ด้านล่างภูเขาล้วนเป็นเช่นนี้ โดย ProjectZyphon

หากต้องนอนกลางป่ากลางเขาเมื่อไหร่ การเฝ้ายามตอนกลางคืนเป็นเรื่องที่ขาดไม่ได้ ก่อนหน้าที่จะไปถึงจุดพักม้าเจิ่นโถวเมืองหงจู๋ เฉินผิงอันจะรับผิดชอบเฝ้าครึ่งคืนแรก จูเหอที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตห้าเรือนกายแข็งแรง สามารถอดนอนได้ดีกว่า ตอนนี้จูเหอจากไปแล้ว จึงเปลี่ยนมาเป็นหลินโส่วอีที่เฝ้าครึ่งคืนแรก เฉินผิงอันเฝ้าครึ่งคืนหลัง พยายามไม่ให้กองไฟมอดดับ ป้องกันอุบัติเหตุไม่คาดฝันที่อาจย่างกรายเข้ามา

เฉินผิงอันไม่ได้รู้สึกแปลกใหม่กับเรื่องนี้ ตอนที่เผาเครื่องปั้นอยู่หน้าเตาต้องคอยดูไฟอยู่ตลอดเวลา นี่เป็นเรื่องที่ใหญ่ยิ่งกว่าสวรรค์ เฉินผิงอันเป็นลูกศิษย์ที่เตาเผามานานหลายปี แม้ผู้เฒ่าเหยาจะมองว่าเขาไม่มีพรสวรรค์ ไม่ยินดีถ่ายทอดเคล็ดลับการเผาเครื่องปั้นที่เป็นดั่งสมบัติก้นกรุให้ แต่เนื่องด้วยเฉินผิงอันทำงานใช้แรงงานอื่นๆ ได้แทบไม่มีข้อบกพร่อง ดังนั้นเฉินผิงอันจึงคุ้นชินกับการเฝ้ายามตอนค่ำคืนที่ต้องใช้ความอดทนและความเด็ดเดี่ยวดียิ่งนัก

บวกกับที่ช่วงเวลาเฝ้ายามตอนนี้กลางคืนเงียบสงัดไม่มีคนรับกวน เขาจึงสามารถเอาการเดินนิ่งและยืนนิ่งของตำราเขย่าขุนเขามาฝึกซ้ำเพียงลำพังได้ บางครั้งก็นั่งถักรองเท้าแตะ บ้างก็หยิบเอาแท่นสังหารมังกรขนาดเล็กมาช่วยลับดาบยันต์มงคลให้กับหลี่เป่าผิง

เมื่อการฝึกยืนนิ่งท่าเจี้ยนหลูเริ่มจะเชี่ยวชาญมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อมังกรไฟลมปราณเส้นนั้นในร่างเลือกสองช่องโพรงลมปราณเป็นที่พักพิงได้แล้ว ทุกครั้งที่เฉินผิงอันยกสองนิ้วขึ้นทำมุทราท่าเจี้ยนหลู เมื่อสูดลมหายใจเข้าออกหลายครั้งเข้า เขาก็เริ่มจมจ่อมอยู่กับมันจนร่างทั้งร่างตกอยู่ในสภาวะมหัศจรรย์เหมือนครึ่งหลับครึ่งตื่น ต่อให้ปีนี้อากาศหนาวหลังฤดูใบไม้ผลิจะยาวนานมากเป็นพิเศษ อากาศร้อนไม่มาเยือนเสียที ทว่าทุกครั้งที่เฉินผิงอันเฝ้ายามในครึ่งคืนหลัง ต่อให้เขาไม่ทันระวังทำให้กองไฟมอดดับลง เฉินผิงอันก็ยังคงไม่รู้สึกถึงอากาศชื้นหนาวเหน็บ ทุกครั้งที่เก็บท่าเจี้ยนหลู ลุกขึ้นยืดเส้นยืดสายด้วยท่าเดินนิ่งก็จะรู้สึกอุ่นสบายไปทั่วทั้งร่างทั้ง เวลาเร่งเดินทางตอนกลางวันจึงไม่มีท่าทางเหนื่อยล้าให้เห็น

