บทที่ 110 ลมตะวันออก

ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน

หลี่ตวนกำลังตรึกตรอง เรื่องนี้ไม่อาจปล่อยไปโดยไม่สนใจได้ ต้องหาคนออกไปสืบดูหน่อย แต่ว่าจะส่งใครไปนั้น เวลานี้เขายังไม่มีตัวเลือกที่เหมาะสม

ครั้งก่อนเพราะเรื่องเว่ยเสี่ยวซาน คนพวกนั้นที่สกุลเขาเคยเลี้ยงเอาไว้ก็ถูกท่านข้าหลวงทังขับไล่ไปแล้ว คนที่เลี้ยงไว้หนีหายไปหมดไม่เท่าไร สกุลเขายังต้องมาถูกพวกคหบดีของเมืองหลินอันกับสกุลเผยจับตามองอีก เขาจึงไม่อาจรับคนเข้ามาใหม่ได้ งานลับๆ ในเรือนจึงไม่มีใครทำ ข่าวสารที่หาได้ก็ไม่รวดเร็วเหมือนแต่ก่อน ทั้งหลายๆ เรื่องก็ต้องชะงักติดขัดไปด้วย

หรือว่า ควรสมัครพรรคพวกที่เป็นคุณชายเสเพลดี?

หลี่ตวนกำลังขบคิดอย่างละเอียดว่าในเมืองหลินอันนี้มีใครเป็นนักเลงที่พอมีหน้ามีตาบ้าง พลันหลินเจวี๋ยก็มาถึงพอดี

เขาลุกยืนขึ้น ทางหนึ่งก็เดินออกไปรับหลินเจวี๋ย อีกทางก็ถามบ่าวรับใช้ที่มาแจ้งข่าวว่า “คุณชายมาคนเดียวหรือว่ามาพร้อมกับผู้อื่นด้วย?”

หลินเจวี๋ยกลับฝูเจี้ยนครานี้เพื่อไปติดต่อคนของสกุลเผิง ไม่รู้ว่าจัดการเรื่องราวเป็นอย่างไรแล้วบ้าง?

เพียงแต่ไม่รอให้บ่าวรับใช้อ้าปากตอบ เขาก็เจอกับหลินเจวี๋ยที่ถูกล้อมหน้าล้อมหลังด้วยบ่าวรับใช้เข้าพอดี

หลินเจวี๋ยสีหน้าอึมครึม เห็นหน้าหลี่ตวนไม่เพียงทักทายตามมารยาทซ้ำยังเอ่ยเข้าประเด็นทันทีว่า “อาตวน พวกเราไปคุยที่ห้องหนังสือเถอะ!”

หลี่ตวนหัวใจกระตุกวูบ ลางสังหรณ์บอกว่าเกิดเรื่องแล้ว

สีหน้าของเขาเคร่งเครียดขึ้นทันควัน แล้วโบกมือไล่บ่าวรับใช้ที่อยู่ข้างกาย

พวกบ่าวรับใช้พากันถอยออกไป

หลินเจวี๋ยกับหลี่ตวนเดินเข้าไปในห้องหนังสือ

หลี่ตวนไม่ได้เรียกสาวใช้ เขาชงชาให้หลินเจวี๋ยด้วยตนเอง

หลินเจวี๋ยแกะผ้าคลุมไหล่ออกคล้ายจะรำคาญ ก่อนจะโยนมันทิ้งไว้บนตั่งเอนไม้ เอ่ยปากถามหลี่ตวนในทันที “อาตวน แย่แล้วล่ะ! ครั้งนี้นายท่านใหญ่สกุลเผิงก็มาพร้อมกับข้าด้วย บอกว่าสกุลเผยได้แผนที่เดินเรือมาหนึ่งแผ่นอย่างไม่ตั้งใจ สามารถเดินทางจากกว่างโจวไปถึงอาหรับได้ สกุลเถาแห่งกว่างโจวได้ลองเดินเรือไปแล้ว เส้นทางนั้นใช้ได้จริงๆ…”

“เจ้าว่าอะไรนะ?” เหมือนกับสายฟ้าฟาดกลางวันแสกๆ หลี่ตวนมือสั่นระริก โถใส่ใบชาร่วงลงพื้นดัง ‘เพล้ง’ ชาปี้หลัวชุน[1]ชั้นยอดกระจายทั่วพื้น เขาหมุนตัวกลับมา มองหน้าหลินเจวี๋ยด้วยสีหน้าทะมึนเหมือนหมึกดำ “สกุลเผยได้แผนที่เดินเรือมาแผ่นหนึ่ง?”

