EP.85 ชิ้นส่วนคัมภีร์หลอมกระดูกมังกร LifeStylePublisher
“มู่มู่!”
ไม่ทันได้อธิบายใดๆ ถังเสี่ยวซีก็กระโจนเข้าใส่อ้อมอกของหลินมู่อวี่
การที่หน้าอกถูกกดด้วยก้อนเนื้อนุ่มนิ่มสองก้อนนั้นเดิมทีควรเป็นความสุขอย่างหนึ่ง แต่อย่างไรเสียบริเวณนั้นมีบาดแผล หลินมู่อวี่จึงร้องออกมาทันที ใบหน้าขาวซีด
“อ๊ะ เจ้าไม่เป็นอะไรใช่ไหม มู่มู่…”
เห็นบาดแผลกระบี่บนหน้าอกของหลินมู่อวี่ ถังเสี่ยวซีองค์หญิงผู้งดงามผู้นี้ก็ระเบิดความโกรธออกมาทันที หันไปมองโอวหยางชิวด้วยสายตาที่เย็นเยียบ “ครูฝึกระดับดาวสีทองผู้นี้เป็นใคร”
ที่ด้านข้าง ผู้ดูแลอาวุโสเหลยหงกล่าวด้วยความเคารพ “ทูลองค์หญิง เขาคือโอวหยางชิว”
โอวหยางชิวเองก็รู้จักสาวงามนางนี้ นางคือหลานสาวคนเดียวของชางหลานกงที่ร่ำลือกัน เขาจึงรีบลุกขึ้นมาคุกเข่าโดยไม่คำนึงบาดแผลของตนเอง แล้วเอ่ยว่า “ถวายบังคมองค์หญิงซีพ่ะย่ะค่ะ!”
“พรึ่บ…”
เปลวไฟสายหนึ่งลอยอ้อยอิ่งอยู่ระหว่างนิ้วที่ขาวราวหิมะทั้งห้าขององค์หญิงซี ทันใดนั้นนางก็เคลื่อนตัวมาอยู่ด้านหน้าของโอวหยางชิว ยกฝ่ามือขึ้นตบหน้าของเขาดัง เพียะ จนเขาลอยกระเด็นล้มลงกับพื้น รอยนิ้วมือทั้งห้าที่ร้อนผ่าวบนใบหน้านั้นถูกถังเสี่ยวซีใช้วิญญาณยุทธ์ตบใส่ ฝ่ามือนี้ไม่ได้ทำให้เขาสลบเหมือดไป ก็นับว่าพลังยุทธ์ของโอวหยางชิวใช้ได้เลยทีเดียว
เหลยหงตัวแข็งอึ้งในทันที “องค์หญิง พระองค์ตบครูฝึกระดับดาวสีทองทำไมพ่ะย่ะค่ะ”
ถังเสี่ยวซีประคองหลินมู่อวี่ แล้วพูดอย่างเย็นชา “เพราะเขารังแกคนของข้ายังไงล่ะ!”
ผู้ดูแลอีกคนที่อยู่ด้านข้างก็คือเจิ้งฟาง เขาโต้กลับ “องค์หญิง เห็นๆ อยู่ว่าบาดแผลของโอวหยางชิวนั้นสาหัสกว่ามาก หลินจื้อเป็นผู้ช่วยฝึกแต่กลับทำร้ายครูฝึก ฝ่าฝืนกฎข้อห้ามของวิหาร ควรขับไล่เขาออกจากวิหารเดี๋ยวนี้!”
