ลู่เฮ่าหรานขมวดคิ้ว แล้วพูดว่า “ครั้งนี้น่าหลานรั่วเป็นหัวหน้าครู คำพูดของเขา คิดว่าครูอีกสองคน คงไม่กล้าเถียง ถ้านายพูดจริงทั้งหมด ลู่ฝานคงจะลำบากจริงๆ แล้ว”

ลู่หาวพูดอย่างโมโหว่า “เขายังสามารถฉ้อกลบนหินศิลาดำได้อีกเหรอ พละกำลังบนกระดานเห็นอยู่ทนโท่ เขาจะขัดขวางได้ยังไง”

ลู่เฮ่าหรานพูดด้วยความโกรธเล็กน้อย “ไอ้โง่ หินศิลาดำฉ้อกลได้ยาก แต่เขาคงหาเหตุผล มาบอกว่าพละกำลังของลู่ฝานไม่เที่ยงธรรม ดินแดนแห่งนี้ มีสายร้ายสายมารไม่น้อยที่สามารถทำให้พละกำลังของคนเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่การเติบโตเช่นนี้ ได้รับการเหยียดหยามบนโลก สถาบันสอนวิชาบู๊ก็ไม่รับ แค่อีกฝ่ายยืนหยัดในจุดนี้ ลู่ฝานก็ไม่อาจแก้ตัวได้ เพราะอีกฝ่ายเป็นครูของสถาบันสอนวิชาบู๊ พูดมีน้ำหนักมากกว่าเรา”

ลู่หาวเหงื่อไหลบนหน้า พูดออกมาว่า “ใช่เลย การพัฒนาของลู่ฝานรวดเร็วเกินไปจริงๆ ถ้าโดนคนเอาจุดนี้ไปเล่นงาน ต้องทำให้เขาเข้าสถาบันสอนวิชาบู๊อย่างไม่ราบรื่นแน่นอน”

ลู่เฮ่าหรานส่งเสียงหึอย่างเย็นชา แล้วพูดว่า “กลัวว่าคนที่จะเล่นงานคือตาเฒ่าโม่น่ะสิ ถ้าเรื่องนี้ไม่ใช่ความคิดของเขา คงแปลกมาก ถึงไม่ว่าจะมาวิธีไหนก็สามารถรับมือได้ สิ่งสำคัญในตอนนี้ คือรอลู่ฝานกลับมา แล้วค่อยว่ากัน แค่เขากลับมาก่อน เราจะได้ปรึกษากลยุทธ์รับมือตามพละกำลังของเขา”

ลู่หาวรีบลุกขึ้นยืน แล้วพูดว่า “ผมจะส่งคนไปหาลู่ฝานอีกชุดหนึ่ง”

ลู่เฮ่าหรานพยักหน้าเบาๆ ลู่หาวจึงรีบเดินออกไป

ลู่เฮ่าหรานขมวดคิ้ว มองใบหน้าของน่าหลานรั่ว แววตาแหลมคมขึ้นมาทันที

ลู่หมิงกลับไปนั่งที่เดิม หันไปมองลานกว้างที่คึกคัก เดิมทีในใจลู่หมิงสงสัยเช่นนี้เหมือนกัน พละกำลังของลู่ฝาน ไม่ใช่ได้มาจากเส้นทางชั่วร้ายเหรอ

คนที่เป็นสวะมาหลายสิบปี จะใช้ความพยายามของตัวเอง พลิกตัวได้จริงเหรอ

……

อีกด้านหนึ่ง โม่หยุนเฟยกระซิบข้างหูโม่เทียน ทันใดนั้น โม่เทียนยกยิ้มมุมปาก

และพลาดโอกาสครั้งนี้ แค่เขาอายุเกิน 18 ปี ก็ไม่สามารถเข้าสถาบันสอนวิชาบู๊ได้ตลอดชีวิต เข้าสถาบันสอนวิชาบู๊ไม่ได้ นั่นแสดงว่าเขาต้องเดินบนเส้นทางคดเคี้ยวของการฝึกบู๊อีกสิบกว่าปี ไม่มีครูที่มีชื่อเสียงให้คำแนะนำ และไม่มีทักษะวิชาบู๊สูงส่ง นี่เรียกว่า เดินผิดก้าวเดียว พลาดไปทั้งชีวิต

