‘สาม: แล้วพรรคฟ้าดินนั่นมันเรื่องอะไรอีก’

‘เก้า: พรรคฟ้าดินเป็นลัทธินอกรีต อยากได้ของวิเศษของนิกายปฐพีของเรามานานแล้ว เฮอะๆ ของวิเศษนี้เรียกอีกอย่างว่าหนังสือปฐพี สามารถส่งข้อความได้พันลี้ เมื่อไม่นานมานี้ข้าได้รับข้อความขอความช่วยเหลือจากศิษย์พี่จินเหลียน รู้ว่าเขาไปที่เมืองหลวงแห่งต้าฟ่ง เพราะมีเพียงการเข้าไปในเมืองหลวงเท่านั้นถึงจะหลบหนีการไล่ล่าของพรรคฟ้าดินได้ แต่เมื่อข้ารีบไปที่เมืองหลวงกลับสูญเสียวิธีการติดต่อกับศิษย์พี่จินเหลียนไป จึงส่งข้อความผ่านทางหนังสือปฐพี ถึงได้รู้ว่าเขามอบ ‘หนังสือปฐพี’ ให้เจ้าแล้ว คาดว่าสถานการณ์ของศิษย์พี่จะต้องวิกฤตอย่างยิ่งแน่ ถึงได้จำเป็นต้องละทิ้งหนังสือปฐพีเพื่อรักษาชีวิตรอด’

เวรล่ะ…หมายความว่าโยนหม้อมาให้ข้าหรือ!

สวี่ชีอันทึมทื่อไปแล้ว

‘เก้า: เพียงแต่ไม่รู้ว่าเจ้าเป็นผู้ทรงศักดิ์ของฝ่ายใด ถึงได้ทำให้ศิษย์พี่จินเหลียนวางใจมอบหนังสือปฐพีให้เจ้า’

ข้าเป็นแค่มือปราบเล็กๆ คนหนึ่ง ไม่สิ ข้าคือหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลตัวน้อยๆ เท่านั้น…สวี่ชีอันใจเย็นวาบไปแล้วครึ่งหนึ่ง

‘สาม: เหตุใดถึงละทิ้งหนังสือปฐพีเพื่อเอาตัวรอดหรือ คนของพรรคฟ้าดินสามารถจับตำแหน่งของหนังสือปฐพีได้หรือ’

สวี่ชีอันผู้เชี่ยวชาญด้านการวิเคราะห์เหตุผลจับประเด็นนี้ได้อย่างเฉียบคม

‘เก้า: เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความลับของนิกายปฐพีของอาตมา จึงมิอาจบอกได้ หนังสือปฐพีคือสมบัติประจำนิกาย หวังว่าเจ้าจะสามารถมอบให้อาตมาได้ อาตมาจะขอบคุณอย่างยิ่ง’

‘สาม: ได้ จะส่งคืนให้อย่างไร’

สวี่ชีอันรู้สึกไม่เต็มใจอยู่สักหน่อย ถึงอย่างไรนี่ก็คือสมบัติที่สามารถใช้เป็นแหวนมิติเก็บของได้เชียวนะ แต่พอพิจารณาถึงความเสี่ยงที่มาพร้อมกับมัน เขาก็เลือกตัดใจ

‘เก้า: อาตมาอยู่ในเมืองหลวง สามารถไปหาเจ้าได้ทุกเมื่อ ถ้าหากเจ้าไม่เชื่อสามารถเลือกสถานที่แลกเปลี่ยนเองได้ อืม เจ้าต้องการสิ่งใดหรือ’

ผู้หญิง ข้าต้องการผู้หญิงร้อนแรง…สวี่ชีอันเกือบจะโพล่งออกมา

‘สาม: ท่านนักบวชเกรงใจแล้ว ส่งของกลับสู่เจ้าของเดิมเป็นความรับผิดชอบที่ข้าน้อยสมควรทำ เพียงแต่ตอนนั้นนักบวชจินเหลียนผู้นั้นพูดกับข้าน้อยว่านี่คือสมบัติฟ้าดิน และนำมาขายให้ข้าในราคาห้าร้อยตำลึงทอง ข้าน้อยมิได้ร้องขอเงินทอง เพียงแต่สมบัติกลับสู่เจ้าของเดิม ทองคำก็ย่อมต้องกลับสู่เจ้าของเดิมเช่นกัน แลกเปลี่ยนอย่างเท่าเทียมน่ะ ใช่หรือไม่’

