บทที่ 85 บทเพลงราตรี Ink Stone_Romance

มีเสียงลอยมา ลูกธนูสองสามดอกพุ่งมาจากฟากฟ้า

หนึ่งในลูกธนูนั้นยิงทะลุหมาป่าที่กระโดดลอยตัวนี้ แล้วพุ่งมาพร้อมกัน แรงเสียจนกลิ้งมาตกข้างเท้าสาวใช้ที่ยืนอยู่ข้างกองไฟ

สาวใช้กรีดร้องออกมาหันมากอดเฉิงเจียวเหนียงไว้แน่น

โชคดีที่ตอนนี้เฉิงเจียวเหนียงขยับตัวได้กระฉับกระเฉงแล้ว ทิ้งไม้ที่ติดไฟในมือออกไปได้ทัน มิเช่นนั้นสาวใช้ผู้นี้แม้ไม่ถูกหมาป่ากัดตายก็คงโดนไฟลวกเสียแล้ว

นางเงยหน้ามองไป ลูกธนูยิงตามมาติดๆ ยิงโดนทุกดอก บางดอกถึงขนาดกับยิงโดนหมาป่าสองตัว

ไม่ช้าภัยคุกคามของทางนี้ก็หายไป

ท่ามกลางค่ำคืนที่มืดมิด มีม้าสี่ห้าตัวหยุดอยู่ในที่ไม่ไกลนัก คนบนม้านั้นส่งเสียงร้องโหวกเหวก

“…ไม่ได้ยิงหมาป่าเล่นเช่นนี้นานแล้ว!”

“…พี่ใหญ่ เหมือนกับได้ฆ่าหมาป่าแถวเมืองทางตะวันตกเฉียงเหนืออีกครั้ง!”

“หลบไปให้หมด เหลือไว้ให้ข้าบ้าง ข้าจะฆ่าให้สะใจไปเลย!”

ในขณะเดียวกันก็มีหมาป่าตัวหนึ่งถูกยิงทะลุเอว เหลือเพียงหมาป่าไม่กี่ตัวส่งเสียงเห่าหอนแล้วมุดหนีไป

ผู้คนต่างก็ส่งเสียงร้องยินดี ฉลองที่รอดมาจากภัยอันตราย

กองไฟก่อเพิ่มอีกสามกอง หลังจากการต่อสู้ที่อันตราย ความห่างก็หายไป ความสนิทสนมกลับเพิ่มขึ้น

เหล่าผู้ติดตามช่วยกันหาม้าที่วิ่งหายไปกลับมาแล้วทำแผลให้ เสียงหัวเราะพูดคุยดังคึกคัก

ทางนี้นายเฉินสี่และพ่อบ้านเฉา พูดคุยกับเด็กหนุ่มคนนั้น แน่นอนว่า พวกเขาไม่ได้ซักถามที่มาของฝั่งตรงข้าม เพียงแต่ขอบคุณกัน

“เดินทางยามค่ำคืนช่างอันตรายนัก” นายเฉินสี่กล่าว ในใจก็ยังหวาดผวาอยู่

“ไม่เคยเดินทางก็ไม่รู้ เมื่อได้เดินทางจึงได้รู้ ดีเสียจริง ดีเสียจริง” เด็กหนุ่มกล่าว

ทำไมถึง…ดีเล่า

นายเฉินสี่และพ่อบ้านเฉาต่างชะงักงันไป

มองดูเด็กหนุ่มผู้นี้ อายุเพียงสิบห้าสิบหกเท่านั้น เหมือนจะแต่งตัวธรรมดา แต่ก็ปิดบังความสูงศักดิ์ไว้มิได้ คล้ายกับว่ากลัวลมยามค่ำคืนจึงสวมหมวกอีกครั้ง ภายใต้แสงไฟส่องนั้นกลับมองใบหน้าไม่ชัดเจน