ถังเสี่ยวซีหันหน้ามา พูดเน้นชัดคำต่อคำว่า “หลินจื้อเป็นคนของข้าถังเสี่ยวซี คุณชายเจิ้งฟาง ถ้าเจ้ากล้าก็ลองพูดอีกครั้งซิ”
เจิ้งฟางถึงกับพูดไม่ออก
ถึงแม้เจิ้งฟางจะเป็นบุตรชายคนเดียวของเสินโหวเจิ้งอี้ฝาน แต่เพราะในยามปลอดสงครามเจิ้งอี้ฝานจึงไม่มีอำนาจทางทหารอยู่ในมือ แต่เบื้องหลังของถังเสี่ยวซีคือถังหลานปู่ของนาง เจ้าผู้ครองเมืองชีไห่ที่กุมอำนาจทหารจำนวนหลายแสนนาย สถานะและอำนาจในมือของทั้งสองฝ่ายนั้นแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน
“มู่มู่ เจ้าไม่เป็นอะไรนะ” ถังเสี่ยวซีสลัดสีหน้าเย็นชา เผยรอยยิ้มที่หญิงสาวควรจะมี หันไปถามหลินมู่อวี่ที่พิงนางอยู่
ความรู้สึกมากมายประดังประเดเข้ามาหาหลินมู่อวี่ การจากกันที่เมืองหยินซานครั้งนั้น เขารู้ดีว่าฐานะของเขากับถังเสี่ยวซีต่างกัน นางคงจะไม่ได้สนใจเขา แต่ปรากฏว่าเขาคิดผิด ความสุขมาอย่างกะทันหัน ที่แท้ถังเสี่ยวซีก็เป็นห่วงความปลอดภัยของเขา หลินมู่อวี่จึงเอ่ยขึ้น “เสี่ยวซี เมื่อสองวันก่อนข้าไปตามหาเจ้าที่ป่าล่ามังกร แต่หาเจ้าไม่พบ…”
ถังเสี่ยวซีหัวเราะขำ “เจ้าโง่มู่มู่ ป่าล่ามังกรกว้างใหญ่เพียงนั้น เจ้าจะหาข้าพบได้อย่างไร ยังดีที่ตอนนี้เป็นข้าที่ตามหาเจ้าจนพบ ว่ายังไง ข้าเก่งกว่าใช่ไหมล่ะ”
หลินมู่อวี่อดหัวเราะไม่ได้ “อือ องค์หญิงซีเก่งทั้งบุ๋นและบู๊ เป็นอันดับหนึ่งในใต้หล้า!”
ถังเสี่ยวซีถูกชมจนดีใจ “อือ แบบนี้ค่อยยังชั่วหน่อย”
ขณะที่พูด นางก็หันไปชี้โอวหยางชิว “แม้ว่าหลินจื้อจะเป็นเพียงผู้ช่วยฝึก แต่เจ้าจงจำไว้ว่า หลินจื้อคือแขกของจวนเจ้าเมืองชีไห่ ใครก็ห้ามทำร้ายเขา มิเช่นนั้นจะถือว่าเป็นศัตรูกับเมืองชีไห่เช่นกัน”
แล้วนางก็หันกลับไปมองเหลยหง ถังเสี่ยวซีเผยรอยยิ้มที่งดงามสดชื่น “ท่านปู่เหลยหง เหตุใดท่านจึงไม่ควบคุมดูแลครูฝึกระดับดาวสีทองของท่านเสียหน่อยเล่า ท่านดูสิ ผู้ช่วยฝึกเกือบจะถูกซ้อมตายแล้ว เจ็บหนักถึงเพียงนี้ ฆ่ากันชัดๆ”
เหลยหงประสานหมัดลนลาน “องค์หญิงตำหนิถูกต้องแล้ว ต่อไปกระหม่อมจะดูแลจัดการเรื่องนี้ให้ดีที่สุดพ่ะย่ะค่ะ”
ด้านเจิ้งฟางก็กัดฟันพูด “ผู้ดูแลอาวุโส พวกเราวิหารศักดิ์สิทธิ์มีกฎของพวกเรา ไม่จำเป็นต้องยอมให้เมืองชีไห่ถึงเพียงนี้กระมัง”
ถังเสี่ยวซีสีหน้าเย็นเยียบ
ในตอนนี้เอง มีคนผู้หนึ่งในกลุ่มองครักษ์อวี้หลินที่อยู่ทางด้านหลังของนางเดินออกมา เฟิงจี้สิงนั่นเอง เฟิงจี้สิงถืออาวุธพลางแค่นหัวเราะ “ท่านอ๋องน้อย ข้ารู้ว่าโอวหยางชิวคือครูสอนวิชากระบี่ของท่าน เขาคิดจะฆ่าหลินจื้อ ท่านคงปัดความรับผิดชอบไม่พ้นกระมัง”
เจิ้งฟางตะลึง “ผู้บัญชาการเฟิง ท่านมาได้อย่างไร”
“ไม่เพียงแต่ข้านะ”
เฟิงจี้สิงถอยออกเปิดทาง ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนที่ไม่ได้พบกันนานก็ปรากฏตัวขึ้น พร้อมรอยยิ้มที่เหนื่อยหน่ายบนใบหน้า เขาถือกระบี่เหล็กไว้ในมือ “ท่านอ๋องน้อย พวกเราล้วนเป็นสหายของหลินจื้อ หากเขาล่วงเกินอะไรท่านอ๋องน้อยไป ขอท่านได้โปรดอภัย ถือว่าเห็นแก่หน้าพวกข้าก็แล้วกัน!”
“ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยน?!”
เจิ้งฟางเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน “องค์หญิงซีจัดฉากได้สวยงามยอดเยี่ยม ไม่นึกว่าจะเรียกผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์กับองครักษ์อวี้หลินฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนมาด้วย คนหนึ่งองครักษ์ชุดขาว คนหนึ่งองครักษ์อวี้หลิน ฮึ เห็นชัดว่าเพื่อให้ข้าผู้แซ่เจิ้งหมดคำพูดใช่หรือไม่ แต่พวกท่านอย่าลืมเสียล่ะ ว่ากฎหมายจักรวรรดินั้นเข้มงวด ผู้ที่ละเมิดไม่เคยมีจุดจบที่ดี พวกท่านดูแลตัวเองให้ดีก็แล้วกัน!”
“ไม่ต้องให้ท่านกังวลใจหรอก”
ถังเสี่ยวซีพูดเสียงเรียบ “เรื่องของสหายข้า ข้าย่อมแก้ไขได้ เพียงแต่ต่อไปท่านอ๋องน้อยหากลงมือควรรู้จักว่าอะไรควรไม่ควร ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น ถ้าหลินจื้อเป็นอะไรไป ถังเสี่ยวซีจะมิยอมวางมือเด็ดขาด”
“ฮึ…”
เจิ้งฟางสะบัดแขนเสื้อเดินจากไป ด้านโอวหยางชิวลุกขึ้นอย่างขุ่นแค้น เช็ดเลือดที่มุมปากแล้วเดินตามออกไป
เมื่อเห็นพวกเขาเดินออกไปไกลแล้ว ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนจึงเดินขึ้นมาตบบ่าของหลินมู่อวี่อย่างแรง พร้อมหัวเราะเสียงดัง “อาอวี่ เจ้านี่ไม่เบาเลยจริงๆ คิดไม่ถึงว่าจะสามารถข้ามขั้นโค่นโอวหยางชิวผู้แข็งแกร่งขอบเขตนภาลงได้!”
หลินมู่อวี่ลำบากใจที่จะพูดว่าเกือบจะถูกฆ่า เรื่องน่าอายเช่นนี้จะให้พูดออกมาได้อย่างไรเล่า ได้แต่ตอบไปว่า “เฮ้อ เพราะโชคช่วยน่ะ ไม่เช่นนั้นเกรงว่าข้าคงจะถูกเขาอัดเละไปแล้ว”
เหลยหงเดินขึ้นมา “อาอวี่ บาดแผลเจ้าไม่เป็นอะไรใช่ไหม”
หลินมู่อวี่ส่ายหน้า “ไม่เป็นอะไรขอรับ ขอบคุณท่านปู่เหลยหงที่เป็นห่วง”
เหลยหงพยักหน้า จากนั้นก็พูดกับเหล่าครูฝึกและผู้ช่วยฝึกที่มุงดูกันอยู่ “เอาล่ะ ไม่มีอะไรแล้ว พวกเจ้าฝึกเข้าพวกเจ้าไปเถอะ แล้วอย่าลงมือให้หนักกันมากนัก”
กลุ่มคนทยอยกันแยกย้าย แต่มีเรื่องหนึ่งที่ยืนยันได้ ทุกคนเห็นแล้วว่าครูฝึกระดับดาวสีทองโอวหยางชิวถูกหลินมู่อวี่โค่น โอวหยางชิวในฐานะกระบี่มือหนึ่งแห่งวิหารได้เสียตำแหน่งไปแล้วอย่างแน่นอน!