คืนนี้เฉินผิงอันยังคงนั่งขัดสมาธิอยู่ข้างกองไฟ มุมานะฝึกท่าเจี้ยนหลู เพียงไม่นานปราณขุมนั้นที่อยู่ในร่างกายจึงไหลออกจากช่องโพรงลมปราณจุดตันเถียนเหมือนปลาหลีที่ลอยทวนกระแสน้ำค่อยๆ ทะยานเข้าสู่ประตูมังกรทีละนิด จากนั้นก็มาหยุดอยู่ที่ช่องโพรงซึ่งปราณกระบี่หายไปอยู่ชั่วครู่เหมือนคนเดินทางที่หยุดพักนอนยังจุดพักม้า แล้วก็เหมือนคนเดินเขาที่พักหายใจอยู่กึ่งกลางภูเขา จากนั้นก็บุกตะลุยขึ้นหน้าต่อไปรวดเดียว อ้อมผ่านไปทางต้นคอด้านหลัง สุดท้ายพุ่งตรงเข้าสู่กลางหว่างคิ้ว

หลังลืมตาขึ้นมา เฉินผิงอันก็พ่นลมหายใจขุ่นมัวทิ้งหนึ่งครั้ง ลุกขึ้นยืน เขย่งปลายเท้ากระโดดเบาๆ สองสามทีแล้วหันหลังกลับไปมองอย่างรวดเร็วก็เห็นว่าอวี๋ลู่ลงจากรถม้า เดินมาช้าๆ ตรงหน้าอกหอบเอากิ่งไม้บางส่วนที่ไม่ค่อยจะแห้งนักมาด้วย เขานั่งยองลงข้างกองไฟ เรียนแบบการสร้าง “เตาไฟ” ของเฉินผิงอันโดยการค่อยๆ ใส่ฟืนเพิ่มเข้าไปอย่างระมัดระวัง ไม่ใช่โยนเข้าไปส่งเดช และไม่นานกองไฟก็เริ่มลุกโชนขยายใหญ่

อวี๋ลู่ยื่นมือไปอังไฟแล้วถูเข้าด้วยกันเบาๆ หันหน้ามาเอ่ยยิ้มๆ “เฉินผิงอัน วันหน้าให้ข้าช่วยเฝ้ายามตอนกลางคืนด้วยไหม? ท่ายืนนิ่งของวิชาหมัดมวยที่เจ้าต้องฝึกนี้ ทางที่ดีที่สุดไม่ควรวอกแวก อันที่จริงร่างกายข้าก็แข็งแรงพอใช้ เชื่อว่าเจ้าเองก็น่าจะดูออก ดังนั้นหากเจ้าเชื่อใจข้า สามารถยกสองชั่วยามก่อนฟ้าสางให้ข้าเป็นคนเฝ้ายามได้”

เฉินผิงอันส่ายหน้ากล่าวว่า “อวี๋ลู่ ความหวังดีของเจ้าข้ารับไว้แล้ว แต่ตอนนี้ยังไม่ต้องการให้เจ้ามาเฝ้ายามตอนกลางคืน”

อวี๋ลู่รู้ว่าความหมายในคำพูดของเฉินผิงอันก็คือ ยังไม่วางใจจะฝากความปลอดภัยของทุกคนไว้ที่ตัวเขาอวี๋ลู่ เด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ไม่ได้อับอายจนพานเป็นความโกรธ เพียงพยักหน้ารับ “หากเวลาไหนต้องการสามารถบอกข้าได้ ข้าเองก็อยากทำอะไรเพื่อทุกคนบ้างเหมือนกัน ไม่อย่างนั้นคงไม่สบายใจ”