ก่อนหน้านี้เขาก็วิตกอยู่ตลอดกลัวว่าแผนที่จะมีปัญหา แต่คิดไม่ถึงว่า เรื่องของแผนที่ยังไม่ทันอธิบายให้ชัดเจน ตอนนี้กลับมาเกิดปัญหาเช่นนี้ขึ้นได้!

หลินเจวี๋ยมองไปทางหลี่ตวน สูดหายใจลึกๆ ทีหนึ่ง รู้สึกว่าความสับสนในใจค่อยๆ สงบลงบ้าง ความคิดก็แจ่มชัดขึ้นหลายส่วน “ข้าบึ่งม้าเร็วไปที่ฝูเจี้ยน นำภาพผืนนั้นไปส่งให้สกุลเผิง สกุลเผิงตรวจสอบรูปภาพและแผนที่ก็พึงพอใจอย่างมาก จากนั้นข้าก็ยึดตามสิ่งที่เราหารือไว้ก่อนหน้า บอกว่าไม่ต้องการรางวัลตอบแทน ต่อไปหากสกุลเผิงทำการค้าโดยใช้เส้นทางเรือสายนี้ พวกเราจะขอลงหุ้นด้วย คนที่มาพบข้าคือนายท่านสิบเอ็ดแห่งสกุลเผิง อีกอย่าง ครั้งนี้เขาก็ติดตามนายท่านใหญ่สกุลเผิงมาด้วย ตอนนั้นเขาตกปากรับคำแล้ว ข้าคิดว่าเพียงลมปากไร้หลักประกัน จึงอยากให้เขียนลายลักษณ์อักษรไว้เป็นหลักฐาน อยากจะร่างหนังสือกับสกุลเขาไว้สักฉบับ นายท่านสิบเอ็ดก็รับปากแล้วเช่นกัน”

“เพียงแต่ว่าการร่างหนังสือต้องใช้เวลา อีกอย่างข้าก็พยายามบอกเป็นนัยๆ ว่าบนหนังสือต้องประทับตราของสกุลเผิงด้วย ข้าจึงต้องค้างแรมอยู่ที่จวนสกุลเผิงคืนหนึ่ง เช้าวันที่สอง นายท่านสิบเอ็ดก็ถือหนังสือฉบับร่างมาหารือรายละเอียดกับข้าด้วยตนเอง ใครจะคิดว่าพอกินข้าวเที่ยงเสร็จ สถานการณ์ก็เปลี่ยนไปเสียแล้ว”

“นายท่านใหญ่สกุลเผิงมาพบข้า ถามถึงวิธีที่ข้าได้แผนที่ผืนนี้มา แน่นอนว่าข้าไม่อาจเอ่ยถึงสกุลอวี้กับสกุลเว่ยได้ เพียงบอกว่าอาศัยเบาะแสที่พวกเขาให้มากระทั่งตามหาหลู่ซิ่นจนพบ คิดไม่ถึงว่าหลู่ซิ่นที่ตอนแรกรับปากจะขายภาพให้พวกเรา จะดื่มเหล้าเกินขนาดจนตายไป สิ่งของของหลู่ซิ่นถึงได้ไปตกอยู่ในมือสกุลอวี้ ด้วยกลัวจะแหวกหญ้าให้งูตื่นแล้วไปกระตุ้นความสนใจของสกุลเผยเข้า พวกเราจึงยุให้คนในสกุลหลู่ไปชิงสมบัติที่เหลือของหลู่ซิ่นกลับมา จากนั้นก็จ่ายเงินห้าร้อยตำลึงเพื่อซื้อภาพนั้นจากคนในสกุลหลู่อีกที”