ถังเสี่ยวซีกับหลินมู่อวี่ได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง มีเรื่องที่อยากคุยมากมาย แต่พอเจอหน้ากันเข้าจริงๆ กลับไม่รู้จะพูดอะไรดี องค์หญิงซีที่เด็ดเดี่ยวและกล้าหาญกลับยืนหน้าแดงอยู่ด้านข้าง มองดูหลินมู่อวี่โดยไม่พูดอะไรสักคำ
หลินมู่อวี่มองสีหน้าที่น่ารักของนาง ก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ “เสี่ยวซี หน้าเจ้าแดงเหมือนกับแสงอาทิตย์ยามเช้าเลย…”
ถังเสี่ยวซียิ่งอายหนักกว่าเดิม ทุบกำปั้นใส่เขา “ยังจะพูดอีก ข้าคิดว่าเจ้าตายไปแล้วซะอีก…”
“จะเป็นไปได้ยังไง ข้าตายยากจะตาย!”
เฟิงจี้สิงขี้เกียจฟังสองคนพูดจาหยอกเย้ากันไปมาอยู่ที่นี่ จึงประสานหมัดคำนับแล้วกล่าวว่า “เรื่องก็ได้คลี่คลายลงแล้ว องค์หญิง กระหม่อมสมควรต้องกลับตำหนักเจ๋อเทียน ฝ่าบาทเสด็จกลับไปแล้ว กระหม่อมอยู่ข้างนอกนานเกินไปไม่ได้”
“อือ ขอบคุณท่านมาก พี่เฟิง!” หลินมู่อวี่กล่าว
ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนก็ขอลาไปพร้อมกัน หลินมู่อวี่กับถังเสี่ยวซีเดินไปส่งพวกเขาออกจากวิหารศักดิ์สิทธิ์
ถังเสี่ยวซีให้ทหารองครักษ์ส่วนหนึ่งกลับไปก่อน เหลือไว้เพียงไม่กี่นาย เนื่องจากนางอยากจะเดินเล่นในเมืองกับหลินมู่อวี่ พอตกเย็นก็ไปที่ภัตตาคารชื่อดังแห่งเมืองหลวง—หอสดับพิรุณ พวกเขามีแค่สองคนเท่านั้น แต่กลับสั่งเหล้าข้าวและอาหารอีกมากมายหลายอย่างจนเต็มโต๊ะ มื้อนี้ถังเสี่ยวซีเป็นเจ้ามือ องค์หญิงซีแต่ไหนแต่ไรไม่เคยกังวลเรื่องเงินๆ ทองๆ อยู่แล้ว
หลินมู่อวี่อยู่ในป่าล่ามังกรหิวโหยมาหลายวัน ดังนั้นจึงกินเยอะเป็นธรรมดา ส่วนถังเสี่ยวซีกินอิ่มมาตั้งแต่มื้อกลางวัน นางจึงนั่งยิ้มอยู่ข้างๆ มองเขาเขมือบอาหารลงท้องอย่างมีความสุข
ในที่สุด เมื่อกินจนอิ่มท้องป่องแล้ว หลินมู่อวี่ก็เรอออกมาอย่างพึงพอใจ เขาหัวเราะ “อาหารที่คนอื่นเลี้ยงนี่อร่อยจริงๆ…”
ถังเสี่ยวซีปิดปากหัวเราะ “เจ้าโง่! จริงสิ…จะบอกข่าวดีอะไรให้ เมื่อตอนเที่ยงข้าได้รับสารด่วน อย่างช้าที่สุดพรุ่งนี้ ผู้อาวุโสชวีจะกลับมาถึงเมืองหลันเยี่ยนแล้ว”
