ตอนที่ 52 เข้าวังอย่างหยิ่งผยอง

ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ

จากเวลานั้นถึงเวลานี้ ซวนหยวนหลี่เทียนถูกถอนหมั้นเป็นเวลาเกือบครึ่งเดือนได้  ในราชวังยังคงนิ่ง ทุกคนทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ก็ไม่ได้หาเรื่องอะไรกับตระกูลมู่

พวกเขาดูเหมือนเลือกที่จะลืมความทรงจำ ถึงอย่างไรมู่เฉียนซียังมีอีกหนึ่งแค้นที่ต้องชำระ ต้องไปชำระแค้นกับราชวงศ์

ผู้นำตระกูลมู่เลือกที่จะไปงานเลี้ยงเย็นในวันเทศกาลจื่อหยวน ปรากฏว่าท่านผู้เฒ่าทั้งหลายต่างป่วยไม่ยอมไปกัน

ใช้นิ้วเท้าคิด ๆ ดูก็รู้แล้วว่าท่านผู้นำของพวกเขาเข้าไปในวังครั้งนี้ ไม่ใช่เรื่องง่ายแน่ ๆ เพราะตอนนั้นไปปฏิบัติกับหลี่อ๋องแบบนั้น ทำให้ราชวงศ์อับอายขายหน้า

แม้ช่วงครึ่งเดือนที่ผ่านมาราชวงศ์จะไม่มีปากเสียงใด ๆ  แต่ก็ไม่ได้แปลว่าพวกเขาจะปล่อยเรื่องเลยตามเลย

ผู้นำตระกูลมู่เข้าวังในครั้งนี้ นับว่าอันตรายมากกว่าเป็นเรื่องดี พวกเขาไม่อยากจะพลอยซวยรับเคราะห์กับท่านผู้นำไปด้วย

มู่เฉียนซีทำการตัดสินใจได้ไม่นาน ก็มีเสียงเคลื่อนไหวดังมาจากนอกประตู  นางหยุดการบ่มเพาะ เดินออกมา มองชายหนุ่มชุดขาว ผิวพรรณคล้ายหยกก็ไม่ปาน

“ท่านอาสาม ท่านมาได้อย่างไร ?”

ผ่านการบำรุงจากนางมาครึ่งเดือน หน้าตามู่อวู่ซวงก็เริ่มมีสีเลือดขึ้น ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่ขาวซีด หน้าตาของเขานับวันยิ่งดูมีเสน่ห์มากขึ้น  แต่เพิ่งจะดีขึ้นเล็กน้อยเท่านั้น ยังไม่พอ

ดวงตาสองข้างของอาเล็ก อีกทั้งขาทั้งสอง นางต้องรีบรักษาให้ท่านหาย

“ได้ยินว่าซีเอ๋อร์สนใจงานเลี้ยงเย็นจื่อหยวน ให้อาเล็กไปเป็นเพื่อนไหม ?”

เสียงของมู่อวู่ซวงช่างไพเราะ ผู้ใดได้ฟังจะรู้สึกเหมือนสายลมแผ่วเบานุ่มนวลพัดผ่าน สายตาที่อ่อนโยนคู่นั้นทำให้คนแทบละลายมานักต่อนัก

มู่เฉียนซีขมวดคิ้วมองดูผู้เป็นอา “ท่านอาเล็ก ตอนนี้ท่านยังเป็นคนป่วยอยู่นะ ข้าว่าอยู่บ้านดูแลรักษาอาการป่วยก็ดีแล้ว เกี่ยวกับเรื่องอื่น ๆ ท่านไม่ต้องเป็นกังวลเลย ในเมื่อข้าตัดสินใจเข้าวังแล้วก็ต้องทำ จากนั้นก็ต้องมั่นใจว่าไม่มีใครสามารถกลั่นแกล้งหลานสาวของท่านได้”

มู่อวู่ซวงกล่าวด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น “ดูแล้วอาเล็กของเจ้าจะยุ่งมากไป”