เล่าถึงตรงนี้ หลินเจวี๋ยรู้สึกว่าเหงื่อผุดไปทั่วหน้า น้ำเสียงก็กดต่ำลงหลายส่วน เขาเอ่ยต่อไปว่า “นายท่านใหญ่ตั้งใจฟังอย่างละเอียด ตอนนั้นไม่ได้พูดอะไรเลยสักคำ เพียงให้ข้าเก็บสัมภาระให้เรียบร้อย แล้วติดตามเขาไปเมืองหลินอันสักหน ข้าได้ฟังก็มึนงงทันที จึงถามนายท่านใหญ่ว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น นายท่านใหญ่กลับยิ้มจนตาหยี แล้วบอกว่าเขาไม่คุ้นเคยกับเมืองหลินอัน จึงอยากให้ข้าช่วยนำทางไป”

“ข้าเป็นใครกันเล่า? ยังไม่ทันเดินเป็นก็ติดตามท่านพ่อตระเวนไปทั่วแดนเหนือใต้แล้ว คนประเภทไหนล้วนพบเจอมาจนหมด มีเรื่องใดบ้างไม่เคยได้เห็นได้ฟัง พอข้าได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกเอะใจ แต่ตอนนั้นข้าอาศัยอยู่ในเรือนของสกุลเผิง กินก็กินอาหารของสกุลเผิง กลัวว่าพวกเขาจะฆ่าข้าให้ตายอย่างเงียบเชียบขึ้นมาจริงๆ จึงแสร้งทำเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วเก็บข้าวของติดตามนายท่านใหญ่เร่งเดินทางทั้งวันคืนจนพ้นประตูเมือง”

“ระหว่างทางข้าเพิ่งจะสืบรู้อย่างชัดเจน ที่แท้สกุลเผยไม่รู้ว่าได้แผนที่ผืนหนึ่งมาจากไหน ซึ่งมันก็คือแผนที่ที่สกุลเผิงต้องการ สกุลเผยยังส่งเทียบเชิญอย่างเปิดเผยยิ่งใหญ่ เชิญสกุลใหญ่แต่ละพื้นที่มายังเมืองหลินอันเพื่อร่วมประมูล บอกว่าใครให้เงินมากที่สุดก็จะมอบแผนที่ให้กับคนผู้นั้น? เงินประกันเข้างานคือสองพันตำลึง…”

ดังนั้น หลายวันนี้ที่เมืองหลินอันมีคนแปลกหน้าโผล่ขึ้นมาก็คือสกุลใหญ่จากแต่ละพื้นที่เช่นนั้นหรือ?

หลี่ตวนไม่มีเวลามาสนใจใบชาที่กระจายอยู่เต็มพื้น สีหน้าเขาอึมครึมเหมือนฝนตั้งเค้า เขาเอื้อมมือไปรินน้ำเปล่าส่งให้หลินเจวี๋ยแทน “สกุลเผิงต้องการอะไร? สงสัยว่าพวกเรามอบภาพผืนนั้นให้สกุลเผยหรือ?”

หลินเจวี๋ยสามารถพูดออกมาได้เลยว่าตลอดหลายคืนที่ผ่านมาเขาแทบจะปิดตานอนหลับไม่สนิท ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องกินดื่มเลย

เขารับถ้วยน้ำแล้วกรอก ‘อึกๆๆ’ ลงคอรวดเดียวหมด จากนั้นจึงเอ่ยปากว่า “คนสกุลเผิงไม่ได้พูดอะไร แต่มันก็ชัดเจนอยู่แล้วมิใช่หรือ? ทันทีที่เข้าเมืองหลินอัน นายท่านใหญ่สกุลเผิงก็ให้ข้ามาหาเจ้า ส่วนเขาพานายท่านสิบเอ็ดไปยังที่พักซึ่งสกุลเผยเตรียมเอาไว้รับรองแขกที่มาร่วมประมูล แถมยังบอกข้าอีกว่า วันนี้ช่วงค่ำนายท่านสิบเอ็ดจะแวะมาเยี่ยมพวกเรา ข้าตรึกตรองดู ในเมื่อสกุลเผยต้องการขายภาพผืนนั้น ทั้งยังบอกว่าผู้ให้ราคาสูงสุดจะได้มันไปครอบครอง นายท่านใหญ่สกุลเผิงจึงอาศัยฐานะผู้เข้าร่วมประมูลเข้าไปพักที่สกุลเผย มากกว่าครึ่งคงเพราะอยากเห็นว่าแผนที่ผืนนั้นกับแผนที่ที่อยู่ในภาพ ‘ตกปลาใต้ต้นสนริมน้ำ’ จะเหมือนกันหรือไม่”