‘เก้า: …แต่เดิมก็ควรเป็นเช่นนั้น’

สวี่ชีอันเก็บกระจก แล้วผล็อยหลับไปพร้อมกับกอดความฝันอันงดงามเรื่องเงินห้าร้อยตำลึงทอง

วันรุ่งขึ้น เขาเปลี่ยนเป็นชุดเครื่องแบบของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล แขวนป้ายห้อยเอวและดาบพก ผูกฆ้องที่เปลี่ยนมาใหม่เมื่อวานไว้ที่หน้าอก

จากนั้นก็ข้ามกำแพงไปกินข้าวเช้าที่บ้านอารอง

เมื่อออกจากจวนสกุลสวี่ เขาก็รับบังเหียนม้ามาจากเหล่าจางคนเฝ้าประตู จากนั้นสวี่ชีอันจึงขี่ม้าไปยังที่ว่าการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลในเมืองชั้นใน

ม้าตัวนี้เป็นพาหนะของอารอง แต่ตอนนี้เป็นของสวี่ชีอันแล้ว แน่นอนว่าสวี่ชีอันได้ให้เงินอารองไปห้าสิบตำลึงเงินเพื่อปิดปากอาสะใภ้เรียบร้อย

มันเป็นเรื่องที่ไม่มีทางเลือก ที่ว่าการของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลอยู่ในเมืองชั้นใน ห่างจากจวนสกุลสวี่มากเกินไป หากสวี่ชีอันเดินเท้าล่ะก็ กว่าจะถึงที่ว่าการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลก็ใกล้จะได้กินข้าวกลางวันแล้ว

เขารีบขี่ม้าไปยังที่ว่าการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล ก้าวเข้าไปในห้องชุนเฟิง หลี่อวี้ชุนกำลังดื่มชากับฆ้องเงินคนหนึ่ง

“ลูกน้องคนใหม่ของเจ้าหรือ” เมื่อฆ้องเงินผู้นั้นเห็นว่าเป็นคนแปลกหน้าก็เอ่ยถามออกมา

“อืม” หลี่อวี้ชุนพยักหน้า

“อยู่ระดับอะไร” ฆ้องเงินถาม

หลี่อวี้ชุนไม่รอให้สวี่ชีอันเอ่ยปาก เขาก็รีบบอก “ระดับอี่[1]”

ฆ้องเงินค่อนข้างประหลาดใจ เขาเอ่ยชื่นชม “ไม่เลวๆ หน่วยงานราชการต้องการคนหนุ่มมีศักยภาพเช่นนี้ ในอนาคตพวกเจ้าก็จะเป็นผู้แบกงานหนักของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลแล้ว”

ประโยคหลังพูดให้สวี่ชีอันฟัง

สวี่ชีอันโค้งคำนับด้วยความเคารพแล้วจึงกล่าวจุดประสงค์การมา “หัวหน้า ข้าอยากไปที่คลังเอกสารขอรับ”

เขาทั้งไม่รู้ว่าคลังเอกสารอยู่ที่ไหน และยังไม่รู้การจำกัดสิทธิ์การเข้าถึงด้วย

“ต่อไปถ้ามีคำถามอะไรสามารถไปหาเจ้าหน้าที่โดยตรงได้เลย” หลี่อวี้ชุนกล่าว

“เข้าใจแล้วขอรับ” สวี่ชีอันถอยออกมาจากห้องชุนเฟิง

หัวหน้ากำลังพูดคุยติดลมอยู่ ในฐานะผู้ใต้บังคับบัญชาหากไม่มีเรื่องสำคัญไม่อาจไปรบกวนได้ จุดนี้มีราคาที่ต้องจ่าย

เมื่อจับตัวเจ้าหน้าที่คนหนึ่งมาสอบถามว่าคลังเอกสารอยู่ที่ไหน สวี่ชีอันก็มาถึงอาคารใหญ่แห่งหนึ่ง