“ฮะ อาจารย์ชวีฉู่จะกลับมาแล้วหรือ”
“อือ” ถังเสี่ยวซีพยักหน้า “เจอเขาเมื่อไหร่ ข้าจะให้เขาไปหาเจ้าที่วิหาร แล้วถือโอกาสให้เขาสอนวิทยายุทธ์ให้เจ้าอีก นี่…มู่มู่ ถึงแม้เจ้าจะก้าวหน้าในระดับที่รวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง แต่ก็ยังแข็งแกร่งไม่พอ วิหารศักดิ์สิทธิ์เป็นสถานที่ที่โหดร้ายกินคน หากแข็งแกร่งไม่มากพอก็เป็นได้แค่ลูกไก่ในกำมือของคนอื่นเท่านั้น”
หลินมู่อวี่เห็นด้วยอย่างยิ่ง “อือ ข้าลิ้มรสมาแล้วล่ะ”
ถังเสี่ยวซีเอียงคอ ยิ้มมองเขา “มู่มู่ ข้าไปหาเจ้าที่วิหารบ่อยๆ ได้ไหม”
“ได้อยู่แล้ว แต่ว่า…อย่าก่อเรื่องวุ่นวายใหญ่โตอีกล่ะ” หลินมู่อวี่เกาหัว พูดอย่างจนใจ “เกรงว่าตอนนี้ข้าคงจะเป็นคนดังของวิหารไปเสียแล้ว…”
ถังเสี่ยวซีปิดปากหัวเราะ “เจ้าโง่ ยิ่งเจ้ามีชื่อเสียง คนพวกนั้นก็จะยิ่งไม่กล้าทำอะไรเจ้า แต่หากเจ้าเป็นเพียงแค่ใครก็ไม่รู้ ฮึ ด้วยนิสัยของเจิ้งฟางแล้ว เกรงว่าคงฆ่าเจ้าเงียบๆ ไม่ให้ใครรู้ไปนานแล้ว”
“ก็จริง”
หลินมู่อวี่มองกำปั้นของตัวเอง หลังจากที่โคจรพลัง ปราณก็เคลื่อนอยู่รอบผิวกาย เขายิ้มพูด “กำปั้นต้องแข็งแรงสินะ มิเช่นนั้นพูดอะไรไปก็ไร้ประโยชน์”
“อือ!”
ตกกลางคืน หลังจากเดินเที่ยวดูโคมไฟอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ส่งถังเสี่ยวซีกลับจวน กระทั่งองค์หญิงผู้งดงามเดินเข้าไปในจวนจนลับสายตาแล้ว หลินมู่อวี่จึงกลับวิหารไปฝึกยุทธ์ต่อ!
กลางดึก ใต้แสงจันทร์ที่ส่องสว่าง เขาฝึกก่อชั้นผิวต่อ
แต่ผลลัพธ์ของคืนนี้ไม่ค่อยจะดีนัก ดูเหมือนว่าการก่อชั้นผิวได้มาถึงจุดสูงสุดแล้ว ผิวหนังไม่สามารถดูดซับพลังวิญญาณได้มากไปกว่านี้อีก หากฝืนฝึกต่อ ก็รังแต่จะมีอันตรายและไม่เกิดประโยชน์อันใด
ไกลออกไป ชายชราสองคนยืนอยู่ภายใต้แสงจันทร์ ผู้หนึ่งคือเหลยหง อีกผู้หนึ่งคือเกอหยาง ทั้งสองคนกำลังยืนวิพากษ์วิจารณ์กันอยู่
ขณะที่กำลังคุยกันอยู่นั้น จู่ๆ ก็มีเสียงลมพัดผ่านมา เกอหยางเอ่ยขึ้น “เกิดอะไรขึ้น”
ด้านเหลยหงนั้นลูบเครา ยิ้ม “ชวีฉู่ มาแล้วก็ปรากฏตัวเสีย จะหลบๆ ซ่อนๆ อยู่ไย!”