“ไม่เลย  ท่านอาเล็ก อากาศเริ่มเย็นแล้ว ข้าส่งท่านไปที่พักเรือนอวู่โยวดีกว่า ข้าจะนำยาสูตรใหม่ให้กับท่าน ท่านอย่าลืมกินล่ะ” มู่เฉียนซีจับรถเข็น ค่อย ๆ ดันไปข้างหน้า

โลกใบใหม่ที่ไม่คุ้นเคย ครอบครัวตระกูลใหญ่ที่ดูว่างเปล่า เพียงแค่อยู่ใกล้อาเล็ก ก็ทำให้นางได้สัมผัสถึงความอบอุ่นอย่างที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน ดังนั้นท่านอาเล็กจะต้องหายไว ๆ

คุณชายผู้ไร้เทียมทานอันดับหนึ่ง ยามอยู่ต่อหน้ามู่เฉียนซีกลับกลายเป็นเด็กน้อยเชื่อฟังว่าง่าย ไม่ว่ามู่เฉียนซีจะพูดอะไรต้องการสิ่งใด เขาก็ทำตามนั้น

งานจื่อหยวนยามเย็นใกล้เข้ามาแล้ว มู่เฉียนซีสวมชุดประจำตำแหน่งผู้นำตระกูลมู่อันหรูหราเตรียมไปงาน  อาภรณ์ในครั้งนี้ มีกระโปรงยาวสีม่วงเข้มเนื้อผ้าหนาดูหนักอึ้ง เข็มขัดหยกรัดรอบเอว ทำให้เห็นเอวโค้งคอดอันสวยงามของนาง

ท่านผู้เฒ่าทั้งหลายต่างหยุดงาน มู่เฉียนซีได้แต่ไปในวังคนเดียว

“หยุดรถเสีย ที่มานั่นเป็นใครกัน ?”

มาถึงประตูวังแล้ว องครักษ์ขัดขวางขบวนรถของมู่เฉียนซี

มู่เฉียนซีเปิดผ้าม่านรถ บอกกล่าวไป น้ำเสียงยโสโอหัง “รถม้าของข้าผู้นำตระกูลมู่พวกเจ้ายังกล้าขวาง ไม่ใคร่จะมีชีวิตกันแล้วใช่ไหม ?”

หัวหน้าองครักษ์กล่าว รอยยิ้มประหลาดเผยบนใบหน้า

“ท่านผู้นำตระกูลมู่ แคว้นจื่อเยี่ยของพวกข้า ถ้าเป็นท่านผู้นำอายุน้อยเช่นเจ้า เรามิเคยพบเจอ  ท่านผู้นำตระกูลมู่หาใช่มิเคยเข้าวังหาหลี่อ๋อง พวกข้าเคยเจอมาแล้วหลายครั้ง ไม่ใช่เจ้าแน่นอน”

“ปล่อยนางเข้ามา  หญิงนางนี้ปลอมตัวเป็นท่านผู้นำตระกูลมู่เพื่อทำร้ายฮ่องเต้ นำตัวนางมาให้ข้า”

ยังไม่ทันได้ทำอะไรเลยก็ถูกใส่ความเข้าให้แล้ว รถม้าของตระกูลมู่สีทองอร่ามแบบนี้ ทั้งแคว้นจื่อยังจำกันไม่ได้ ช่างน่าขันนัก

มู่เฉียนซีพลันเข้าใจ มีคนต้องการสร้างความยากลำบากให้นางก่อนที่นางจะเข้าวัง ไม่เช่นนั้น แม้รูปลักษณ์ของนางจะเปลี่ยนแปลงไปมาก ทำให้คนจำกันไม่ได้ แต่องครักษ์ที่รักษาการณ์ในวังคงไม่พูดให้ลงมือแล้วลงมือจริง ๆ

มู่เฉียนซียกยิ้มมุมปากอย่างเยือกเย็น ลงมือก็ลงมือสิ ใครกลัว ?