เขานั่งอยู่ข้างกองไฟ ในมือก็ถือกิ่งไม้กิ่งหนึ่งเขี่ยกองไฟไปมา

เด็กหนุ่มรักสนุกรู้จักอันตรายที่ไหนกัน…

นายเฉินสี่ส่ายหน้า มองไปทางพ่อบ้านเฉา

“หากมิใช่ชายฉกรรจ์กลุ่มนั้นตามมาทัน ครั้งนี้เราก็เสี่ยงอันตรายจริงๆ” เขากล่าว

พ่อบ้านเฉาถูกหมาป่าข่วนที่แขน ตอนนี้พันด้วยผ้าพันแผลแล้ว เขาพยักหน้าเล็กน้อย

พูดถึงเรื่องนี้ ทุกคนต่างก็มองไป ข้างกองไฟอีกกองนั้น มีกลุ่มชายฉกรรจ์ที่จู่ๆ ก็มากลางดึกดั่งสายฝนที่มาทันเวลานั้นนั่งอยู่

“พวกเขา มาทำอะไรหรือ” เด็กหนุ่มก็มองไปเช่นกัน แล้วเอ่ยถามขึ้น

“เห็นว่า มารักษาโรค” นายสี่เฉินกล่าว

“รักษาโรคหรือ” เด็กหนุ่มน้ำเสียงตกใจ มองดูนายเฉินสี่สักครู่ แล้วมองคนทางนั้น สุดท้ายสายตาก็ไปหยุดอยู่ที่หญิงสาวที่ห่อด้วยเสื้อคลุมสวมหมวกมองไม่เห็นใบหน้าเหมือนกับตนผู้นั้น

เฉิงเจียวเหนียงกำลังดูสาวใช้ทำแผลให้จินเกอร์อยู่ เด็กน้อยเมื่อครู่ถูกหมาป่ากัดที่ขา อย่างไรเสียอายุก็ยังน้อย คราบน้ำมูกน้ำตายังอยู่บนใบหน้า

สาวใช้ทำแผลให้เขาไปพลาง ชื่นชมเขาไปพลาง ชายหนุ่มสองคนข้างๆ ก็ตบบ่าของเขาชมว่าเขาเป็นวีรบุรุษหนุ่ม ในอนาคตต้องไม่ธรรมดาเป็นแน่

จินเกอร์โตมาจนป่านนี้เจอเหตุการณ์ที่เสี่ยงอันตรายที่สุดก็คือเจอหมาดุสองสามตัวในตรอกเท่านั้น ตอนนี้กลับต้องมาสู้รบกับฝูงหมาป่ายามค่ำคืน หลังจากผ่านพ้นความหวาดกลัวไปแล้ว ก็รู้สึกตื่นเต้นเร้าใจยิ่งนัก ทุกคนพูดจนตนยิ้มกว้างออกมา คิดเอาเองว่าผ่านการต่อสู้ครั้งนี้แล้วกลับไปก็เป็นชายชาตรีแน่แล้ว

“ฟื้นฟูได้ไม่เลว” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว แล้วหันหน้าไปมองชายหนุ่มที่ถูกชายหนุ่มสามสี่คนพยุงลงมาจากรถม้าข้างๆ คันหนึ่ง

ไม่พบกันไม่กี่วัน ผู้ป่วยนี้ไม่ใช่สภาพใกล้ตายเหมือนตอนแรกแล้ว

เหมือนกับชายฉกรรจ์คนอื่นๆ ผู้ป่วยคนนี้ยืนขึ้นมาก็ตัวสูงใหญ่เช่นกัน เมื่อเทียบกับตอนก่อนป่วย ก็ร่างกายกำยำเช่นกัน ตอนนี้หนวดเครารุงรัง สีหน้าซีดเหลือง แต่ดวงตากลับเป็นประกายอย่างมาก

“เพราะมือหมอเทวดาอย่างนายหญิงขอรับ” เขากล่าวพลางหัวเราะ เสียงแหบพร่า ร่างกายอ่อนแรง

“นายหญิงขอรับ ท่านว่าน้องสามเรายังต้องกินยาอะไรอีกหรือขอรับ” คนข้างๆ เอ่ยถามอย่างรีบร้อน

“ไม่ต้องแล้ว” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว แล้วละสายตาไม่มองดูคนพวกนี้แล้ว แต่จ้องไปที่กองไฟนี้ “กินเนื้อดื่มเหล้าบำรุงสักหน่อยก็พอแล้ว”