เฉินผิงอันมองใบหน้าที่ถูกแสงเพลิงสาดสะท้อน เหลี่ยมมุมคมสันชัดเจน ดวงตาสุกสว่าง มากพอจะทำให้คนสัมผัสได้ถึงความปรารถนาดีของเขา

เฉินผิงอันจึงตอบรับยิ้มๆ “ตกลง”

อวี๋ลู่เอ่ยชวนคุย “ดูตามเวลาแล้ว ตอนนี้ถือว่าเข้าช่วงหน้าร้อน แต่อากาศกลับยังเหมือนช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิอยู่เลย”

เฉินผิงอันเออออตาม “ปีนี้ค่อนข้างจะประหลาดอยู่บ้าง”

อวี๋ลู่คุยเล่นอยู่อีกสองสามคำก็ลุกขึ้นบอกลา เฉินผิงอันมองส่งเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่จากไป

ฟังจากที่หลินโส่วอีเล่าให้เขาฟังเป็นการส่วนตัว ยามที่อวี๋ลู่เล่นหมากล้อม แม้มองดูเหมือนพลังพิฆาตจะไม่มาก ไม่ได้คล่องแคล่วดุจมีเทพช่วย แต่ในความเป็นจริงแล้วเมื่อเทียบกับเด็กสาวเซี่ยเซี่ยที่เปิดและปิดฉากอย่างยิ่งใหญ่อลังการ เลือดสาดกระเซ็นไปสี่ทิศ อันที่จริงเขากลับร้ายกาจยิ่งกว่า

เฉินผิงอันค้นพบมานานแล้วว่าอวี๋ลู่เป็นคนที่ทำอะไรละเอียดอ่อน พิถีพิถันรอบคอบอย่างยิ่ง หลินโส่วอีบอกว่าเวลาที่อวี๋ลู่ทำอะไรก็ตามล้วนมั่นคงรอบคอบยิ่งกว่าขุนนางเฒ่าในจวนที่ว่าการที่เชี่ยวชาญเสียอีก

เฉินผิงอันเคยประสบกับตัวเองมาก่อนแล้ว ยกตัวอย่างเช่นเพียงแค่เคยได้เห็นเขาถักรองเท้าแตะกับตาตัวเองครั้งสองครั้ง เพียงไม่นานอวี๋ลู่ก็สามารถถักได้เอง อีกทั้งยังทำได้เหมือนมาก ที่สวมอยู่บนเท้าคู่นี้ก็มาจากฝีมือของอวี๋ลู่เอง หรือยกตัวอย่างเช่นทุกครั้งที่เฉินผิงอันตกปลา อวี๋ลู่ก็มักจะยืนมองอยู่ด้านข้างเงียบๆ ดูว่าเฉินผิงอันเหวี่ยงเบ็ดเวลาไหน เหวี่ยงไปตกตรงช่วงไหนของธารน้ำ ยกคันเบ็ดขึ้นมาอย่างไร ตกปลาตัวใหญ่ได้แล้วควรจะลากปลาอย่างไรให้หัวปลาสูงพ้นเหนือน้ำ เมื่อปลาใหญ่เห็นแสงสว่างเหนือผิวน้ำเป็นครั้งแรกควรจะปลดตะขอออกอย่างไร เป็นต้น ภายหลังมีอยู่ครั้งหนึ่งเฉินผิงอันมีธุระจึงต้องไปทำอย่างอื่น อวี๋ลู่จึงเปิดปากขึ้นว่าขอให้เขาทดลองทำดูได้ไหม พอรับคันเบ็ดตกปลามาจากมือเฉินผิงอัน อวี๋ลู่ที่ไม่เคยมีประสบการณ์ตกปลามาก่อน ผลกลับได้ปลามาไม่น้อย

