เมื่อหรงจินได้ยินดังนั้น เขาก็โล่งใจทันที
“วันนี้เจ้าไปพักผ่อนก่อนเถิด ไว้วันอื่นข้าค่อยมาหาเจ้าอีก!”
หลังจากที่เขาพูดจบก็หันหลังและเดินออกไปอย่างรวดเร็วโดยไม่รอคำตอบของฉู่เซียนหมิ่นเลยสักนิด
“องค์ชาย…” ฉู่เซียนหมิ่นตื่นตระหนก และต้องการตามไปอธิบาย
หรงจิ้นหันกลับมาจริงๆ แต่เขากลับขมวดคิ้วแล้วเอ่ยว่า
“จริงสิ ต่อไปหากไม่มีธุระอะไร เจ้าก็ไม่ต้องออกไปให้เห็นหน้า เจ้ายังสามารถไปเรียนได้ตามปกติ แต่ใบหน้าของเจ้า…เจ้าก็อย่าลืมพกผ้าปิดหน้าไปด้วยล่ะ”
หลังจากพูดจบ เขาก็รีบไปทันทีราวกับว่ามีอุทกภัยกำลังไล่ตามหลังเขาอย่างไรอย่างนั้น
เมื่อนึกถึงใบหน้าที่สยดสยองนั้น เขาก็รู้สึกท้องไส้ปั่นป่วนไปหมด!
เมื่อครู่นี้เขาเห็นว่านางสวยไปได้อย่างไร น่าขยะแขยงที่สุด!
เงาร่างของหรงจิ้นหายไปอย่างรวดเร็วและมีเพียงฉู่เซียนหมิ่นที่ถูกทิ้งไว้ในห้องเพียงลำพัง
นางยืนนิ่งค้างอยู่ตรงนั้นอยู่นานกว่าจะหัวเราะออกมาด้วยเสียงอันแผ่วเบา
เพียงแต่ในเสียงหัวเราะนี้ เหลือแต่ความเย็นชาและเคียดแค้นเท่านั้น!
…
“ดึกป่านนี้แล้ว เหตุใดฝ่าบาทจึงเรียกประชุมขุนนางกะทันหัน มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรือ”
หรงจิ้นถามซ่งหยวนขณะที่เขาเดินออกจากทิงเฟิงย่วน
“ทูลองค์ชาย กระหม่อมก็ไม่ทราบเช่นกันพ่ะย่ะค่ะ หมิ่นกงกงมาด้วยตัวเองเยี่ยงนี้ สงสัยน่าจะมีเรื่องด่วนพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หรงจิ้นก็เงยหน้าขึ้นแล้วเห็นร่างของขันทีหมิ่นจริงๆ ด้วย
ในใจของเขายิ่งคิดสงสัย
ตกลงมันคือเรื่องอะไรกันแน่ ถึงได้ให้ขันทีกงมาด้วยตนเองเวลาดึกดื่นป่านนี้
ขันทีหมิ่นเดินวนไปวนมาด้วยความกังวลเป็นหนูติดจั่น เมื่อเห็นหรงจิ้นจากระยะไกลๆ เขาก็รีบวิ่งเข้ามาหาทันที
“ไอ้หยา องค์รัชทายาทเสด็จมาสักที ฝ่าบาททรงรอพระองค์อยู่ เรารีบไปกันเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
หรงจิ้นขมวดคิ้ว
“เรื่องเร่งด่วนขนาดนั้นเชียวหรือ หมิ่นกงกง เกิดอะไรขึ้นกันแน่”
“ทูลองค์รัชทายาท พวกกระหม่อมก็ไม่มีผู้ใดทราบเรื่องนี้เหมือนกันพ่ะย่ะค่ะ แต่ว่าช่วงบ่ายองค์ชายสามเสด็จเข้าเฝ้าในวังหลวง และสนทนากับฝ่าบาทในห้องทรงอักษรอยู่นานสองนาน จนกระทั่งองค์ชายสามเสด็จกลับไป ฝ่าบาทจึงมีรับสั่งให้องค์รัชทายาทรีบเข้าวังโดยด่วนพ่ะย่ะค่ะ!”
