ภาคที่ 2 บทที่ 100 ซื้อ

มู่หนานจือ

“นั่นน่ะสิขอรับ” หลิวตงเยว่เอ่ย “ครอบครัวนั้นมีภูมิลำเนาเดิมอยู่ที่ซานตง สกุลก่วน ค้าขายหนังสัตว์กับไข่มุกตะวันออกมาสิบกว่าปีแล้ว สองปีนี้ค้าขายไม่ดี บวกกับอายุมากแล้วก็อยากกลับไปบ้านเกิด จึงขายบ้านหลายหลังที่ปกติไม่ค่อยได้ใช้แต่ยังต้องดูแลอยู่ไปหมดแล้ว บ้านที่พวกเราอาศัยค้างคืนก็เป็นหลังหนึ่งในนั้น…กระหม่อมเข้าไปดูแล้ว ใหญ่กว่าบ้านของราชเลขาธิการเหยียนสองสามเท่า และสร้างน้ำพุร้อนไว้อย่างดี ส่วนที่ผุดออกมาจากใต้ดินก็สร้างไว้ในบ้าน ส่วนที่ไหลลงมาจากลำธารเล็กๆ ระหว่างภูเขา หมอกแน่นหนา เหมือนดินแดนเซียน และราคายังถูกกว่าของราชเลขาธิการเหยียนครึ่งหนึ่งด้วย…”

“ถูกกว่าของราชเลขาธิการเหยียนมากขนาดนั้นเชียว?” ไทฮองไท่เฟยเอ่ยอย่างประหลาดใจ “พวกเขารู้ว่าท่านหญิงอยากได้บ้านหลังนี้หรือเปล่า?”

“ไม่ขอรับ” หลิวตงเยว่เอ่ย “เพราะราชเลขาธิการเหยียนชื่อเสียงโด่งดัง พอทุกคนได้ยินว่าราชเลขาธิการเหยียนจะขายบ้าน ขุนนางที่มีภูมิลำเนาอยู่เจียงหนานมากมายต่างก็พากันไปดู ทางเจียงหนานมีคนรวยเยอะ ราคาก็ขึ้นตลอด…”

เจียงเซี่ยนเลิกคิ้ว

ไทฮองไทเฮายิ้มพลางพยักหน้า และถามถึงบ้านของสกุลก่วน “หากเจ้าเห็นว่าเหมาะสมก็ซื้อไว้ ถ้าเป่าหนิงเห็นแล้วไม่พอใจก็แค่ซื้อใหม่ ถึงอย่างไรปีนี้ก็แช่น้ำพุร้อนไม่ได้แล้ว เจ้าจัดการไปตามสมควรแล้วกัน ส่วนเงินสำหรับซื้อบ้านนี้ เดี๋ยวเจ้าบอกฟางหลิง ให้นางนำตราประทับของฮองเฮาไปที่กรมวัง ให้กรมวังมอบเงินนี้ให้ เขียนชื่อของท่านหญิง…”

“เสด็จยาย” เจียงเซี่ยนคิดว่าเอาของที่ตนเองใช้ประจำไปก็พอแล้ว อย่างอื่นก็ไม่ใช่ว่านางไม่มีเงินเสียหน่อย ทำไมจะต้องเอาเปรียบจ้าวอี้เล็กๆ น้อยๆ ด้วย “หักจากในคลังส่วนตัวของหม่อมฉันดีกว่าเพคะ! หลายปีนี้เงินเดือนของหม่อมฉันก็ไม่ค่อยได้ใช้นัก”

นางใช้คลังส่วนตัวของไทฮองไทเฮามาตลอด

“ก็ถือว่ายายมอบให้เจ้า” ไทฮองไทเฮาเอ่ยพลางยิ้มอย่างไม่ใส่ใจนัก “เรื่องนี้เจ้าก็ไม่ต้องยุ่งแล้ว ลองคิดดูว่ายังต้องการอะไรอีก แล้วบอกให้ยายฟังหน่อย ยายตัดสินใจให้เจ้า”