เขามอบป้ายห้อยเอวให้กับเจ้าพนักงานชุดดำ หลังจากรับไปและยืนยันว่าถูกต้องก็มอบคืนให้กับสวี่ชีอันพร้อมกล่าว

“คลังเอกสารแบ่งเป็นสี่คลังคือ เจี่ย อี่ ปิ่ง ติง ฆ้องทองแดงสามารถตรวจสอบเอกสารได้แค่คลังตัวอักษรติงเท่านั้นขอรับ”

สวี่ชีอันใคร่ครวญดูแล้วเอ่ยถาม “ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าข้อมูลที่ข้าต้องการตรวจสอบอยู่ในคลังของเขตไหน”

เจ้าพนักงานชุดดำเอ่ยพร้อมรอยยิ้มท่าทางนอบน้อม “ไปคลังตัวอักษร ‘ติง’ ขอรับ”

‘เจี่ย อี่ ปิ่ง ติง’ ทั้งสี่คลังนี้ ติงคือชั้นฐานและใหญ่ที่สุด นี่เป็นไปตามกฎพีระมิด

ยิ่งเป็นเอกสารลับเท่าไร ก็ยิ่งมีจำนวนน้อย

สวี่ชีอันเข้าไปยังคลัง ‘ติง’ เมื่อมาถึงด้านหน้าโต๊ะต้อนรับก็กล่าวว่า “ข้าอยากได้ข้อมูลเรื่องลัทธิเต๋า”

เจ้าพนักงานที่อยู่หลังโต๊ะต้อนรับพลิกหนังสือพับเล่มหนา ตรวจสอบอยู่ครู่หนึ่งก็เงยหน้าขึ้นกล่าว “ใต้เท้า โปรดรอสักครู่”

เขาเข้าไปยังส่วนในของคลังเอกสาร

ไม่นาน เจ้าพนักงานชุดดำก็ถือตำราม้วนหนึ่งออกมาพร้อมกับรับป้ายห้อยเอวของสวี่ชีอันไปแล้วยื่นหนังสือมาให้

สวี่ชีอันกล่าว “ขอชาร้อนหนึ่งถ้วย”

จากนั้นก็หันกายไปยังห้องโถงด้านข้างที่มีโต๊ะตั้งอยู่แล้วพลิกอ่านข้อมูลของลัทธิเต๋า

ที่มาของลัทธิเต๋ามาจากปรมาจารย์เต๋า อายุของปรมาจารย์เต๋าไม่อาจตรวจสอบได้ ตามตำนานบอกว่าปรมาจารย์เต๋าเป็นผู้วิเศษในสมัยโบราณ หนึ่งปราณของเขาแยกเป็นสามวิสุทธิ์ อันได้แก่ เทพปกครองสวรรค์ ศาสดาแห่งเต๋า และรัตนะผู้วิเศษ

สอดคล้องกับองค์ประกอบสามอย่างคือ สวรรค์ ปฐพี และมนุษย์

นี่ก็คือที่มาของสามนิกาย ‘สวรรค์ ปฐพี มนุษย์’ ของลัทธิเต๋า

สองนิกายในนั้นอย่างสวรรค์และมนุษย์เปรียบเสมือนน้ำกับไฟ ล้วนอวดอ้างว่าตนเป็นลัทธิเต๋าสายตรง แทบจะรอตบตีกับอีกฝ่ายไม่ได้

นิกายปฐพีนั้นเฉยเมยมากที่สุด รูปแบบของนิกายก็เก็บงำไม่เปิดเผยอย่างยิ่ง ไม่แข่งชื่อเสียงไม่รับผลประโยชน์ สำหรับคนที่ไม่รู้จักจะคิดว่าลัทธิเต๋ามีเพียงสวรรค์และมนุษย์สองนิกายเท่านั้น

เป็นปลาเค็ม[2]เสียจนปวดใจ

‘คาดว่าปีนี้ความขัดแย้งด้านการแข่งขันของสายเต๋าจะใหญ่ที่สุด’ สวี่ชีอันเสริมหนึ่งประโยคในใจเงียบๆ ว่า พวกพี่สาวนั้นไร้พ่ายที่สุดแล้ว