ขันทีหมิ่นลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอามือลูบแส้ในอ้อมแขนของตน
“เอ่อคือ…องค์รัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมมีอยากให้พระองค์เตรียมใจไว้ ตอนนี้ฝ่าบาททรงกริ้วมาก เมื่อเสด็จไปถึงแล้ว พระองค์ต้องระมัดระวังด้วยพ่ะย่ะค่ะ…”
ฝ่าบาททรงกริ้วอย่างนั้นหรือ
หรงจิ้นยิ่งขมวดคิ้วเข้าไปใหญ่
หรือว่าเรื่องนี้จะมส่วนเกี่ยวข้องกับหรงจิ่ว
แต่ในช่วงนี้ เขาและหรงจิ่วไม่ได้พบปะหารือกันมากนัก เขาจะเข้าไปเกี่ยวข้องได้อย่างไร
“ขอบใจหมิ่นกงกงมาก”
หรงจิ้นไม่ถามให้มากความอีก จากนั้นจึงเข้าวังไปพร้อมขันทีหมิ่น
…
ค่ำคืนในยามกลางฤดูร้อนทั้งอากาศร้อนและแห้งแล้ง
ตอนที่หรงจิ้นรีบไปถึงห้องทรงอักษรจึงมีสภาพเหงื่อท่วมตัว
จากนั้นเมื่อเขาเข้าไปข้างในและเห็นสีหน้าที่ตึงเครียดของผู้เป็นบิดา เขาก็รู้สึกเย็นวาบในใจทันที
“เสด็จพ่อ…”
จักรพรรดิจยาเหวินหยิบที่ฝนหมึกบนโต๊ะขว้างใส่หรงจิ้นทันที!
หรงจิ้นไม่กล้าที่จะหลบหลีก และเขาก็ทนรับความเจ็บปวดนั้น ทันใดนั้นหน้าผากที่ถูกของแข็งกระแทกก็เกิดเป็นบาดแผลฉกรรจ์ ทั้งโลหิตยังไหลอาบย้อมอีก!
เขารู้ดีแก่ใจว่าเรื่องนี้คงเป็นเรื่องเลวร้ายจึงรีบคุกเข่าลงทันที
“หากเสด็จพ่อต้องการสั่งสอนลูก ลูกยอมรับ แต่เสด็จพ่อบอกลูกได้หรือไม่ว่าเหตุใด…”
“เจ้าทำอะไรลงไป เจ้ารู้ดีแก่ใจมิใช่หรือ!”
จักรพรรดิจยาเหวินตัดบทเขาอย่างเกรี้ยวกราดด้วยสีหน้าดำคร่ำเครียด
นี่เป็นครั้งแรกที่หรงจิ้นได้เห็นสีหน้าเช่นนี้ของผู้เป็นบิดา และหัวใจของเขาก็จมดิ่งลงไปเรื่อยๆ
ตกลง…ตกลงมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
“หรงจิ้น ตอนนี้เจ้าเป็นถึงรัชทายาทแล้ว เหตุใดเจ้ายังจะลงมือทำร้ายพี่น้องของเจ้าอีก! ทำไมเจ้าถึงมีจิตใจคับแคบเช่นนี้”
จักรพรรดิจยาเหวินตวาดลั่นด้วยความโกรธ
หรงจิ้นก็กลับมารู้สึกตัวอีกครั้งและเขาก็ตกตะลึงในใจ
หรือว่า…เสด็จพ่อทรงทราบเรื่องที่เขาให้คนแอบไปตามสืบเรื่องของหรงซิวแล้ว!
“เจิ้นรู้ว่าหรงจิ่วปรีชาสามารถด้านการทหาร และสามารถมีพลังอำนาจทัดเทียมเจ้าได้ แม้เจ้าจะไม่ชอบเขา ถึงอย่างไรเขาก็เป็นน้องชายของเจ้า ตอนนี้เจ้าขึ้นเป็นรัชทายาทแล้ว ทำไมถึงยังมีจิตใจคับแคบเช่นนี้ได้!”
หรงจิ้นตกตะลึง
หรงจิ่วหรือ
ไม่ถูกต้อง!