ชายหนุ่มหัวเราะออกมา

“ดี ดี การรักษาเช่นนี้ข้าชอบยิ่งนัก” เขายิ้มกล่าว แต่ก็มีความเสียดายแฝงอยู่ “ไม่ได้แตะเนื้อกับเหล้ามาหลายวัน ข้าอึดอัดจะแย่อยู่แล้ว อยากจะกินเนื้อดื่มเหล้าคำใหญ่ๆ เสียเดี๋ยวนี้เลย”

เฉิงเจียวเหนียงหันหน้าไปมองดูเขาสักครู่

“เหล้าที่นี่ ข้นกว่าน้ำเพียงเล็กน้อย จะเป็นอะไรไป ดื่มให้สะใจเถิด” นางกล่าว ใช้ไม้ติดไฟในมือชี้ไป “ทางนั้นมีเนื้อไม่ใช่หรือ”

ทางนั้นหรือ

กลุ่มชายฉกรรจ์มองไป เห็นข้างทางนั้นมีม้าที่ถูกหมาป่ากัดแล้วตายไปเพราะช่วยไม่ทันล้มนอนอยู่

ทางนี้ร้องโหวกเหวกโวยวายกระโดดโลดเต้นจนทุกคนมองมา

“พวกเขาทำไรกัน”

“กินเนื้อ กินเนื้อ” ทางนี้ตะโกนตอบ ไม่ช้าก็ถือมีดไปกรีดเนื้อม้าที่ตายไป

เสียดายที่ม้าตายมีไม่มากนัก แต่ทว่าคนอื่นๆ ก็ไม่ได้อยากกินสักเท่าไร ก็ถือว่าเป็นความโชคดีในความโชคร้าย

“กินเนื้อม้าหรือ”

“รสชาติแย่เกินไปแล้วกระมัง”

กลุ่มชายฉกรรจ์ที่สุมไฟเริ่มย่างเนื้อม้ากันหัวเราะเสียงดัง

“เกิดในแวดล้อมที่ร่ำรวยสูงศักดิ์อย่างพวกท่าน จะไปรู้รสชาติอันเอร็ดอร่อยของเนื้อม้านี้ได้อย่างไร หากอยู่ที่ทางเมืองตะวันตกเฉียงเหนือ ไม่ตกมาถึงพวกข้าได้กินกันหรอก”

นายเฉินสี่ส่ายหัวแล้วละสายตามา

“คนพวกนี้น่าจะเป็นทหารหนีทัพจากเมืองทางตะวันตกเฉียงเหนือขอรับ” พ่อบ้านเฉากล่าวเสียงแผ่วเบา

ทหารหนีทัพหรือ นายเฉินสี่ยิ่งไม่อยากสนใจ

“ทหารใต้บัญชาของหวังปู้ถังมีแต่พวกปอดแหกพวกนี้ ไม่แพ้สงครามสิแปลก” เขากล่าว

เด็กหนุ่มที่อยู่ข้างๆ มองเขาสักครู่ ไม่ได้พูดอะไร แล้วละสายตาหันไปมองทางนั้น

“เนื้อม้าหรือ” เขาเอ่ยถาม คล้ายว่าจะเกิดความอยากรู้ “อร่อยหรือไม่”

“ไม่อร่อยขอรับ ท่านชาย” ผู้ติดตามข้างกายกล่าว “เหม็นมากขอรับ”

เด็กหนุ่มร้อง ‘อ้อ’ ไม่ถามอะไรต่อ แต่ยังคงมองทางนั้นอยู่

“อย่างนั้นก็ให้พวกเขาออกไปกินที่อื่น เฝ้านายหญิงไว้อย่างนั้นไม่เหมาะยิ่งนัก” นายเฉินสี่กล่าว

พ่อบ้านเฉาเหมือนว่าจะไม่ได้ยิน ตาก็มองอย่างใส่ใจ

หากจะไล่ชายฉกรรจ์พวกนี้ไป ยังต้องรอพวกเขาเอ่ยปากอีกหรือ หญิงผู้นั้นยังมีคำพูดขัดหูอะไรที่ไม่กล้าพูดอีก มีเรื่องน่าเกลียดอะไรที่ไม่กล้าทำอีก