ครั้งนี้ลู่ฝานตายแน่ แม้พละกำลังเขาจะแข็งแกร่ง แต่ครั้งนี้ยังไงก็ต้องพ่ายแพ้ ปู่ ผมมีเรื่องสงสัยมาตลอด ลู่ฝานไม่ได้อาศัยหนทางชั่วร้ายในการฝึกฝนจริงเหรอ พละกำลังของเขาพัฒนาเร็วขนาดนี้ เหลือเชื่อมาก ไม่แน่ การกระทำครั้งนี้ของเรา

“หยุนเฟย นายคิดผิดแล้ว ถ้าใช้เส้นทางชั่วร้าย บนเวทีประลองครั้งนั้น เขาคงเอาชนะนายไม่ได้ เส้นทางชั่วร้าย สามารถทำให้ผลการฝึกตนเพิ่มขึ้นได้จริง แต่เคล็ดวิชากายทองไฟอาบของตระกูลลู่ นายจะอธิบายยังไง นี่เป็นวิชาจริงแท้แน่นอน ลู่ฝานต้องฝึกหนัก จนได้พละกำลังมา อย่างไม่ต้องสงสัย จุดนี้นายต้องจำเอาไว้ จัดการศัตรู นายจะโหดร้าย ไร้เยื่อใย

โม่หยุนเฟยแสดงสีหน้าน้อมรับคำสั่งสอน

น่าสงสัยยิ่งกว่า พื้นฐานไม่มั่นคง พลังปราณไม่แท้ แม้จะไม่ใช่เส้นทางชั่วร้าย แต่ก็ฝืนธรรมชาติ น่าขำที่ตระกูลจาง

โม่หยุนเฟยส่ายหน้า พูดว่า “ไม่แล้วครับ เธอหาเจอที่พึ่งใหญ่ยิ่งกว่าในสถาบันได้แล้ว เลยไม่เห็นผมอยู่ในสายตาแล้ว”

โม่เทียนพูดอย่างเย็นชา “ความสามารถหาผู้ชายไม่เลวเลยนะ น่าเสียดาย ยังไงก็ไม่ใช่หนทางเที่ยงธรรม”

โม่เทียนเงียบไป แล้วถามว่า “ลู่ฝานของตระกูลลู่ กลับมาหรือยัง”

โม่หลินที่อยู่ด้านหลังพูดว่า “เหมือนยังไม่กลับมาครับ”

โม่เทียนยิ้ม แล้วพูดว่า “ไม่กลับมาจะดีที่สุด เราจะได้ไม่ต้องคิดบัญชีเขา ถ้าเขาตายอยู่ในป่าลึกจริง ไม่แน่ ต่อไปเมืองเจียงหลิน อาจคิดถึงอัจฉริยะน่าตกตะลึงที่เคยมาจากตระกูลลู่ก็เป็นได้ แต่ถ้าเขากลับมา อัจฉริยะลู่ฝานคนนี้ จะกลายเป็นลู่ฝานที่ใช้เส้นทางชั่วร้าย”

พูดจบ โม่เทียน โม่หยุนเฟยและโม่หลินหัวเราะขึ้นพร้อมกัน

……

ตอนนี้ที่ตีนเขาซีซาน นอกเมืองเจียงหลิน

เงาคนคนหนึ่งเดินออกมาช้าๆ เปลือยท่อนบน แบกกระบี่หนักด้านหลัง บนหัวมีสุนัขสีดำยืนอยู่หนึ่งตัว

“ฮ่าๆๆ ฉันกลับมาแล้ว เมืองเจียงหลิน ฉันกลับมาแล้ว เจ้าดำ ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป แกไม่ต้องทำกับข้าวทุกวันแล้ว อาจารย์ยอมอยู่ในภูเขา ก็ให้เขาอยู่ในภูเขาไปเถอะ”

แสงแดดสาดลงมาบนหน้าคนคนนี้ คือลู่ฝานที่กลับมาจากการฝึกฝนอย่างหนัก

เห็นกำแพงเมืองที่ปรากฏตรงหน้า ลู่ฝานอ้าแขนทั้งสองข้าง หัวเราะออกมา

เจ้าดำที่ยืนอยู่บนหัวเขา มองกำแพงเมืองของมนุษย์อย่างสงสัย เบิกตาโตทั้งสองข้าง คำรามออกมา

ลู่ฝานรีบเดินไปยังกำแพงเมือง กระบี่หนักด้านหลังลู่ฝาน ไม่มีผลกระทบกับการวิ่งของลู่ฝานสักนิด พื้นดินใต้เท้า ไม่โดนเหยียบจนยุบลงไปลึกอีกแล้ว