สำหรับเรื่องทั้งหมดนี้เฉินผิงอันล้วนไม่เคยพูดออกมา แค่มองด้วยตาจดจำด้วยใจเท่านั้น เพียงรู้สึกว่าหากเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่ไม่รู้ว่าชื่อนี้จริงหรือไม่เป็นคนดี เขาก็ต้องเป็นคนที่ดีมากๆ แต่หากเป็นคนชั่ว เฉินผิงอันก็แทบจะจินตนาการไม่ออกเลยว่าต้องชั่วถึงขนาดไหน

ค่ำคืนหนึ่งผ่านไปอย่างสงบ

นอกจากกองเพลิงข้างกายเฉินผิงอันที่ค่อยๆ หดเล็กลง ด้านในรถม้ากลับมีตะเกียงดวงหนึ่งถูกจุดขึ้นมาตั้งแต่เช้า ส่องสว่างไปทั้งคันรถ ไม่รู้ว่าเด็กหนุ่มชุดขาวกำลังอ่านตำราอะไรถึงได้ตั้งใจเพียงนี้

ท้องฟ้าเริ่มมีแสงสว่างรำไร เฉินผิงอันเริ่มกลั้นลมหายใจรวบรวมสมาธิ เดินไปยังจุดที่มองเห็นได้กว้างที่สุดของกึ่งกลางภูเขาเหิงซาน เมื่อดวงอาทิตย์เริ่มโผล่พ้นขอบฟ้า เขาก็เริ่มฝึกหมัดมวย หลังจากนั้นหลี่เป่าผิงและหลินโส่วอีก็มาร่วมฝึกด้วยกัน มีเพียงหลี่ไหวที่นิสัยเอาแน่เอานอนไม่ได้ที่ฝึกได้ครู่เดียวก็วิ่งปรู๊ดไปที่อื่น อวี๋ลู่กับเซี่ยเซี่ยเองก็เห็นมาจนชินตาจึงไม่แปลกใจอะไร วันนี้เด็กหนุ่มชุดขาวเลิกผ้าม่านยืนอยู่บนรถม้า มองพวกเขาที่รำมวยจริงจังเป็นขั้นเป็นตอน ช่วงแรกเริ่มสุดยังพ่นลมออกจมูกอย่างดูแคลน ปรายตามองทีเดียวก็ไม่เหลียวแลอีก ทว่าพอเวลาผ่านไปนานวันเข้า ช่วงเวลาที่ราชครูหนุ่มผู้นี้ยืนมองอยู่ไกลๆ กลับเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

คนทั้งกลุ่มกินข้าวเช้าเรียบร้อยก็เริ่มเดินตามทางภูเขาขึ้นไปบนยอดเขา เดินผ่านวัดเจ้าแม่ชิงที่ถูกบันทึกไว้ในอักขรานุกรมภูมิศาสตร์ท้องถิ่น ต้นไป่โบราณที่อยู่เคียงข้างกับวัดเล็ก หากมองแค่ขนาดของพุ่มใบที่ดกหนา ไม่ได้มองว่าวาสนาลึกล้ำหรือตื้นเขินก็พอจะเทียบเคียงกับต้นไหวโบราณที่อยู่ในถ้ำสวรรค์หลีจูได้เลย

เดิมทีหลินโส่วอีนึกว่าเฉินผิงอันจะเดินทางต่อ คิดไม่ถึงว่าเฉินผิงอันจะเดินเข้าไปดูในวัด จากนั้นก็เรียกเขา หลี่เป่าผิงและหลี่ไหวเข้าไปด้านใน ที่แท้สภาพในวัดเล็กเละเทะอย่างมาก กลิ่นเหล้าคละคลุ้ง เทวรูปดินเหนียวที่วางไว้บนแท่นบูชา ไม่ว่าหลี่ไหวจะชะโงกหน้าไปดูแค่ไหนก็ไม่เห็นเหมือนกับแม่นางผีสาวที่เล่นหมากล้อมกับหลินโส่วอีเมื่อคืนนี้ ตลอดทางที่เดินทางกันมา หลินโส่วอีพูดคุยกับเทพหยินมากที่สุดจึงรู้เรื่องภายในมากมาย เลยอธิบายให้หลี่ไหวฟังว่า ชาวบ้านในท้องถิ่นจำนวนมากซาบซึ้งที่องค์เทพสิ่งศักดิ์สิทิ์ช่วยปกปักษ์คุ้มครองคนในพื้นที่จึงสร้างเทวรูปขึ้นมากราบไหว้บูชา ร่างทองคำของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ได้เสวยสุขกับควันธูปจึงมักจะสูญเสียโฉมหน้าที่แท้จริงไป หรืออาจถึงขั้นไม่มีความคล้ายคลึงกับตัวจริงเลยด้วยซ้ำ แต่นี่ไม่ส่งผลกระทบต่อบุญกุศลที่ได้จากควันธูปซึ่งผู้คนกราบไหว้บูชา

