็น “ไม่สำคัญ!” 

 

 

“…” สำคัญมากต่างหาก?! 

 

 

w(゚Д゚)w 

 

 

เส้นชีพจรเสวียนเป็นพื้นฐานในการฝึกฝน ไม่มีเส้นชีพจรเสวียนก็ไม่สามารถชักนำพลังลมปราณได้ แต่ท่านกลับดึงออกมาอย่าง…ง่ายดายเช่นนี้!! 

 

 

นางรู้สึกปวดขมับอย่างยิ่ง ทันใดนั้นเริ่มคิดทบทวนถึงอาหารที่ตนเองทำ หรืออาจเป็นเพราะท่าทางการทำอาหารของนางไม่ถูกต้อง ทำให้คนกินกลายเป็นเด็กซนขนาดนี้! 

 

 

ไม่ได้…ใจเย็นๆ! อาจารย์ปู่ของตัวเอง ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องอยู่ด้วยกันต่อไป 

 

 

นางเป็นคนมีการศึกษาที่มีเหตุผล “อาจารย์ปู่…” 

 

 

อวิ๋นเจี่ยวสูดลมหายใจเข้า คิดจะพูดด้วยเหตุผล ทันใดนั้นมีเสียงฟ้าผ่าส่งมาจากบนหัว บริเวณรอบข้างมืดลงไปอย่างกะทันหัน ราวกับแปรเปลี่ยนเวลากลางคืนในชั่วพริบตา ลมพายุพัดขึ้นอย่างบ้าคลั่ง 

 

 

สายฟ้าสีขาวสะอาดผ่าลงมาจากฟ้า ตกลงรอบสำนักชิงหยาง จนกลายเป็นหลุมใหญ่มากมาย 

 

 

จากนั้นมีพลังอำนาจกลุ่มหนึ่งกดทับลงมาจากบนท้องฟ้า ก่อนที่จะมีเสียงหนึ่งดังขึ้น แม้จะไม่ดังมาก แต่กลับได้ยินอย่างชัดเจน…เจ้าคนบังอาจ! บุกเข้าไปยังสวรรค์โดยพลการ รุกรานอำนาจสวรรค์!