เหตุใดเรื่องราวจึงพลิกผันเป็นเช่นนี้ได้?

ในใจของหลี่ตวนกระวนกระวายอย่างหนัก

แต่เขากับหลินเจวี๋ยเป็นทั้งญาติทางสายเลือด ทั้งเป็นคนที่ร่วมงานกัน คำบางคำสามารถพูดกับญาติตนเองได้ แต่กับผู้ร่วมงานนั้นพูดออกไปไม่ได้เด็ดขาด เขาไม่อาจแสดงอารมณ์ต่อหน้าหลินเจวี๋ยได้ มิฉะนั้นอาจส่งผลต่อความสัมพันธ์ของสกุลหลี่กับสกุลหลิน หลินเจวี๋ยจะต้องคิดว่าเขาอ่อนแอ ย่อมไม่อาจเชื่อฟังสกุลเขาอย่างเมื่อก่อนอีก

“มีอะไรให้ต้องกลัวเล่า?” เขาอดจะวางสีหน้าเย็นเยียบและสงบนิ่งออกมาไม่ได้ พลางเอ่ยด้วยเสียงเฉยเมยว่า “เบาะแสของภาพนั้นสกุลเผิงเป็นคนให้มา พวกเราแค่ทำตามความต้องการของเขา หาภาพส่งให้สกุลเผิง สกุลเขาตรวจสอบแล้วยืนยันว่าภาพนั้นเป็นของจริง ตอนนี้พอเกิดข้อผิดพลาด แล้วเกี่ยวอะไรกับพวกเราด้วย? ตอนกลางคืนยังคิดจะแวะมาเยี่ยมอีก!” หลี่ตวนร้องเหอะเสียงหนึ่ง “เช่นนั้นก็ให้พวกเขามาเถอะ ข้ายังอยากถามพวกเขาสกุลเผิงว่าเรื่องนี้สมควรจัดการอย่างไร? ก่อนหน้านี้มิใช่บอกว่าภาพมีเพียงผืนเดียวหรือ? เช่นนั้นแผนที่ในมือสกุลเผยโผล่ออกมาจากไหน? สิ่งของยิ่งมีน้อยยิ่งสูงค่า ต่อให้พวกเราโง่เง่าปานใด ก็ไม่มีทางเหยียบเรือสองแคม นำหยกชั้นดีไปขายต่อเป็นหัวผักกาดขาวแน่”

ก่อนหน้านี้หลินเจวี๋ยรู้สึกลนลาน แต่พอเห็นท่าทางที่เตรียมพร้อมอย่างดีของหลี่ตวนแล้ว เขาพลันสงบลงทันที

เขาอดจะเอ่ยออกมาอย่างกระดากมิได้ “ข้ากลัวสกุลเผิงจะสงสัยว่าพวกเราทำข่าวรั่วไหลน่ะสิ?”