ใช้เวลาประมาณเกือบครึ่งชั่วยามทำความสะอาดในวัดเล็กจนเอี่ยมอ่อง พวกเฉินผิงอันถึงได้เริ่มออกเดินทางกันอีกครั้ง ก่อนจะจากไป หลินโส่วอีไปนั่งอยู่ใกล้ๆ กับเบาะรองนั่งเบื้องใต้แท่นบูชาเพียงลำพัง แล้วยกมือกุมประสานบอกลาเจ้าแม่ชิงที่มอบตำราหมากล้อมที่มีเพียงเล่มเดียวให้กับเขา

ขณะเดียวกันเด็กหนุ่มชุดขาวก็พาอวี๋ลู่เดินข้ามธรณีประตูเข้ามา ชุยฉานกวาดตามองรอบด้าน หลังจากเดินไปหยุดอยู่หน้าแท่นวางเทวรูป มองกระถางธูปใบเล็กที่เต็มไปด้วยขี้เถ้าซึ่งทำมาจากทองแดงธรรมดาๆ อาจเป็นเพราะผ่านกาลเวลายาวนานมาหลายร้อยปี พื้นผิวกระถางทองแดงจึงใสแวววาว ในกระถางมีธูปที่ยังไหม้ไม่หมดก้านปักรวมกันแน่นขนัด เห็นได้ชัดว่าต่อให้วัดเล็กแห่งนี้ไม่ได้อยู่ในทำเนียบภูเขาและแม่น้ำแคว้นหวงถิง และในความหมายที่เข้มงวดแล้วควรถือเป็นวัดที่สร้างขึ้นอย่างผิดธรรมเนียมต้องห้าม ทว่าดูจากขนาดของวัดเล็กแห่งนี้ก็ถือว่าได้รับควันธูปเฟื่องฟูรุ่งเรืองแล้ว

เด็กหนุ่มชุดขาวพลันเอ่ยขึ้นว่า “อวี๋ลู่ พบเจอศาลและวัดควรจะเข้ามากราบไหว้สักหน่อย นี่เป็นเรื่องดีซึ่งถือว่าได้ผูกวาสนากับภูเขาและแม่น้ำ”

แม้อวี๋ลู่จะไม่เข้าใจต้นสายปลายเหตุ แต่ก็ยังโค้งตัวต่ำแล้วคำนับสามครั้ง

เด็กสาวเซี่ยเซี่ยยืนอยู่นอกประตู ตรงเอวผูกขลุ่ยไม้ไผ่เลานั้นเอาไว้

หลังออกมาจากขอบเขตของภูเขาเหิงซานแล้ว คนทั้งกลุ่มก็มาถึงเมืองแห่งหนึ่งของแคว้นหวงถิง ดีที่ก่อนหน้านี้พวกเฉินผิงอันเคยเห็นความยิ่งใหญ่อลังการของด่านเหย่ฟูมาก่อนแล้ว บวกกับที่เมืองหงจู๋อันเป็นจุดตัดของแม่น้ำสามสายเจริญรุ่งเรืองมากพอ จึงพอจะมีการเตรียมใจสำหรับเมืองใหญ่กำแพงสูงของฟ้าดินด้านนอกมาบ้างแล้ว แต่กระนั้นหลี่ไหวก็ยังคงเก็บไม้เก็บมือไม่ซุกซนเหมือนเดิม ขนาดหุ่นไม้หลากสีที่มักจะเอามาถือไว้บนมือเป็นประจำก็ยังแอบเอาไปซ่อนไว้ในหีบหนังสือใบเล็ก