ไม่ต้องสนใจ ให้นางทำไป ตามใจนางไป ปล่อยนางไป

พ่อบ้านเฉาจำคำพูดท่านชายฉินไว้อย่างแม่นยำ

นายเฉินสี่ยังไม่ได้เข้าไปพูด ทางนั้นก็มีคนวิ่งเข้ามาแล้ว

“นายท่านท่านนี้ นายหญิงบอกว่า ท่านมีเหล้า ให้พวกข้ายืมดื่มหน่อยได้หรือไม่” ชายฉกรรจ์สองคนฉีกยิ้มเอ่ยถาม

ถึงขนาดนายหญิงบอกแล้ว เขาจะพูดอะไรได้อีก

“มิกล้า สมควรทำอยู่แล้ว ขอบคุณที่ช่วยไว้ จะกล้าเรียกยืมได้อย่างไร” นายเฉินสี่อมยิ้มกล่าว ยกมือส่งสัญญาณให้ผู้ติดตามไปเอาเหล้าที่ตนใช้ขับไล่ความหนาวยามค่ำคืนบนรถม้ามาสองสามไห “เทเหล้าให้เหล่าชายชาตรี ได้ดื่มกันทุกคน”

ในค่ายค้างแรมเริ่มคึกคักขึ้น ถึงขนาดกับมีคนมาขอแบ่งเนื้อม้าไปกิน หนึ่งในนั้นก็มีเด็กหนุ่มผู้นั้นด้วย

แน่นอนว่า เขากัดไปคำเดียวก็คายลงบนพื้น

“ไม่อร่อยจริงด้วย” เขากล่าว จากนั้นก็เหมือนว่านึกเรื่องน่าขันอะไรขึ้นได้ เนื้อตัวสั่นเทาเล็กน้อย มองดูพ่อบ้านเฉาและนายเฉินสี่ข้างๆ “นี่ นี่ หากตอนนี้ข้าพูดคำว่า ‘เหตุใดไม่กินเนื้อบดเล่า ’ จะยิ่งน่าขันไปใหญ่ใช่หรือไม่”

อะไรเหลวไหลวุ่นวายไปหมด

คนผู้นี้คงจะป่วยละสิ

นายเฉินสี่และพ่อบ้านเฉาขมวดคิ้ว

“น่าขบขันเพียงนี้ พวกท่านฟังไม่ออกหรือ” เด็กหนุ่มกลับกลายเป็นว่าไม่พอใจไปอีก กล่าวพลางส่ายหัว

นายเฉินสี่และพ่อบ้านเฉายิ้มแห้งๆ อยู่สองสามที

“ข้าไปดูเสียหน่อยว่าเสียม้าไปเท่าไร” นายเฉินสี่กล่าว แล้วลุกเดินออกไป

พ่อบ้านเฉาแน่นอนว่าไม่ยอมอยู่คนเดียวเป็นแน่ ก็หาข้ออ้างลุกไปเช่นกัน

ข้างกองไฟนั้นเหลือเพียงเด็กหนุ่มและผู้ติดตาม

ใต้แสงไฟที่ส่ายไปมา มุมปากของเด็กหนุ่มที่ยกขึ้นค่อยๆ ตกลงมา มีอารมณ์พูดเล่นอีกที่ไหนกัน ในแสงกระพริบท่ามกลางความมืดมิดนั้นเงาด้านข้างดูเคร่งขรึม ความคึกครื้นรอบกายนั้นคล้ายว่าจะถูกปิดกั้นไว้ จนกระทั่งเสียงหัวเราะดังลั่นลอยมา

“เงียบหน่อย เงียบหน่อย น้องสามข้าจะร้องเพลงแล้ว!”

ร้องเพลงหรือ คนที่พูดจาหยอกล้อดื่มเหล้ากันอยู่ต่างก็มองมา

ชายหนุ่มที่นั่งพิงเพิงไม้อยู่ฉีกยิ้มออกมา เคราบนใบหน้าดูรกรุงรัง

“วันนี้อารมณ์ดี! อารมณ์ดี!” เขากล่าว ในมือกอดเหล้าไว้ไหหนึ่ง ใบหน้าที่เดิมทีซีดเหลืองถูกกระตุ้นด้วยเหล้าจนแดงก่ำ ดวงตาทั้งสองก็มีอาการมึนเมา “พวกข้าเป็นคนหยาบ พูดจาไม่เก่ง พวกข้าพูดไม่เก่ง พวกข้า ร้องเพลงแล้วกัน!”