ชาติก่อนเจียงเซี่ยนอยู่ในวังฉือหนิงนี้ตั้งแต่เกิดจนตาย ไปใช้ชีวิตข้างนอก นางก็ไม่รู้ว่าตนเองจะปรับตัวได้หรือไม่ จึงแอบรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย ทว่านางไม่ใช่เด็กสาวที่ยังไม่เข้าพิธีปักปิ่น จริงๆ เรื่องบางเรื่องนางจำเป็นต้องเอาชนะด้วยตนเอง และกอบกู้ฐานะของตนเองใหม่

“ยังคิดไม่ออกเพคะ” การให้รางวัลของเหล่าผู้อาวุโสเป็นความรักและการปกป้อง นางไม่อยากให้ท่านยายกังวลหรือเสียใจ จึงยิ้มพลางเอียงศีรษะเอ่ยว่า “ไว้หม่อมฉันคิดได้แล้ว ค่อยทูลเสด็จยายเพคะ”

ไทฮองไทเฮายิ้มตาหยีและพยักหน้า พลางเอ่ยว่าหลิวตงเยว่ทำงานดี และให้รางวัลเขาเป็นเงินสิบตำลึงกับผ้าสำหรับตัดเสื้อผ้าใส่ในฤดูใบไม้ผลิสองสามชิ้น

แม้ของจะไม่มาก แต่นี่เป็นเรื่องที่เป็นเกียรติที่สุด หลิวตงเยว่ตื่นเต้นจนหน้าแดงไปหมดแล้ว หลิวเสี่ยวหม่านก็เข้ามาคำนับขอบคุณไทฮองไทเฮาเช่นกัน

ทุกคนพูดคุยและหัวเราะกันอย่างมีความสุข

จนกระทั่งพวกเจียงเซี่ยนต่างกลับไปพักผ่อนที่ตำหนักของตนเองแล้ว ไทฮองไทเฮายังชวนเมิ่งฟางหลิงคุยอย่างอารมณ์ดีมาก “ข้าจำได้ว่าที่ต้าซิงมีที่นาของราชสำนักอยู่ผืนหนึ่ง พื้นที่หกร้อยกว่าหมู่[1] พรุ่งนี้เจ้าไปกรมวัง อย่างแรกคุมให้พวกเขามอบเงินสำหรับซื้อบ้านให้เป่าหนิงให้หลิวตงเยว่ อย่างที่สองดูว่าบ้านหลังนี้อยู่ที่ไหนกันแน่ ยังมีบ้านที่เหมาะสมอีกหรือไม่ ข้าอยากซื้อของให้เป่าหนิงนิดหน่อย แล้วก็ฝ่าบาท พรุ่งนี้หลังจากเจอฮูหยินเป่ยติ้งโหวแล้ว ให้ฝ่าบาทเสด็จมาหน่อย เรื่องของคนสกุลฟางข้าไม่ยุ่งแล้ว แต่จะเลิกแล้วกันไปแบบนี้ก็ไม่ได้เช่นกัน ข้าอยากให้ฝ่าบาทรับรองบรรดาศักดิ์ของเป่าหนิงแล้ว…”

ตั้งแต่ราชวงศ์นี้ก่อตั้งแคว้นใหม่ องค์หญิงก็มีแต่บรรดาศักดิ์กับเงินเดือน และไม่ได้เสวยสุขกับที่ดินที่ฮ่องเต้พระราชทานให้อีก