“หากบอกว่าข่าวรั่วไหล หรือว่าพวกเขาสกุลเผิงไม่น่าสงสัยเช่นกันรึ?” หลี่ตวนเอ่ยต่อ กระทั่งตนเองยังรู้สึกถึงความมั่นใจที่เพิ่มพูนขึ้น “ก่อนที่พวกเขาจะมาหาเรา จะไม่เคยไปหาสกุลอื่นเลยรึ? สกุลเผิงนับว่าเป็นสกุลใหญ่อันดับหนึ่งสองในฝูเจี้ยน แต่แผ่นดินกว้างใหญ่ไพศาล ยังมีกว่างตง เจ้อเจียงและเจียงซู สกุลของผู้อื่นก็อาจรู้ข่าวของภาพ ‘ตกปลาใต้ต้นสนริมน้ำ’ เช่นเดียวกัน หรือว่าผู้อื่นจะไม่เคยได้ยินเสียงลมพัดเลยหรือไร? เรื่องนี้ มีโอกาสมากกว่าที่จะหลุดออกมาจากสกุลใหญ่ๆ กระมัง?”

หลินเจวี๋ยยิ้มเจื่อน

วาจาจะพูดเช่นนั้นก็ย่อมได้ แต่ก็ต้องให้สกุลเผิงยอมรับเสียก่อนว่าปัญหาเกิดจากพวกเขาทางนั้นเอง!

ผู้อื่นมีพลังทรัพย์และอำนาจ หากว่าพาลโกรธมาที่พวกเขา แล้วพวกเขาจะทำอะไรได้?

“รอตอนค่ำพบนายท่านสิบเอ็ดแล้วก็ค่อยว่ากันเถอะ!” หลินเจวี๋ยเอ่ยขึ้นอย่างหมดแรง “หวังว่าแผนที่ที่อยู่ในมือสกุลเผยจะไม่มีความเกี่ยวข้องกับเราก็แล้วกัน!”

เรื่องราวมาถึงขั้นนี้ คงได้แต่รอให้ถึงตอนค่ำ เมื่อเจอหน้าคนสกุลเผิงแล้วค่อยว่ากันใหม่

ส่วนทางสกุลเผย เผยเยี่ยนกลับมามีเวลาว่างแล้ว

เรื่องดำเนินมาเกือบถึงตอนจบ สิ่งที่ควรจัดการก็จัดการแล้ว ข้อที่ควรระวังก็ระวังแล้วเช่นกัน ตอนนี้นับว่าไม่มีเรื่องให้ทำอีก

อาหมิงยกกล่องขนมเล็กๆ ที่แบ่งเป็นสี่ช่องเข้ามา ยิ้มจนตาหยีแล้วเอ่ยว่า “นายท่านสาม สกุลอวี้ส่งขนมถั่วตัดกรอบมาให้ ท่านจะลองชิมหน่อยไหมขอรับ?”

เผยเยี่ยนเปิดฝากล่องขึ้น นอกจากขนมสามอย่างที่เขาชอบกิน ยังมีก้อนน้ำตาลหน้าตาแปลกประหลาดอยู่อีกอย่าง

น้ำตาลข้าวเกาะอยู่กับถั่วลิสงเม็ดอวบ นอกจากดูสดใหม่แล้ว ยังทำให้คนอยากอาหารอีกด้วย

เผยเยี่ยนลองชิมไปหนึ่งชิ้น

มันมีทั้งความหอมหวานของน้ำตาลข้าว และความกรุบกรอบของถั่วลิสง

เผยเยี่ยนร้องเหอะทีหนึ่ง

ปกติสิ่งของที่ถูกเคลือบอยู่ด้านในน้ำตาลที่เคี่ยวออกมามักจะสุกไปด้วย แต่ว่าถั่วตัดกรอบนี้ตั้งชื่อได้สมตัว กรอบร่วนเป็นที่สุด

ทว่า หากเพิ่มถั่วลิสงให้มากกว่านี้อีกนิดก็คงดี

เขามีความรู้สึกว่านี่คงเป็นของเล่นชิ้นใหม่ที่คุณหนูอวี้ทำออกมาแน่

“เช่นนั้นคุณหนูอวี้กำลังซุกซนกับสิ่งใดอยู่เล่า?” เผยเยี่ยนถาม

หูซิ่งหลังจากกลับมาจากบ้านเก่าสกุลอวี้ครานั้นก็เสนอหน้ามารับความดีความชอบทันที แน่นอนว่าเขาก็รู้มาด้วยว่าสวนป่าผืนนั้นของสกุลอวี้เหมาะจะเอาไว้เพาะปลูกถั่วลิสงเป็นที่สุด