“องครักษ์เงา ลงมือเลย นำพวกที่วัน ๆ ไม่ทำอะไร ได้แต่กินอย่างเดียวเสียดายข้าวสุก แล้วยังกล้าลงมือกับข้า ทุบตีมันผู้นั้นให้หมอบไปเลย”

ทันใดนั้น ร่างสีดำประหนึ่งอสุรกายหลายร่างปรากฏตัวอยู่ข้างกายมู่เฉียนซี

ถูกฝึกอย่างหนักมาสิบกว่าวัน ดื่มน้ำยาเหย้าจี้แทนน้ำทุกวัน กินเม็ดยาแทบจะแทนข้าว  แน่นอน ความสามารถย่อมพุ่งทะลุอย่างบ้าคลั่ง ครานี้ถือว่าได้มีโอกาสแสดงฝีมือแล้ว

— ปัง! —

— ตุบ! —

— พลั่ก!–

องครักษ์รักษาการณ์ในวังปะทะกับองครักษ์เงาตระกูลมู่ แต่ตั้งรับกระบวนท่าไม่ไหว

“อ๊ากกกก!”

แต่ละคนร้องโหยหวน สภาพเหมือนกระสอบทรายรอแต่โดนอัดด้วยสารพัดกระบวนท่าก็ไม่ปาน สุดท้ายโดนองครักษ์เงาโยนทิ้งออกไป

แข็งแกร่งมาก!  เมื่อก่อนเคยได้ยินว่าท่านผู้นำตระกูลมู่คนก่อน มอบองครักษ์เงาอันแข็งแกร่งของตระกูลมู่ให้กับมู่อวู่ซวง แต่พวกเขาไม่คาดคิดว่าพวกองครักษ์เงาจะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้

จอมภูตขั้นสูง จอมยุทธ์ขั้นสูง องครักษ์อันแข็งแกร่งเช่นนี้ ผู้ใดเล่าจะขัดขวางท่านผู้นำตระกูลมู่ได้

“พรวด!” องครักษ์เงาแค่ตีเบา ๆ ก็ทำให้คนกลุ่มนี้กระอักเลือดกบปากคำโต

หัวหน้าองครักษ์รักษาการณ์ในวังสุดโมโห “ท่านผู้นำตระกูลมู่กล้าใช้กำลังรุนแรงหน้าประตูพระราชวัง ท่านมีความผิดอันใหญ่หลวง”

มู่เฉียนซีมองเขาด้วยรอยยิ้ม กล่าวขึ้น “เหวย ๆ ๆ มาตอนนี้เจ้ากลับจำข้าในฐานะท่านผู้นำได้แล้วรึ ? ตอนนี้สายไปแล้ว ตีต่อไปเลยองครักษ์เงา”

มีคนชนชั้นสูงหลายคนทยอยมา ถนนด้านหน้าติดขัด พวกเขาจึงเข้ามามุงดูเหตุการณ์

รถม้าของมู่เฉียนซีหรูหราอลังการโดดเด่นเห็นชัดเต็มสองตา เพียงมองก็จำได้ว่าเป็นรถม้าของตระกูลมู่

“นั่นไม่ใช่รถม้าท่านผู้นำตระกูลมู่หรอกหรือ ?  องครักษ์ของนางกับองครักษ์รักษาวังตีกันแล้ว”

“ช่างกล้าแกร่งนัก  ลงมือกันหน้าประตูวัง ท่านผู้นำตระกูลมู่ช่างเป็นแบบอย่างของข้ายิ่งนัก”

“ตั้งแต่ก่อตั้งแคว้นจื่อเยี่ยมาหลายร้อยปี นี่เป็นครั้งแรกที่อยู่หน้าประตูวัง แล้วมีคนกล้าลงมือกับองครักษ์รักษาวัง”

ตอนนี้เอง มีรถม้าวิ่งเข้ามาคันหนึ่ง เสียงทุ้มต่ำลอยออกมา “เกิดเรื่องอะไรกันขึ้น ?”