เมื่ออ่านต่อไป เขาก็พบว่า ‘นิกายปฐพี’ ทำตัวเป็นปลาเค็มอย่างมีเหตุผล

นิกายปฐพีบูชาศาสดาแห่งเต๋า บำเพ็ญกุศลคุณธรรมนับไม่ถ้วน พวกเขาท่องไปทั่วหล้า ประพฤติตัวเก็บงำ ปิดทองหลังพระ เมื่อได้รับบุญกุศลแล้วก็จากไป

บุญกุศล… สวี่ชีอันขมวดคิ้วครุ่นคิด

ในแง่หนึ่งบุญกุศลก็คล้ายคลึงกับโชค ผู้คนมักพูดว่าสร้างกุศลสะสมบุญ คนดีมักได้รับผลตอบแทน

บุญกุศลหมายถึงโชคดี ซึ่งโชคดีและโชคก็คือสิ่งเดียวกัน

ดังนั้นนักบวชเฒ่าของนิกายปฐพีผู้นั้นถึงได้มองเห็นจุดพิเศษของข้าอย่างนั้นหรือ รู้ว่าข้าคือเจ้าพ่อแห่งความโชคดีที่มีดาวนำโชครายล้อมถึงได้โยนเผือกร้อนมาให้ข้าอย่างสบายใจเช่นนี้…แม่มันเถอะ เจ้าไม่ใช่ต้องบำเพ็ญบุญกุศลหรอกเรอะ แล้วทำไมถึงได้ทำเรื่องไร้คุณธรรมแบบนี้…

สวี่ชีอันส่อเสียดอยู่ในใจ

ด้วยเหตุนี้เขาจึงเริ่มเชื่อมโยงว่าโชคแปลกประหลาดในตัวเขาก็คือบุญกุศลอย่างหนึ่ง

แต่บรรพบุรุษทั้งสิบแปดรุ่นของสกุลสวี่ล้วนเป็นชาวบ้านตัวเล็กๆ ทั้งนั้น มีรุ่นของอารองที่ดีขึ้นเล็กน้อย อีกทั้งสองพี่น้องก็ยังเป็นพวกสมควรตายที่มักจะมือถือมีดทำครัวตัดสายไฟ ทำให้มีประกายไฟและฟ้าผ่ามาตลอดทาง[3]

เรื่องดีๆ ไม่ได้ทำสักเท่าไร แต่กลับฆ่าคนไปไม่น้อยในสนามรบ

ตอนนี้เองเจ้าพนักงานก็นำชาร้อนที่ชงเรียบร้อยแล้วเข้ามาแล้วพูดคุยด้วย “ใต้เท้ากำลังตรวจสอบข้อมูลของนิกายมนุษย์อยู่หรือขอรับ”

ไม่ ข้าตรวจสอบเรื่องนิกายปฐพี…สวี่ชีอันถามกลับ “นิกายมนุษย์หรือ”

“ราชครูของพวกเราก็คือผู้นำเต๋าคนปัจจุบันของนิกายมนุษย์ขอรับ” เจ้าพนักงานกล่าว “ใต้เท้าเว่ยไม่ชอบผู้นำหญิงลัทธิเต๋าคนนั้นมากขอรับ”

ผู้นำหญิงลัทธิเต๋า…อา นักพรตหญิงผู้งดงามในเรื่องเล่านั่นน่ะหรือ

สวี่ชีอันกระจ่างแจ้งโดยพลัน ก่อนหน้านี้รู้แค่ว่าจักรพรรดิองค์ปัจจุบันทรงหมกมุ่นในการฝึกเต๋าและปรารถนาจะเป็นอมตะ ถึงได้แต่งตั้งนักพรตหญิงผู้ราวกับเทพเซียนบนสวรรค์คนหนึ่งไว้เป็นราชครู

ไม่คิดเลยว่าแท้จริงแล้วจะเป็นนิกายมนุษย์!