ทุกคนหัวเราะขึ้นมาเสียงกึกก้อง ไม่เคยเจอชายฉกรรจ์ที่พูดไม่เก่ง แต่ร้องเพลงได้เลย ทุกคนต่างก็โห่ร้องยุยงกัน

“พี่สามของเราเป็นปัญญาชนเชียวนะ!” ชายฉกรรจ์สองสามคนตะโกนกล่าว แฝงไปด้วยความได้ใจ “ท่องกลอนโต้ตอบได้นะ!”

ปัญญาชนหรือ ท่องกลอนโต้ตอบหรือ ทุกคนยิ่งหัวเราะกันหนักขึ้น ปัญญาชนเช่นนี้น้อยนักที่จะได้พบเห็น

ชายหนุ่มไม่ได้ใส่ใจ หัวเราะเสียงดัง

“…ความสัมพันธ์พี่น้อง…” จู่ๆ เขาก็อ้าปากร้องออกมา

อย่าเรียกร้องเพลงเลย เรียกแผดเสียงจะดีเสียกว่า เนื่องจากเจ็บป่วยร่างกายอ่อนแอ น้ำเสียงแหบพร่า ฟังแล้วได้อารมณ์ความรู้สึกอีกอย่างหนึ่ง

ร้องจริงหรือ ทุกคนค่อยๆ เงียบลง

“…ยอมเสียสละเพื่อกัน…”

เหมือนว่าจะไม่เป็นทำนองเพลง แต่การแผดเสียงออกมาเช่นนี้ อีกยังเป็นบรรยากาศค่ำคืนเช่นนี้ ฟังแล้วได้อารมณ์ยิ่งนัก

“…ต่อหน้าความเป็นตาย… น้ำใจสูงเสียดฟ้า…”

เด็กหนุ่มทางนี้หันหน้ามา

“ดูเหมือนจะเคยเรียนหนังสือจริงๆ” เขากล่าว

ผู้ติดตามไม่ได้พูดอะไร มองไปเช่นกัน

เห็นชายหนุ่มผู้นั้นเหมือนไม่รู้จะร้องอะไรแล้ว เกาหัวเล็กน้อย ทันใดนั้นก็มองไปทางสาวงามที่นั่งอยู่ข้างกองไฟ

“…โอ้แม่สาวงาม ยิ้มให้แก่ข้า…”

สาวใช้จ้องตาเขม็ง ลุกขึ้นมาในทันใด

เด็กหนุ่มหัวเราะออกมา

“ยังเป็นปัญญาชนที่เสเพลอีก จะยั่วนายหญิงน้อยร้องไห้แล้ว สนุก สนุกเสียจริง” เขากล่าว

หากอยู่ในเวลาอื่น ร้องคำพูดที่เย้าหยอกนายหญิงน้อยออกมาเช่นนี้ จะต้องถูกเหล่าชายหนุ่มโห่ร้องแล้ว

แต่ที่แปลกคือ ในที่แห่งนั้นกลับเงียบสงัด จนทำให้กลุ่มชายฉกรรจ์พวกนั้นที่ฉีกยิ้มเตรียมส่งเสียงหัวเราะออกมาก็ทำเพียงฉีกยิ้มมิได้ส่งเสียงใด

ถึงแม้นายสี่เฉินและพ่อบ้านเฉาไม่ได้บอกอะไร แต่เดินทางมาไกลเป็นพันลี้เพื่อนายหญิงผู้นี้ ความสำคัญนั้นไม่ต้องบอกก็เข้าใจได้

นายหญิงที่ทำให้เหล่าเจ้านายของตนต้องขอร้องให้ช่วย ผู้ติดตามอย่างพวกเขา จะกล้าหัวเราะคึกคะนองได้อย่างไร

“ล่วงเกินผู้มีพระคุณแล้ว” พี่ใหญ่ขมวดคิ้วกล่าวขึ้น

นายหญิงผู้นี้ดูก็รู้ว่าเป็นบุตรสาวของบ้านตระกูลสูงศักดิ์ คนที่ไม่เกี่ยวข้องมองมากหน่อยก็จะโดนตี ไม่ต้องพูดถึงใช้คำพูดเย้าหยอกเช่นนี้เลย ถึงแม้เขารู้ว่าน้องชายของตนไม่ได้ตั้งใจจะเย้าหยอก แต่คนพูดไม่ตั้งใจ คนฟังกลับใส่ใจ