คนที่เขาส่งคนไปตามสืบคือ…
“เสด็จพ่อโปรดยุติธรรมกับลูกด้วย ลูกเปล่า…”
“เจ้ายังกล้าเจ้าเล่ห์เพทุบายอีกหรือ! คนของเจ้าถูกหรงจิ่วจับตัวเอาไว้ได้แล้ว!”
คำพูดที่เหลือของหรงจิ้นจุกอยู่ในลำคอของเขาและไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็พูดไม่ออก
“หากไม่ใช่เพราะเขาอยู่ในกองทัพมาหลายปีและมีสัญชาตญาณตื่นตัวพอก็คงไม่รู้ว่าตัวเองกำลังจะถึงคราวตาย!”
จักรพรรดิจยาเหวินถอนหายใจอย่างหนัก
“เจ้าทำให้เจิ้นผิดหวังจริงๆ!”
หรงจิ้นรู้สึกราวกับถูกฟ้าผ่า หัวใจของเขาสั่นสะท้านเสมือนมีคลื่นมรสุมกลางมหาสมุทร!
ไม่!
เขาพุ่งเป้าไปที่หรงซิว ไม่เคยคิดลงมือกับหรงจิ่วเลยสักครั้ง เหตุการณ์นี้จะต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลแน่ๆ
ลึกๆ ในใจเขายังหวั่นเกรงหรงจิ่ว เขาไม่เคยคิดที่จะต่อกรกับน้องชายคนนี้ตั้งแต่แรก
เพราะเขารู้ดีว่าหรงจิ่วมีความสามารถโดดเด่นมีคุณงามความดีเป็นที่ประจักษ์จนตกเป็นที่น่าหวาดระแวง แม้กระทั่งเสด็จพ่อยังมีความคิดที่จะจัดการเรื่องนี้จึงรั้งให้หรงจิ่วอยู่ในเมืองหลวงใกล้ตัวนานๆ นั้นก็เพื่อต้องการลดอำนาจในการควบคุมกองทัพซีเป่ยของหรงจิ่ว
เขานั่งอยู่บนภูเขามองเสือสู้กัน เขาจะหาเหาใส่หัวทำไม
หรือว่า…หรงซิวร่วมมือกับหรงจิ่ว!
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ สีหน้าของหรงจิ้นก็ยิ่งดูย่ำแย่
ในสายตาของจักรพรรดิจยาเหวิน การที่เขาเปลี่ยนสีหน้าเช่นนี้ก็ถือว่ายอมรับแล้ว
“พี่น้องฆ่ากันเอง…เจ้าแน่มาก!”
หรงจิ้นมิอาจโต้แย้งได้เลย เขาจึงพูดอะไรไม่ออก
ในเมื่อหรงจิ่วกล้าทูลฟ้องเช่นนี้ แสดงว่าต้องมีหลักฐานแน่นหนาพอสมควร หากเขาปฏิเสธแล้วรั้นที่จะตามสืบต่อไป เขาจะต้องทำให้ตัวเองเดือดร้อนแน่ๆ
และเขามิสามารถบอกไปว่าอันที่จริงเป้าหมายของเขาคือหรงซิว มิฉะนั้นผลที่ตามมาจะยิ่งรุนแรงมากขึ้น!
หลังจากคิดทบทวรเรื่องนี้แล้ว หรงจิ้นจึงต้องกัดฟันและยอมรับมัน!
“ลูกผิดไปแล้ว…ลูกแค่ต้องการทดสอบความแข็งแกร่งของหริงจิ่ว ไม่ได้มีเจตนาฆ่า เสด็จพ่อโปรดเมตตาลูกด้วย เพราะความคิดชั่ววูบจึงก่อความผิดอันใหญ่หลวง เสด็จพ่อโปรดลงโทษลูกด้วย!”