โหรแห่งสำนักโหราจารย์ นิกายมนุษย์แห่งลัทธิเต๋า หน่วยลาดตระเวนยามวิกาล สำนักศึกษาอวิ๋นลู่ของลัทธิขงจื๊อ ฝ่ายทหารของต้าฟ่ง พรรคพวกขุนนางบุ๋นในราชสำนัก…เมืองหลวงเป็นเหมือนแอ่งน้ำเล็กๆ แต่กลับมีมังกรขดอยู่เต็มไปหมด

มิน่า ‘เก้า’ ถึงบอกว่าคนของพรรคฟ้าดินไม่กล้าเข้ามาในเมืองหลวง

นักบวชจินเหลียน: แน่จริงเจ้าก็ลองเข้ามาสิ

นักฆ่าพรรคฟ้าดิน: ลองเข้าไปก็ตายน่ะสิ

ฮ่าๆๆ…มุมปากของสวี่ชีอันกระตุก กล่าวว่า “เจ้าไปหาข้อมูล ‘พรรคฟ้าดิน’ ให้ข้าหน่อย อืม แล้วก็เรื่องหนังสือปฐพีด้วย เจ้ารู้จักหนังสือปฐพีหรือไม่ สมบัติแห่งฟ้าดิน…เอ่อ ถ้าหากข้าอยากไปที่คลังอักษรเจี่ย อี่ ปิ่งทั้งสามคลัง ควรผ่านช่องทางไหน”

เมื่อเจ้าพนักงานได้ยินก็เอ่ยพร้อมยิ้ม “คลังอักษรอี่และปิ่งเป็นที่สำหรับฆ้องทองคำและฆ้องเงินตามลำดับ ส่วนคลังอักษรเจี่ยจะต้องมีหนังสือลายมือของใต้เท้าเว่ยถึงจะเข้าไปได้ขอรับ แต่ข้อมูลเรื่องพรรคฟ้าดินและหนังสือปฐพีที่ท่านต้องการที่คลังอักษรติงก็มีอยู่ขอรับ”

เมื่อเห็นสวี่ชีอันตะลึงงัน เขาก็อธิบาย “ได้ยินว่าพรรคฟ้าดินเป็นองค์กรในยุทธภพ ส่วนหนังสือปฐพีก็คือของวิเศษโบราณในตำนาน ทั้งสองอย่างล้วนไม่ใช่ความลับอะไร ข้าจะไปตรวจดูในคู่มือ ดูว่าอยู่ที่ใดขอรับ”

พูดจบ เขาก็ไปยังโต๊ะต้อนรับ

สวี่ชีอันจดจ้องเงาหลังของเขา ตะลึงงันไปพักหนึ่งก็เข้าใจ

เขาตกอยู่ในความคิดผิดๆ คิดว่ายิ่งโบราณมากเท่าไรก็ยิ่งเป็นความลับมากเท่านั้น แต่ความจริงไม่ใช่เลย ของที่ยิ่งโบราณก็ยิ่งไม่มีค่า…เอ่อ ไม่ใช่ปัญหาเรื่องมีค่าไม่มีค่า เพราะของโบราณมีค่ามากอยู่แล้ว แต่เป็นที่ระดับความลับต่างหาก

ความลับที่แท้จริงกลับเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับปัจจุบัน อย่างเช่นข่าวกรองทหาร รูปแบบการป้องกันชายแดน สูตรดินปืน ยุทโธปกรณ์บุกเมือง และผังการต่อเรือ เป็นต้น

ข้าเชื่อว่าต่อไปในคลังอักษรเจี่ยจะมีเอกสารลับเพิ่มอีกหนึ่งฉบับ ชื่อว่า ‘ตำราลับการผสมพันธุ์มนุษย์และสัตว์’

ผู้เขียน ซ่งชิง สวี่ชีอัน

ไม่นาน เจ้าพนักงานก็ค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับ ‘หนังสือปฐพี’ และพรรคฟ้าดินพบ

สวี่ชีอันพลิกอ่านอย่างอดรนทนไม่ไหว พรรคฟ้าดินเกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของตัวเขาเอง เขาเลือกทำความเข้าใจองค์กรนี้ก่อน

ยุทธภพมีองค์กรอยู่มหาศาล สำนักมีอยู่มากมาย ไม่มีอะไรพิเศษควรค่าให้ใส่ใจ

แม้บางส่วนเปิดกิจการสีเทา แต่ก็ล้วนเชื่อฟังและยอมจำนนต่อการควบคุมของราชสำนัก กลุ่มอิทธิพลในยุทธภพที่มีภูมิหลังล้ำลึกเป็นพิเศษบางส่วนก็จะไม่ค่อยจำนนต่อราชสำนักสักเท่าไร