สำมะโนครัวของพวกเฉินผิงอันบันทึกไว้ว่าอยู่ในอำเภอหลงเฉวียนแห่งราชวงศ์ต้าหลี ขั้นตอนการเข้าเมืองจึงค่อนข้างราบรื่นรวดเร็ว แม้ว่าเบื้องบนของแคว้นหวงถิงจะเป็นสกุลเกาต้าสุยไม่ใช่สกุลซ่งแคว้นต้าหลี แต่เมื่ออยู่บนแผ่นดินกว้างขวางแถบทิศเหนือที่ถูกต้าหลีฮุบรวมไปทั้งแถบ อีกทั้งต้าหลียังมีวางแผนบุกลงใต้ ตลอดหลายปีที่ผ่านมาแคว้นหวงถิงจึงปฏิบัติต่อปัญญาชนต้าหลีที่เดินทางไปศึกษานอกดินแดนด้วยดีมาโดยตลอด ขาดก็แค่ไม่ได้ยกขึ้นหิ้งบูชาเป็นพระโพธิสัตว์ที่ยังมีชีวิตก็เท่านั้น เพราะอย่างไรซะไม่แน่ว่าวันใดวันหนึ่งพื้นที่ของแคว้นหวงถิงแถบนี้อาจกลายมาเป็นหนึ่งในอาณาเขตของราชวงศ์ต้าหลีก็เป็นได้

ในฐานะผู้พิชิตพื้นที่ทางทิศเหนือของแจกันสมบัติทวีปในอดีต ตอนนี้สกุลหลูไม่เพียงแต่บ้านเมืองล่มสลาย แม้แต่เชื้อพระวงศ์และพระญาติก็ยังถูกลดบรรดาศักดิ์ให้กลายเป็นเพียงนักโทษชาวบ้านชั้นต่ำ บทเรียนนองเลือดก่อนหน้านี้ยังคงแจ่มชัดติดตา

ก่อนจะเข้าเมืองเฉินผิงอันได้สอบถามชาวบ้านท้องถิ่นอย่างละเอียดมาก่อนแล้วว่าในและนอกเมืองมีสถานที่ที่มีชื่อเสียงอะไรบ้าง เพราะเฉินผิงอันหวังว่าบนพื้นฐานที่ทุกคนปลอดภัย การเดินทางทัศนศึกษาต่างถิ่นในครั้งนี้ของพวกหลี่เป่าผิงจะทำให้พวกเขาได้เห็นเทือกเขาขึ้นชื่อ วัดวาอารามและซากปรักเมืองโบราณมากขึ้นสักหน่อย ไม่ใช่แค่เดินชมนกชมไม้เรื่อยเปื่อย เป็นเหตุให้สุดท้ายแล้วพอไปถึงสำนักศึกษาต้าสุยกลับไม่เคยได้เห็นอะไรสักอย่าง มีแต่ประสบการณ์นอนกลางดินกินกลางทรายและเร่งรีบเดินทางเท่านั้น

เหมือนกับการเข้าเมืองในครั้งนี้ที่ต้องไปเที่ยวชมศาลเทพอภิบาลเมืองที่ถูกขนานนามว่าเก่าแก่ที่สุดของแคว้นหวงถิง จิตรกรรมฝาผนังของที่นั่นมีภาพนรกภูมิสิบแปดชั้น เล่าลือกันว่าสามารถทำให้คนรู้สึกเหมือนตกอยู่ในเหตุการณ์นั้นจริงๆ จึงมีชื่อเสียงอย่างมาก