ท่านหญิงก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงแล้ว

เมิ่งฟางหลิงตกใจเป็นอย่างมาก รู้ว่าไทฮองไทเฮากำลังเตรียมให้เจียงเซี่ยนออกเรือน

นางอดที่จะลอบถอนหายใจไม่ได้ คิดว่าก่อนหน้านี้ไทฮองไทเฮาไม่ได้เตรียมการให้ท่านหญิงแม้แต่นิดเดียว นางจึงเดาว่าไทฮองไทเฮายังอยากให้ท่านหญิงอยู่ในวัง เพียงแต่ยังไม่วางใจเฉาไทเฮาและไม่ชอบตระกูลเฉา บางทีอาจจะเพียงแค่คิด…ตอนนี้เริ่มเตรียมสินเดิมให้ท่านหญิงแล้ว อย่างนั้นก็คงจะไม่ให้อยู่ในวังหลวงแล้วอย่างแน่นอน

ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าดีหรือไม่ดี…

ถึงอย่างไรท่านหญิงก็เติบโตในวังฉือหนิง ท่าทางมากมายของนางเหมือนชนชั้นสูงในวัง

โดยเฉพาะอย่างยิ่งสองสามเดือนนี้ ที่เหมือนเป็นพิเศษ…

เมิ่งฟางหลิงยิ้มพลางตอบว่า “เพคะ” และดูแลให้ไทฮองไทเฮานอนลง

เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น ฮูหยินเป่ยติ้งโหวก็เข้าวัง

ไทฮองไทเฮายังรับประทานอาหารเช้าอยู่ พอได้ยินก็แปลกใจมาก และให้คนนำของว่างไปให้นางสักสองสามอย่าง พลางเอ่ยว่า “คงจะไม่ได้กินอาหารเช้ามาด้วยซ้ำ”

ไทฮองไท่เฟยที่รับประทานอาหารเช้าเป็นเพื่อนไทฮองไทเฮาก็ยิ่งกังวลมากขึ้น นางกินอาหารเช้าอย่างยากลำบาก แล้วรีบตามไทฮองไทเฮาไปที่ตำหนักข้าง และให้คนเชิญฮูหยินเป่ยติ้งโหวเข้ามา

ฮูหยินเป่ยติ้งโหวสวมเสื้อกันหนาวแขนยาวที่มีซับในสีแดงเข้ม และสวมมงกุฎไก่ป่าหางยาวที่มีเมฆสีเขียวยี่สิบสี่ก้อน แม้บนหน้าจะทาแป้งหนามากก็ไม่อาจปิดบังสีน้ำเงินอมเขียวในดวงตาได้

นางคุกเข่าลงตรงหน้าไทฮองไทเฮาและปิดหน้าร้องไห้เสียงเบา “ไทฮองไทเฮา ไทฮองไท่เฟย ต้องช่วยจ่างจูของพวกเรานะเพคะ! เฉาไทเฮาส่งคนมา อยากสู่ขอจ่างจูของพวกเราให้เฉิงเอินกงเพคะ…”

“เจ้าว่าอย่างไรนะ?” ไทฮองไทเฮากับไทฮองไท่เฟยต่างตกตะลึง และมองหน้ากันเลิ่กลั่ก

ฮูหยินเป่ยติ้งโหวร้องไห้หนักกว่าเดิม ทว่าคิดถึงกฎของวังก็ไม่กล้าส่งเสียง เสียงร้องไห้นั้นยังคงฟังดูเศร้าสร้อย “พวกเราทุกคนต่างคาดไม่ถึง ก่อนหน้านี้จิ้นอันโหวก็คิดจะสู่ขอจ่างจูเช่นกัน แต่จ่างจูยังไม่ได้เข้าพิธีปักปิ่น หม่อมฉันกับท่านโหวยังปรึกษากันอยู่ในบ้านว่าจะซื้อสินเดิมอะไรให้จ่างจูบ้างดี…จู่ๆ เฉาไทเฮาก็ส่งคนมาเป็นแม่สื่อ หม่อมฉันกับท่านโหวต่างทำอะไรไม่ถูก ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี…เมื่อวานท่านโหวไปพบชินเอินป๋อแล้ว ตอนนี้ไปพบเจิ้นกั๋วกงแล้วเพคะ…”