ในป่า ชวีฉู่เดินออกมาอย่างช้าๆ หัวเราะเสียงดัง “เหลยหง เจ้านี่ยังสัมผัสไวเหมือนเดิมเลยนะ เป็นอย่างไรบ้าง พรสวรรค์ของศิษย์ข้าผู้นี้ไม่เลวใช่ไหมล่ะ”
“พรสวรรค์ไม่เลวก็จริง เพียงแต่ระดับไม่ขึ้นเสียที” เหลยหงแววตาเป็นประกายวูบหนึ่ง
“ระดับไม่ขึ้น? เกิดอะไรขึ้น” ชวีฉู่ถาม
“ตอนที่เขาเข้าวิหาร เขาอยู่ขั้นปราชญ์สงครามระดับห้าสิบ ตอนนี้ก็ยังอยู่ขั้นปราชญ์สงครามระดับห้าสิบเหมือนเดิม ที่เพิ่มขึ้นมาก็แค่ประสบการณ์การต่อสู้จริงเท่านั้น พละกำลังกลับไม่มีการปรับระดับใดๆ กระดูกของเขา…ถึงขีดจำกัดในการเติบโตต่อแล้ว ก็เหมือนกับผู้ฝึกยุทธ์ระดับรองจำนวนมากที่หยุดการพัฒนาไว้ที่ขอบเขตใดขอบเขตหนึ่งตลอดชีวิต” แววตาของเหลยหงมีความเสียดาย
ชวีฉู่หน้าเครียด จากนั้นจึงยิ้มแล้วกล่าวว่า “มิต้องกลัว ข้าเตรียมการไว้แล้ว”
“หืม?” ดวงตาของเหลยหงมีแววตกใจ
หลังจากชวีฉู่กระโดดเพียงครั้งเดียว ก็ไปอยู่ไม่ห่างจากหลินมู่อวี่มากนัก เขาหัวเราะหึๆ “หลินมู่อวี่ ไม่เจอกันเสียนาน ดูซะว่าข้านำของขวัญอะไรมาให้เจ้า!”
“พรึ่บ!”
วัตถุที่ถูกห่อด้วยผ้าสีดำชิ้นหนึ่งลอยเข้ามา หลินมู่อวี่มองชวีฉู่ด้วยความประหลาดใจ เขายิ้ม “ผู้อาวุโสชวี ท่านมาแล้วหรือ”
“ดูของขวัญก่อนเถอะ!” ชวีฉู่หัวเราะเบาๆ
หลินมู่อวี่แกะห่อผ้าออกดู พบว่าภายในคือม้วนคัมภีร์ที่ผุพังไปกว่าครึ่ง แม้แต่ตัวอักษรบนนั้นก็เลือนลางไปหมด แผ่นไม้ไผ่ที่แตกหักจนกองรวมกัน เห็นได้ชัดว่าถูกชวีฉู่จัดการเย็บเรียงขึ้นมาใหม่ ม้วนคัมภีร์ส่วนแรกมีตัวอักษรที่เขียนไว้ชัดเจนสองสามตัวว่า “หลอมกระดูกมังกร”
“หลอมกระดูกมังกร?” เขาทำหน้างง
ชวีฉู่ยิ้มบางๆ แล้วเอ่ยขึ้น “จริงๆ แล้วมันเป็นเศษชิ้นส่วนคัมภีร์หลอมกระดูกมังกร ตอนนี้หาเจอเพียงเท่านี้ เจ้าเอาไปฝึกพอถูๆ ไถๆ ก่อนก็แล้วกัน!”