คนทั้งกลุ่มถามทางมาแล้วจึงเดินไปตามถนนใหญ่ที่กว้างขวาง มุ่งหน้าไปยังศาลเทพอภิบาลเมือง

ด้านหลังของทุกคนพลันมีเสียงเอ็ดอึงดังขึ้นมา เฉินผิงอันหันหน้ากลับไปมองก็ตกตะลึงเล็กน้อย เพราะเขามองเห็นภาพเหตุการณ์แปลกใหม่ที่ไม่มีทางปรากฎขึ้นในขอบเขตของต้าหลีแน่นอน เห็นเพียงว่ามีชายหนุ่มหญิงสาวบุคลิกองอาจห้าวหาญประมาณเจ็ดแปดคน ทุกคนสวมอาภรณ์ปลิวไสว ภายใต้การนำของผู้เฒ่าผมขาวโพลนคนหนึ่ง พวกเขาพากันเดินอาดๆ ผ่านตรอกซอกซอย บางคนถึงขั้นขี่เสือดำตัวใหญ่ยักษ์เป็นพาหนะ ด้านหลังบางคนมีงูใหญ่สีแดงฉานยาวสองจั้งกว่าติดตามมา และยังมีบางคนแบกคันธนูเขาวัวขนาดมหึมา

ผู้คนที่เดิมทีหลั่งไหลไม่ขาดสายอยู่บนถนนครึกครื้นกลับเบี่ยงตัวหลบเป็นสองฝั่งอย่างรวดเร็ว เด็กบางคนที่ไม่รู้ความถึงขนาดถูกพ่อแม่กึ่งลากกึ่งจูงกระชากออกจากถนนเข้าไปหลบอยู่ในร้านสองฝากทาง งูใหญ่สีแดงสดที่ไม่มีเจ้านายคอยห้ามปรามส่ายหัวสะบัดหาง ตรงสองจุดบนศีรษะยังห่มคลุมด้วยเสื้อเกราะสีแดงสด ขับดันให้สัตว์วิเศษที่ถูกเลี้ยงด้วยเซียนบนภูเขาตัวนี้ยิ่งดูไม่ธรรมดา มันไม่ได้เลื้อยตรงมาข้างหน้าอย่างเดียว แต่คอยเลื้อยไปใกล้ๆ ร้านรวงสองข้างทางเป็นระยะ บางครั้งก็ชูหัวขึ้นเบ่งบารมีต่อหน้าชาวบ้านของเมืองที่หวาดกลัวจนตัวสั่น

มีเด็กน้อยขี้ขลาดคนหนึ่งที่พอถูกงูใหญ่จ้องนิ่งในระยะประชิดก็ตกใจจนห้องไห้จ้า พ่อแม่ที่ตกใจไม่แพ้กันต้องรีบอุดปากลูกให้เงียบเสียง

งูใหญ่เลื้อยไปข้างหน้าต่ออีกครั้ง ทว่าทันใดนั้นมันพลันสะบัดหางฟาดลงไปบนใบหน้าของชายที่เพิ่งจะถอนหายใจโล่งอก จนชายผู้นั้นลอยคว้างไปกลางอากาศ ร่างหมุนติ้วๆ อยู่หลายรอบก่อนร่วงกระแทกพื้นอย่างแรง หลังจากกระอักเลือดออกมาหนึ่งคำ เขาก็ตะเกียกตะกายลุกขึ้นยืนแล้วรีบพาลูกเมียที่หน้าซีดราวไก่ต้มเผ่นหนีไปอย่างทุลักทุเล

เฉินผิงอันที่ยืนอยู่ห่างไปไกลมองไปยังผู้คนที่อยู่รอบกาย บางคนมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น บางคนตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว บางคนจุ๊ปากชื่นชม อย่างเดียวที่ไม่มีก็คือคนที่รู้สึกว่าการกระทำของสัตว์เดรัจฉานตัวนั้นไม่เหมาะสม