จักรพรรดิจยาเหวินจ้องมองเขาด้วยสายตาที่หนักอึ้ง
…
เวลาของการฝึกฝนช่างผ่านไปรวดเร็ว
ในชั่วพริบตา ฉู่หลิวเยว่ก็เข้ามาอยู่ในสำนักได้ห้าวันแล้ว
ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา นางค่อยๆ ปรับตัวให้เข้ากับวิชาต่างๆ ในสำนัก และเริ่มชินกับชีวิตในรั้วสำนักมากขึ้น
อันที่จริง ส่วนใหญ่นักเรียนจะเลือกวิชาเรียนด้วยตัวเอง โดยที่อาจารย์ไม่บังคับ
ฉู่หลิวเยว่มีเรียนแค่ไม่กี่วิชา ดังนั้นนางจึงมีอิสระพอสมควร
นอกจากจะไปหอคอยจิ่วโยวเพื่อฝึกฝนทุกวันวันละหนึ่งชั่วยามแล้ว บางครั้งนางก็ต้องเข้าเรียน แต่ส่วนใหญ่ฉู่หลิวเยว่มักจะฝึกในที่พำนักของตัวเองมากกว่า
หลังจากวันแรกผ่านไปก็ไม่เกิดเหตุการณ์เช่นนั้นที่หอคอยจิ่วโยวอีกเลย แต่ฉู่หลิวเยว่ยังคงรู้สึกว่ามีดวงตาคู่หนึ่งที่แอบจ้องนางอยู่ตลอดเวลา
หลังจากพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว นางก็ไม่ได้ไปถามเรื่องนี้กับเยี่ยเหล่าอีก
นางมักจะรู้สึกว่ามันจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับหยดน้ำลึกลับในร่างกายของนาง
ที่สำคัญ หรงซิวก็ไม่ได้มาที่นี่อีก
ในที่สุดฉู่หลิวเยว่ก็กลับไปที่เตียงของนางเพื่อพักผ่อน แต่นางก็ได้กลิ่นหอมเย็นของดอกท้อจางๆ อยู่เสมอและมักจะนึกถึงคนผู้นี้เป็นครั้งเป็นคราว
เดิมทีฉู่หลิวเยว่ต้องการย้ายไปอยู่ห้องข้างๆ พอนึกว่าห้องนี้มีลมหายใจของคนที่มาๆ หายๆ หลงเหลืออยู่ ดูเหมือนว่านางจะหลับอย่างสนิทและรู้สึกปลอดภัย และในที่สุดก็ต้องยอมแพ้
ในวันนี้ ฉู่หลิวเยว่เข้าไปฝึกที่หอคอยจิ่วโยวตามปกติ หลังจากครบหนึ่งชั่วยามนางก็ออกไป
…
ตอนที่นางเดินออกมา นางก็บังเอิญเจอมู่หงอวี๋พอดี
ฉู่หลิวเยว่พยักหน้าทักทาย แต่นางไม่คิดว่ามู่หงอวี๋จะเดินตามมา
“ข้าได้ยินว่าเจ้ามาฝึกพลังที่นี่ทุกวันเลยหรือ”
ฉู่หลิวเยว่หัวเราะเบาๆ
“เจ้าได้ยินมาไม่น้อยเหมือนกันนี่”
“จริงหรือ ทำไมเจ้าฟุ่มเฟือยจัง!”
มู่หงอวี๋พูดเสียงหลง ดวงตาฉายแววอิจฉาอย่างปิดไม่มิด
“ก็จริง เจ้ามีเวลาตั้งสิบเก้าชั่วยาม ต่อให้เจ้ามาทุกวันก็ยังเป็นเวลาตั้งครึ่งเดือน จะไปเหมือนข้าซะที่ไหน เหนื่อยมาแทบตายหามาได้แค่สองชั่วยามเอง ข้ายิ่งต้องประหยัด!”
หัวใจของฉู่หลิวเยว่กระตุกวูบ
“เวลาฝึกพลังที่หอคอยนี้หามาได้อย่างไร”
“เจ้าไม่รู้หรือ ก็จริง เจ้าเพิ่งเข้าเรียนจะไม่รู้เรื่องพวกนี้ก็ไม่แปลก วิธีการหาเวลาฝึกมีมากมาย ต่อไปข้าจะค่อยๆ อธิบายให้เจ้าเข้าใจเอง! แต่ว่าข้าขอถามเจ้าหน่อย จับสัตว์อสูรคลุ้มคลั่งใกล้จะมาถึงแล้ว เจ้าจับกลุ่มกับใครหรือ”