ชายหนุ่มนั้นไม่รู้ว่าเพราะไม่รู้จะร้องอะไรแล้วหรือว่าไม่สบายใจแล้วเช่นกัน เมื่อร้องประโยคนี้เสร็จก็หยุดร้องไป

“เอาไหเหล้ามาให้ข้า” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว

ท่ามกลางความเงียบงันนั้น ทุกคนต่างก็ได้ยินกันแล้ว

“จะใช้ไหเหล้าทุบหัวเขาแตก” พ่อบ้านเฉามีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น กล่าวกับผู้ติดตามที่อยู่ข้างๆ “นายหญิงผู้นี้ทำเรื่องแบบนี้ได้จริงๆ”

สาวใช้ขานรับแล้วยื่นมือไปคว้าเหล้ามาไหหนึ่ง เฉิงเจียวเหนียงก็ยื่นมือมา

“เขา…” พี่ใหญ่ลุกขึ้นขอโทษ เพิ่งจะเอ่ยปาก เฉิงเจียวเหนียงก็แย่งพูดขึ้นมา

“เอามีดมาให้ข้า” นางกล่าว

พี่ใหญ่ผู้นั้นลุกขึ้นยืนมาพอดี ได้ยินดังนั้นก็ยกมือขึ้นเอามีดของตนส่งให้โดยไม่ลังเล

“นายหญิง น้องชายข้าเขา…” เขากล่าวเสียงแผ่วเบาอีกครั้ง

เฉิงเจียวเหนียงยกมีดขึ้น พลิกมือใช้ด้ามจับเคาะบนไหเหล้า ส่งเสียงทุ้มออกมา

พี่ใหญ่จึงได้หยุดพูด

ด้ามมีดของเฉิงเจียวเหนียงเคาะลงบนไหแต่ละใบติดต่อกัน ไหเหล้าค่อยๆ มีเสียงสูงต่ำใสทุ้มที่แตกต่างกัน ท่ามกลางค่ำคืนที่มืดมิดฟังแล้วรู้สึกประหลาดเล็กน้อย

เด็กหนุ่มส่งเสียงร้อง ‘เอ๊ะ’ ยกหมวกขึ้นเล็กน้อยแล้วมองมา

“เคาะโฝ่ว หรือ” เขากล่าว

“ธรรม…เนียม…สืบ…ทอด…แบก…บน…บ่า” เฉิงเจียวเหนียงร้องอย่างช้าๆ

อย่าเรียกว่าร้องเลย เรียกว่า เสียงของนางแข็งทื่อราบเรียบ นอกจากเสียงที่ยืดยาวแล้ว ไม่มีเสียงขึ้นลงสูงต่ำ

ในที่นั้นเงียบสงบ ทำให้เสียงของเฉิงเจียวเหนียงที่เดิมทีนั้นเบานักกลับได้ยินกันทั้งหมด

“เพื่อ…คนรู้ใจ…ละทิ้งนานา…”

ด้ามมีดเคาะตีไหเหล้า จังหวะก็เชื่องช้าดั่งเสียงของนาง

เฉิงเจียวเหนียงในใจก็ค่อยๆ ฮึกเหิมไปตามเสียงร้องของนาง

คนรู้ใจ เหมือนว่านางก็มีคนรู้ใจเช่นกัน เหมือนว่าก็เพื่อคนรู้ใจแล้วจะละทิ้งได้ทุกอย่างเช่นกัน

แต่ทว่านางนึกไม่ออก นางลืมไปแล้ว ลืมทุกอย่างไม่ว่าจะสิ่งที่ทำให้ร้องไห้หรือหัวเราะ…

“โม…โหโกรธา…ฝืนกฎฟ้า”