แต่การมีอยู่ของพวกเขาก็มีบทบาทในด้านเสถียรภาพ บางครั้งยังลงมือปราบโจรด้วยตัวเอง

พรรคฟ้าดินก็คือองค์กรหนึ่งในยุทธภพที่ไม่โดดเด่น

บันทึกที่เกี่ยวกับพวกเขาปรากฏขึ้นครั้งแรกสุดเมื่อหกสิบปีก่อน ปีนั้นเกิดภัยแล้งรุนแรงที่อวิ๋นโจว ชาวบ้านลี้ภัยเข้าป่าไปเป็นโจรแล้วปล้นสะดมไปทั่วทุกที่

ภัยธรรมชาติและภัยมนุษย์โหมกระหน่ำ

กลุ่มอิทธิพลของยุทธภพในท้องถิ่นร่วมมือกันปราบโจร พรรคฟ้าดินก็คือหนึ่งในนั้น

“ดูแล้วก็เป็นองค์กรที่ค่อนข้างรักความเป็นธรรมอยู่นะ…อืม บางครั้งคนที่ทำความดีก็ไม่จำเป็นต้องเป็นคนดี ก็เหมือนกับคนทำบุญสุนทานก็ไม่จำเป็นต้องทำบุญสุนทานจากใจจริง”

อาจทำไปเพราะอยากได้ชื่อเสียง…สวี่ชีอันดื่มชาหนึ่งอึกแล้วอ่านต่อ

พรรคฟ้าดินไม่ใช่องค์กรที่มีความกระตือรือร้นเป็นพวกมีนิสัยกึ่งเก็บงำซ่อนเร้น บันทึกที่เกี่ยวข้องจึงมีน้อยมาก

เมื่อสวี่ชีอันอ่านจบก็ไม่ได้ประโยชน์มากนัก

“ไม่ได้ประโยชน์ก็เป็นเรื่องปกติ สามารถกดดันจนยอดฝีมือนิกายปฐพีต้องหนีเข้ามาในเมืองหลวงได้ แสดงว่าเป็นองค์กรที่ยิ่งใหญ่และทรงอานุภาพมาก…องค์กรเช่นนี้สามารถปกปิดเครือข่ายข่าวกรองของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลได้ก็สมเหตุสมผล ข้าควรจะรายงานพี่ชุนเพื่อเติมเต็มคลังเอกสารของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลดีไหมนะ เอ่อ…ช่างมันก่อนเถอะ”

เขาไม่อยากรายงานเรื่องนี้ต่อราชการ ถึงแม้อาจจะแลกมาซึ่งผลงานชิ้นใหญ่ได้ แต่ก็ไม่อาจเทียบกับเงินห้าร้อยตำลึงทองได้เลย

สมบัติเช่นหนังสือปฐพีนี้เป็นสิ่งที่ทุกคนอิจฉาตาร้อน ถ้าหากฆ้องทองคำคนใดถูกใจแล้วให้ข้าส่งไปยังคลังหลวงโดยตรงละก็…

สวี่ชีอันปิดหนังสือพับ แล้วเปิดข้อมูลเกี่ยวกับ ‘หนังสือปฐพี’ ขึ้นมา

หนังสือปฐพีเป็นสมบัติแห่งฟ้าดิน ไม่สามารถยืนยันที่มาได้ รู้เพียงแค่เป็นมรดกตกทอดของปรมาจารย์เต๋าผู้ไม่อาจตรวจสอบยุคสมัยที่ปรากฏตัวได้ผู้นั้น

ในข้อมูลถึงขนาดไม่ได้กล่าวถึงความสามารถของหนังสือปฐพีด้วยซ้ำ

แต่ก็มีข้อสังเกตอย่างหนึ่ง บอกว่าสมบัติโบราณประเภทนี้ส่วนมากกำเนิดมาจากฟ้าดิน กำลังมนุษย์ไม่อาจหลอมขึ้นได้