หลินโส่วหยิบยันต์ที่อยู่ในชายแขนเสื้อออกมา ขยับมายืนอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน หลี่เป่าผิงและหลี่ไหวยืนอยู่ใกล้กับร้านค้า

ภายใต้การบังคับของสารถีอวี๋ลู่ รถม้าที่เด็กหนุ่มชุดขาวโดยสารมาก็ขยับออกห่างจากเส้นทางเดิมไปหยุดอยู่ใกล้ๆ กับข้างทาง

เพียงไม่นานเหล่าเซียนที่ลงมาจากภูเขาในสายตาของชาวบ้านแคว้นหวงถิงเหล่านั้นก็เดินมาถึงจุดที่พวกเฉินผิงอันยืนอยู่ ริมฝีปากของผู้เฒ่าคนนั้นขยับเบาๆ เหล่าเด็กหนุ่มเด็กสาวทั้งหมดก็พากันหันมามอง สายตาของทุกคนมีทั้งความท้าทายและความสงสัยใคร่รู้เหมือนกันหมดโดยไม่ได้นัดหมาย แต่ในที่สุดเจ้านายของงูแดงตัวนั้นก็ตวาดเบาๆ เรียกให้เดรัจฉานที่โอหังกำเริบเสิบสานมาอยู่ข้างกาย เห็นได้ชัดว่าเมื่อครู่นี้อาจารย์ผู้อาวุโสที่รับผิดชอบการฝึกประสบการณ์เบื้องล่างภูเขาในครั้งนี้ได้เตือนพวกเขาไปแล้วว่า เมื่อเจอกับกองกำลังบนภูเขาที่ลงมาจากเขาเหมือนกัน ไม่ควรทำตัวเผด็จการไร้เหตุผลจนเกินไปนัก

ตอนที่ผู้เฒ่าเดินผ่านไหล่พวกเฉินผิงอันยังคลี่ยิ้มบางๆ ผงกศีรษะทักทายเด็กหนุ่มหลินโส่วอีเล็กน้อยด้วยมาดของผู้สูงส่ง

ทั้งสองฝ่ายจึงแยกย้ายไปทางใครทางมันเช่นนี้ ดั่งน้ำบ่อที่ไม่ยุ่งกับน้ำคลอง

เด็กหนุ่มชุยฉานเดินออกมาจากตัวรถ ยกเท้าถีบเซี่ยเซี่ยทั้งที่จริงๆ แล้วนางก็ไม่ได้ขวางทางแล้วกระโดดลงจากรถ กล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยที่มีเพียงเฉินผิงอันเท่านั้นที่ได้ยิน “พ้นจากเขตต้าหลีล้วนเป็นเช่นนี้”

เฉินผิงอันเห็นว่าคนกลุ่มนั้นจากไปไกลแล้วถึงมีเจ้าหน้าที่พกดาบเดินออกมาจัดระเบียบ ซึ่งในความเป็นจริงแล้วก็แค่การกระทำเอาหน้าเท่านั้น

เฉินผิงอันถามว่า “หน่วยงานราชการของราชสำนักไม่เข้ามาควบคุมบ้างหรือ?”

ชุยฉานยกยิ้ม “หากไม่เต็มใจดูแลก็คงเพราะไม่กล้าควบคุม หรือไม่ก็…อยากจะทำอะไรบางอย่างเพื่อเหล่าเซียนบนภูเขาบ้างกระมัง”

เฉินผิงอันหันไปมองหลี่เป่าผิงกับหลี่ไหวแล้วเอ่ยเบาๆ “เดินทางกันต่อเถอะ”

ชุยฉานไม่นั่งรถม้าอีก แต่เดินไปช้าๆ อยู่ระหว่างคนสี่คนกับรถม้าคันนั้น

เด็กหนุ่มชุดขาว ไฝสีแดงกลางหว่างคิ้ว ชายแขนเสื้อกว้างปลิวไสว ท่วงท่าราศีดุจเทพเซียน