นางก้มหน้า นั่งขัดสมาธิบนพื้น หมวกปิดหัวปิดหน้า ค่อยๆ ร้องแบบนี้ไปทีละนิด

มีความทรงจำ มีประสบการณ์ ก็ต้องมีสุขมีทุกข์

หากนางโมโหแล้วจะเป็นเช่นไร

คลื่นความโมโหซัดกลางอก แต่สุดท้ายสีหน้าก็ไร้อารมณ์ ในคอก็ไร้เสียง

นางก็เหมือนกับสัตว์ป่าที่ถูกขังอยู่ในกรง ไม่สิ ยังเทียบไม่ได้กับสัตว์ป่าเลย อยากคำรามยังทำไม่ได้

เสียงเคาะกระเบื้องนั้นต่ำทุ้ม เนื้อเพลงที่ออกมาเป็นคำๆ ทุกคนกลับค่อยๆ จมอยู่ในเสียงนั้น

โดยเฉพาะอย่างยิ่งประโยคที่ว่า ‘โมโหโกรธาฝืนกฎฟ้า’ นี้ ในน้ำเสียงแข็งทื่อแหบพร่าราบเรียบนี้ กลับได้ยินความรู้สึกฮึกเหิมอยู่ในนั้น

มีบางคนกำหมัดไว้แน่น

“ความสัมพันธ์พี่น้อง ยอมเสียสละเพื่อกัน ต่อหน้าความเป็นตาย น้ำใจสูงเสียดฟ้า โอ้แม่สาวงาม ยิ้มให้แก่ข้า”

ชายฉกรรจ์ผู้นั้นจู่ๆ ก็ตอบสนองได้ รีบร้องตามในทันที ร้องซ้ำท่อนของตนเมื่อครู่

“…ธรรมเนียมสืบทอดแบกบนบ่า เพื่อคนรู้ใจละทิ้งนานา โมโหโกรธาฝืนกฎฟ้า” เขาร้องท่อนของเฉิงเจียวเหนียงต่อ

ในเสียงร้องชายหนุ่มนั้นความโชกโชนยิ่งชัดเจน

เมื่อร้องออกมา ทุกคนในที่นั้นต่างก็ส่งเสียงตกใจ เข้ากันไปเสียได้

นายหญิงผู้นี้ คิดไม่ถึงว่าเพียงชั่วเวลาที่ยกมือเคาะอ้าปากร้องนั้น จะสามารถโต้ตอบเพลงที่ชายหนุ่มร้องเหลวไหลได้!

เสียงเคาะตีในมือเฉิงเจียวเหนียงไม่ได้หยุดลง อีกยังเข้ากันกับทำนองของเขา

คนในที่นั้นเข้าใจในที่สุดว่า นายหญิงผู้นี้ ไม่เพียงแต่ไม่โมโห แต่กลับมาสนุกด้วยกันอีก

แต่ไม่มีใครร้องโห่ชื่นชมยินดี เพราะเกรงว่าจะพลาดเสียงของนายหญิงผู้นั้น

“สาวงาม…ผมขาวโพลน… ความหลงใหลไม่เสื่อมครา…”

เฉิงเจียวเหนียงร้องอย่างเชื่องช้า ยังคงแข็งทื่อไม่มีสูงต่ำ แต่มีเสียงเคาะตีขึ้นลงคอยช่วย ให้อารมณ์ที่แปลกใหม่

เสียงหญิงสาว เสียงเคาะกระเบื้องจืดชืด ฟังเข้าไปในหู กลับเหมือนผ่านเรื่องราวมาโชกโชน

คนร้องชีวิตโชกโชน คนเคาะชีวิตโชกโชน หรือเนื้อเพลงมีเรื่องราวโชกโชนกันแน่

“ถามวีรบุรุษ…เรื่องใด…ยากจะสำเร็จ…”

ถามวีรบุรุษเรื่องใดยากจะสำเร็จหรือ

เรื่องใดยากจะสำเร็จ! เรื่องใดยากจะสำเร็จ!