พวกมันมีคุณสมบัติร่วมกันคือ หยดเลือดจดจำเจ้าของ

หยดเลือดจำเจ้าของ…สวี่ชีอันเอ่ยในใจว่าข้ารู้จักวิธีนี้ พูดไปพูดมาที่แท้ก็คือการหยดเลือดจำเจ้าของนั่นเอง

อาวุธเวทมนตร์ที่ซ่งชิงมอบให้เขาอย่างฆ้องหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลนั้น ต้องการเพียงอัดพลังปราณเข้าไปก็ใช้งานได้แล้ว ไม่มีความคิดว่าจะต้องจดจำเจ้าของ ลักษณะของพวกมันก็คือเครื่องมือ ตกอยู่ในมือใครก็สามารถใช้งานได้หมด

สวี่ชีอันจึงคิดว่าการหยดเลือดจำเจ้าของนั้นไม่มีจริงอยู่ในโลกใบนี้

เขาหยิบกระจกหยกออกมาจากอกเสื้อแล้ววางไว้บนโต๊ะ ชักดาบพกออกจากฝักสองชุ่นแล้วกดท้องนิ้วกับคมดาบเบาๆ

เลือดสีแดงสดไหลออกมาทันที สวี่ชีอันป้ายมันลงบนผิวของกระจกหยก

เลือดที่ป้ายไปคงอยู่ที่ผิวกระจกชั่วครู่ จากนั้นก็ค่อยๆ เลือนหาย ถูกกระจกดูดซับไป

จากนั้น ภาพตรงหน้าของสวี่ชีอันก็พร่าเลือน หนังสือ โต๊ะ ถ้วยชา ทุกภาพล้วนจางลง แล้วแทนที่ด้วยความวุ่นวายสับสน

ท่ามกลางความโกลาหลนั้น เขามองเห็นแสงแปดดวงแขวนอยู่ท่ามกลางโลกอันโกลาหลนี้

จุดแสงทั้งแปดนี้เป็นสัญลักษณ์ของกระจกบานอื่นๆ อย่างนั้นหรือ พอรวมข้าเข้าไปด้วย ก็เป็นเก้ากระจกพอดี…สายตาของสวี่ชีอันกวาดมองไป พยายามตามหา ‘เก้า’

แต่เขาไม่รู้ว่าหมายเลขเก้าคือจุดแสงดวงไหน

อืม…กดเพิ่มเพื่อนตามใจแล้วกัน!

สวี่ชีอันยกมือขึ้นลองชี้ไปที่จุดแสงที่อยู่ใกล้เขาที่สุด

จุดแสงดวงนั้นกระเพื่อมราวกับคลื่นน้ำทันที ระลอกคลื่นกระจายไปทั่วทั้งโลกอันโกลาหลผืนนี้

สวี่ชีอันคล้ายกับฝันไป ภาพตรงหน้ากลับมาเป็นเหมือนเดิม เขายังอยู่ในโถงต้อนรับในคลังเอกสารเช่นเดิม ตรงหน้ามีหนังสือพับกับถ้วยชาและกระจกหยกธรรมดาสามัญใบนั้นด้วย

แต่เขารู้ว่านี่ไม่ใช่ความฝัน เพราะหลังจากหยดเลือดจำเจ้าของแล้ว กระจกหยกกับเขาก็มีความสัมพันธ์อันแปลกประหลาดอย่างหนึ่ง

ความรู้สึกเป็นเจ้าของที่ลึกลับอย่างยิ่ง

ตอนนี้เอง ในกระจกก็ค่อยๆ มีตัวอักษรแถวหนึ่งโผล่ขึ้นมา

‘หก: อย่าเชื่อหมายเลขเก้า อย่าตอบกลับ อย่าตอบกลับ อย่าตอบกลับ…’

……………………..

[1] ระดับอี่ คือระดับสองในการทดสอบคุณสมบัติ

[2] ปลาเค็ม คำแสลงในภาษาจีน หมายถึง คนไร้ความสามารถ ไร้ความฝัน ขี้แพ้

[3] มือถือมีดทำครัวตัดสายไฟ ทำให้มีประกายไฟและฟ้าผ่ามาตลอดทาง เป็นบทกวีซึ่งแสดงถึงชีวิตของคนหนุ่มสาวที่รู้หนังสือน้อย