“เป็นหลี่อ๋องเสด็จมา” ใครบางคนเอ่ย

สิ้นเสียงใครคนนั้น ผู้คนต่างหลีกทางให้กับหลี่อ๋อง เรื่องราวต่อไปนั้นก็คงไม่ต้องให้พวกเขาพูด หลี่อ๋องคงจะทราบว่าเกิดอะไรขึ้น

“ตระกูลมู่” ซวนหยวนหลี่เทียนกัดฟันพูดออกมา

ต่อมา เสียงมีน้ำโหกล่าวขึ้น “มู่เฉียนซี! ที่นี่เป็นพระราชวัง ไม่ใช่บ้านตระกูลมู่ของพวกเจ้า ไม่ใช่สถานที่ที่พวกเจ้าจะมาทำตามอำเภอใจได้”

เสียงอันโอหังดังเล็ดลอดมาจากรถม้าอันหรูหรา “หลี่อ๋อง ข้า ผู้นำตระกูลมู่รู้ดีว่าที่นี่ไม่ใช่บ้านตระกูลมู่ ไม่เห็นหรือว่าองครักษ์ของข้าดูอ่อนโยนมากแค่ไหน ? ไม่อย่างนั้นพวกเขา องครักษ์รักษาการณ์คงเลือดสาดไปนานแล้ว”

พวกองครักษ์รักษาการณ์ในวังที่ถูกตีจนเกือบตายได้ฟังก็แทบกระอักเลือดออกมา นี่น่ะรึเรียกว่าอ่อนโยน อ่อนโยนกับผีนะสิ!

ทุกคนต่างตะลึงตาค้าง ยามได้ยินข่าวว่ามู่เฉียนซีกับหลี่อ๋องยกเลิกการหมั้นหมายกัน พวกเขาคิดว่ามู่เฉียนซีต้องการเปลี่ยนแผนเพื่อดึงดูดความสนใจจากหลี่อ๋อง  เพราะความคะนึงหาอย่างบ้าคลั่งของนาง ไม่ใช่พูดว่าปล่อยวางได้ก็ปล่อยวางได้

แต่ไม่คาดคิดว่าวันนี้มู่เฉียนซีจะพูดจายโสโอหังกับหลี่อ๋อง ดูแล้วนางคงจะเปลี่ยนแปลงไปหมดแล้วจริง ๆ

“กรอด ๆ!”

— กรอด ๆ! —

เสียงกัดฟันระคนเสียงกำหมัดของซวนหยวนหลี่เทียนดังขึ้นต่อ ๆ กัน  ตอนอยู่ที่ตระกูลมู่คราวนั้นก็ทำเขาโมโหครั้งหนึ่งแล้ว แน่นอนเขาทนให้มู่อวู่ซวงปกป้องดูแลหลานสาวคนนี้อย่างไร้กฎเกณฑ์ แต่ตอนนี้อยู่ในพระราชวังอันเป็นสถานที่ตั้งบ้านซวนหยวนของเขา

ให้ตายเถอะ! มู่เฉียนซีผู้นี้ เหตุใดช่างโอหังยิ่งนัก ?!

คนที่นั่งอยู่ข้างกายซวนหยวนหลี่เทียนเป็นหญิงสาวคนหนึ่ง สวมกระโปรงยาวสีเขียวอ่อน ขนคิ้วเรียวเล็ก ดวงตาสวยหวาน ลักษณะท่าทางอ่อนช้อยนุ่มนวล ดูเป็นคนอบอุ่นช่างเอาใจ

นางพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “องค์ชาย ซีเอ๋อร์แต่ไหนแต่ไรมายโสโอหัง แม้ครานี้จะกระทำอุกอาจกำเริบเสิบสาน  แต่ท่านอย่าโมโหไปเลย ข้าว่านางคงมิได้ตั้งใจ”

ซวนหยวนหลี่เทียนระงับอารมณ์ไว้ไม่อยู่ ผนึกรวมพลังวิญญาณของเขาทั้งหมดซัดไปทางรถม้าของมู่เฉียนซีสตรีโอหัง

ทว่าร่างสีม่วงรวดเร็วมาก นางเคลื่อนกายประหนึ่งบินออกมานอกรถม้าในพริบตาเดียว

มู่เฉียนซีกล่าวโดยพลัน “หม่าป๋อ รีบหลบไป!”

.