เนื้อเพลงประโยคนี้ลอยเข้าหูคนที่อยู่ ณ ที่นั้น ในใจก็รู้สึกเศร้าซึมขึ้นมาทันใด

เรื่องใดยากจะสำเร็จหรือ เรื่องใดยากจะสำเร็จหรือ

แม่ชราที่บ้านเฝ้ารอตนมีชื่อเสียงและความสำเร็จ…

หญิงสาวเพื่อนเล่นวัยเด็กข้างบ้านชะโงกหน้าเฝ้ารอ…

ตลาดสาเกถนนทางตะวันออกยังไม่เคยได้ไป…

กิจการทางตะวันตกยังไม่ได้ดั่งใจหวัง…

บุญคุณพ่อแม่ ความรักชายหญิง ความภักดี ความกตัญญู ความเมตตา ความกรุณา และชื่อเสียง…

เสียงเคาะตีดังอยู่เนืองๆ พี่สามที่เป็นคนเริ่มร้องก็เหม่อลอยไปเช่นกัน

“หัวเราะชีวิตคนที่ผ่านมาแล้วผ่านไป ความว่างเปล่าก็ยังเป็นความว่างเปล่า!” เขาคำรามเสียงดังขึ้นมากระทันหัน

“เรื่องราวเพียงพริบตา ขอท่านอย่าเศร้าใจ…” เฉิงเจียวเหนียงกล่าวต่อ “…บุตรสาวแยกหนีหาย… ความฝันสิ้นมลาย…”

เรื่องราวเพียงพริบตา ขอท่านอย่าเศร้าใจ บุตรสาวแยกหนีหาย ความฝันสิ้นมลาย

คนในที่นั้นเหม่อลอยไปอีกครั้ง

ไม่เป็นไร ถึงแม้ไม่รู้ว่าตนเป็นใคร ถึงแม้จะรั้งอะไรไว้ไม่ได้ จะทำอะไรไม่ได้

ไม่เป็นไร นางยังคงเดินมาถึงตอนนี้ได้ ถึงแม้หนทางไม่ราบเรียบ

ไม่เป็นไร ไม่ต้องเศร้าใจ นางเดินได้แล้ว ขยับได้แล้ว คิดได้แล้ว ได้อะไรมาสูญเสียอะไรไป มาๆ ไปๆ เรื่องราวก็เพียงชั่วพริบตา ขอเพียงนางยังอยู่ ทุกอย่างก็ไม่มลายหายไป

เฉิงเจียวเหนียงยกมีดในมือขึ้น เคาะไปที่ไหเหล้าอย่างแรงจนไหคว่ำลง เหล้าในไหหกราดออกมา จนลูกไฟกระเด็นลุกขึ้น

แล้วเพลงก็จบลง

“สบายใจ” เฉิงเจียวเหนียงพูดออกมาสองคำด้วยน้ำเสียงแข็งทื่อ แล้วงอด้ามมีดในมือลงยื่นออกมา

“สบายใจ!” พี่สามที่รวบรวมสติได้ส่งเสียงหัวเราะ คว้าไหเหล้าที่วางอยู่ข้างๆ เงยหน้าดื่มเหล้าอย่างสบายใจ

สบายใจ! นายสี่เฉินสีหน้าตื่นเต้นดีใจยากจะปกปิด หยิบกาเหล้าของตนยกขึ้นดื่ม

สบายใจ! พ่อบ้านเฉาไม่ได้ร่วมดื่มเหล้าด้วย เวลานี้ตื่นเต้นดีใจจนทนไม่ไหว จึงหยิบขนมแกล้มน้ำชาที่เหน็บไว้ที่เอวออกมาใส่ในปาก ดื่มชาแทนเหล้า

สบายใจ! คนอื่นๆ ต่างก็ตะโกนอยู่ในใจ ต่างคนต่างก็หยิบถ้วยเหล้าของตนยกขึ้นดื่มจนหมด แล้วโยนถ้วยลงพื้น

เสียงเคาะโฝ่วลอยข้างหู เสียงเพลงแหบพร่าแข็งทื่อของชายหญิงยังวนเวียน เสียงกองไฟคบไฟยามค่ำคืน กลับมีความโศกเศร้าดั่งหลังการสู้รบศึกสงครามมา

“ก็แค่ ฆ่าหมาป่าไม่กี่ตัวเท่านั้น ต้องทำดั่ง ‘ลมพัดโชยสายน้ำอี้หนาวเหน็บ ’ เพียงนี้เชียวหรือ…” เด็กหนุ่มนั่งอยู่ข้างกองไฟ กล่าวอย่างช้าๆ เหมือนว่าจะพูดกับทุกคน แต่ก็เหมือนกับพูดกับตนเอง

……………………………………………………