ไทฮองไทเฮากับไทฮองไทเฮาเพิ่งจะตั้งสติได้

เดิมทีไทฮองไท่เฟยก็ไม่ได้เยือกเย็นเท่าไทฮองไทเฮาอยู่แล้ว เมื่อบวกกับเป็นเรื่องของครอบครัวตนเองอีกก็ยิ่งร้อนใจ นางจึงเอ่ยอย่างเกินหน้าที่ไป โดยไม่รอให้ไทฮองไทเฮาเอ่ยปากถามว่า “เฉาไทเฮาส่งใครมาเป็นแม่สื่อ? บอกว่าจะสู่ขอจ่างจูเลยหรือแค่มาสอบถามความเห็น? จิ้นอันโหวสู่ขอให้ลูกชายคนไหนของเขา? ทั้งสองครอบครัวปรึกษาและตกลงกันเรียบร้อยแล้วแค่รอให้จ่างจูผ่านพิธีปักปิ่นหรือว่าตระกูลไช่แค่ขอให้คนกลางมาบอกเป็นนัย?”

ฮูหยินเป่ยติ้งโหวได้ยินก็รีบล้วงผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดน้ำตาบนหน้า และสะอึกสะอื้นพลางเอ่ยว่า “สองสามวันก่อน ตระกูลไช่ขอให้ฮูหยินอันกั๋วกงมาสอบถามความเห็นของพวกเรา บอกว่าจะสู่ขอให้ซื่อจื่อของพวกเขา ท่านโหวบอกว่าจ่างจูของพวกเราเติบโตที่วังฉือหนิง เรื่องแต่งงานอย่างไรก็ต้องถามความเห็นของไทฮองไทเฮากับไทฮองไท่เฟย จึงให้หม่อมฉันบอกฮูหยินอันกั๋วกงไปแบบนี้ ซึ่งฮูหยินอันกั๋วกงก็คิดว่าทำแบบนี้จะเหมาะสมกว่าเช่นกัน ท่านโหวจะให้หม่อมฉันทูลต่อหน้าไทฮองไทเฮาและไทฮองไท่เฟยตอนที่เข้าวังช่วงเทศกาลตรุษจีน ใครจะรู้ว่า…”

นางพูดไปก็ร้องไห้ขึ้นมาอีก

มองออกว่า นางอยากเกี่ยวดองกับจวนจิ้นอันโหวมาก

ไทฮองไทเฮาก็คิดว่าซื่อจื่อจิ้นอันโหวเป็นตัวเลือกที่ดีเช่นกัน ทว่าเห็นฮูหยินเป่ยติ้งโหวเอาแต่ร้องไห้อย่างลนลานจนไม่รู้จะทำอย่างไรดีแบบนี้ก็ทำหน้าคาดไม่ถึง

ไทฮองไท่เฟยรู้นิสัยของไทฮองไทเฮา จึงเตือนฮูหยินเป่ยติ้งโหวว่า “เวลานี้แล้ว ร้องไห้ไปมีประโยชน์หรือ? เจ้ารีบเล่าเรื่องนี้ให้ไทฮองไทเฮาฟังอย่างชัดเจนเสียดีๆ”

ไม่อย่างนั้นเรื่องราวก็คงยุ่งยาก…แม้ว่าเฉาไทเฮาจะถูกบีบบังคับให้ถอยกลับมาอยู่วังหลัง ทว่านี่เพิ่งจะไม่กี่วัน อิทธิพลยังคงอยู่ ฮ่องเต้ไม่มีทางที่จะลดเกียรติของเฉาไทเฮาด้วยเรื่องเล็กน้อยแบบนี้อย่างแน่นอน

ฮูหยินเป่ยติ้งโหวก็แลดูเข้าใจเช่นกัน นางเอ่ยอย่างกังวลว่า “เฉาไทเฮาขอให้ฮูหยินของราชเลขาธิการเหยียนมาสู่ขอ เอาวันเดือนปีและเวลาเกิดของเฉิงเอินกง…”

——————