เขาเอ่ยต่อว่า “พวกเขาคงไม่ได้เตรียมตัวปลูกถั่วลิสงอยู่กระมัง? ข้ามองแล้วน้ำตาลนี้ทำออกมาคงไม่ใช่ถูกๆ ทว่า ในน้ำตาลยังเคลือบถั่วลิสงเอาไว้ อย่างไรก็คงถูกกว่าน้ำตาลล้วนทั้งก้อน น่าจะขายออกอยู่หรอก กลัวแต่ว่าถั่วลิสงของฤดูกาลหนึ่งทำออกมาเป็นถั่วตัดกรอบคงต้องรอถึงสามปีจึงจะขายได้ ถึงเวลานั้นถั่วลิสงด้านในคงไม่อร่อยแล้ว น้ำตาลก็คงหาซื้อไม่ได้ง่ายๆ เช่นกันกระมัง?”

วาจานี้แม้จะทำร้ายจิตใจเกินไปหน่อย แต่ใช่ว่าเป็นการพูดจาสะเปะสะปะขาดความจริง

อาหมิงมีความประทับใจต่ออวี้ถัง เมื่อเผยเยี่ยนพูดเช่นนี้ เขาจึงอดกังวลแทนอวี้ถังไม่ได้

“ได้ยินว่าขนมถั่วตัดกรอบนี้เป็นคุณหนูถังที่ทำออกมาขอรับ” เขามองเผยเยี่ยนอย่างวิตก “แต่ไม่เคยได้ยินว่าคุณหนูอวี้จะทำขายนะขอรับ! บางทีอาจแค่ทำขนมจากน้ำตาลอร่อยๆ ออกมาเพื่อกินเล่น จึงอยากให้ท่านได้ลองชิมด้วย? ท่านช่วยเหลือพวกเขามากมายเพียงนี้ พวกเขาย่อมรู้สึกซาบซึ้งมากแน่ขอรับ!”

วาจานี้นับว่ามีเหตุผล

เผยเยี่ยนส่งเสียง “อืม” ทีหนึ่ง แล้วบอกว่า “ช่วงนี้คุณหนูอวี้กำลังทำขนมถั่วตัดกรอบอยู่หรือ?”

นับแต่ครั้งก่อนที่เผยเยี่ยนถามถึงอวี้ถังแล้วเผยหม่านตอบไม่ได้ คนในสกุลเผยจึงใส่ใจกับความเคลื่อนไหวของอวี้ถังเป็นพิเศษ

อาหมิงอ้าปากก็ตอบได้ทันที “คุณหนูอวี้ทำตามคำแนะนำของท่าน หลายวันนี้ล้วนไม่ออกไปด้านนอกขอรับ คนน่าจะทำขนมถั่วตัดกรอบอยู่ที่เรือน ทว่าคุณหนูอวี้เคยส่งคนไปสืบเรื่องการค้าขายผลไม้เชื่อม ทั้งยังเคยสืบเรื่องร้านค้าจิปาถะและร้าเผาถ่านอีกด้วยขอรับ”

มุมปากของเผยเยี่ยนอดจะกระตุกขึ้นไม่ได้

เหตุใดฟังแล้วเหมือนกับแมลงวันไร้หัวตัวหนึ่งที่บินชนไปทั่วเลยเล่า!

นางไม่คิดจะอยู่นิ่งๆ บ้างหรือ? แค่คอยอยู่ในเรือนเฉยๆ เท่านั้นเอง?

————————————————————-

[1]ชาปี้หลัวชุน เป็นชาที่ถูกปลูกร่วมกับต้นไม้ผลชนิดต่างๆ ได้แก่ต้นสาลี่ ท้อ บ๊วย พลับ ส้มจีน ไป๋กว๋อและทับทิม ดังนั้น ชาปี้หลัวชุน จึงมีกลิ่นหอมหวนของดอกไม้ผลเหล่านั้นติดมากับใบชาด้วย นับว่าเป็นความโดดเด่นของชาปี้หลัวชุน