ตอนที่ 89 ศึกรับอนุภรรยา (จบ)

เจ้าสาวร้อยเล่ห์

เทียบกับสถานการณ์ปะทะฝีปากของหวงฝู่เยวี่ยเอ้อด้านนั้น นับว่าการพบกันของพ่อลูกตระกูลชุยและซั่งกวนฮ่าว นั้นดีกว่ามาก ต่างฝ่ายต่างก็ทักทายกัน นั่งลงดื่มชาตรงโถงบุปผา ก่อนซั่งกวนฮ่าวจะเผยท่าทีเรียบนิ่งรอนายท่านชุย ชุยหรูหลินเป็นฝ่ายออกปากก่อน

“น้องชาย ต้องขอโทษด้วยจริงๆ ข้านึกไม่ถึงว่าพวกนางจะไม่มีสมองถึงเพียงนั้น เอาแต่ทำเรื่องที่ทำให้คนปวดหัว!” ชุยหรูหลินกล่าวอย่างละอายใจ “ข้าได้ตำหนิพี่สะใภ้ที่ไม่มีหูมีตาผู้นั้นของเจ้าแล้ว ทั้งให้นางไปขอโทษต่อฮูหยินของเจ้า เจ้าก็เป็นคนใจกว้าง อย่าถือโทษโกรธนางเลย!”

“ข้าไม่โกรธสักนิด” ซั่งกวนฮ่าวเผยยิ้ม “กลับกัน ข้ายังต้องขอให้พี่ชายอย่าได้โกรธเคือง”

“ท่านลุงคงไม่ได้คิดจริงจังใช่หรือไม่” ชุยฮ่าวเหว่ยมีความกังวลใจอยู่บ้าง ทว่าใบหน้ากลับปรากฏให้เห็นอย่างลางเลือน “ท่านแม่หูตาไม่กว้างไกล จึงมักทำเรื่องที่น่าโมโหลงไปเพราะอารมณ์ชั่ววูบ อย่างไรก็คงต้องขอให้ท่านลุงเห็นแก่หลานที่มีมารดาหูตาคับแคบทั้งยังแต่งภรรยาที่ไม่มีสมองเข้ามา  ต้องทนพบเจอกับเรื่องลำบากไปชั่วชีวิต ดังนั้นขอโปรดอภัยให้ท่านแม่และสะใภ้คู่นั้นที่หัวแข็งด้วยเถิด!”

“ฮ่าวเหว่ยเข้าใจพูดจริงๆ เจ้าพูดเช่นนั้น ข้ายังจะกล้าโกรธเจ้าอีกรึ?” ซั่งกวนฮ่าวอดยิ้มออกมาไม่ได้ รู้ว่าพวกเขากังวลอะไร กล่าวไปอย่างราบเรียบ “ในเมื่อเรื่องนี้เป็นเรื่องของพวกผู้หญิง ก็ให้ตัวพวกนางจัดการแก้ไขกันเองก็พอแล้ว ส่วนพวกเราก็นั่งคอยมองอยู่ด้านข้าง ปล่อยให้แต่ละฝ่ายอบรมสั่งสองคนของตัวเองไปก็พอแล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องจริงจัง!”

“ขอบคุณท่านลุงที่เข้าใจ” ชุยฮ่าวเหว่ยค่อยๆ วางใจ ขอเพียงแค่เรื่องนี้ไม่กระทบกับงานแต่งงานของชุยฮ่าวหรันและหลิงหลงก็พอแล้ว เรื่องอื่นล้วนไม่สำคัญ

“เพียงแต่…” ซั่งกวนฮ่าวมองพวกเขาไปทีหนึ่ง กล่าวในยามที่สองพ่อลูกพากันลุ้นใจหายใจคว่ำ “ฮ่าวเหว่ย เรื่องนี้เหมยเสียนได้ทำเกินไปบ้าง นางไม่ควรจะแอบยกเรื่องนี้มาพูดส่วนตัวกับป้าสะใภ้ทั้งๆ ที่น้องสะใภ้คนนั้นของเจ้าเพิ่งจะแต่งเข้ามา ทั้งไม่ควรร่วมมือกับหลี่ฉยงอวี่ที่พาลหาเรื่องตั้งแต่เช้าเย็น ยกเรื่องนี้มาพูดกับเยี่ยนมี่เอ๋อร์ต่อหน้าหลิงหลงและจิงอิ๋ง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงความสนิทสนมของเยี่ยนมี่เอ๋อร์และป้าสะใภ้ของเจ้าเลย เรื่องนี้ภายหลังจะกระทบความสัมพันธ์แม่สามีกับลูกสะใภ้ของพวกนางเป็นอย่างมาก และไม่ว่าจะหลังจากงานแต่งของหลิงหลงกับชุยฮ่าวหรัน ความสัมพันธ์ของพี่สะใภ้น้องสะใภ้ก็จะมีผลกระทบเช่นกัน จะพูดถึงทั้งสามคน ก็ล้วนเป็นสะใภ้ใหญ่ของตระกูลทั้งนั้น ภายหลังก็ต้องได้เป็นนายหญิงของตระกูล เรื่องนี้จะเป็นผลเสียกับการคบค้าสมาคมของพวกนางในอนาคต แต่อย่างไรก็อย่าได้ให้มันมากระทบถึงความสัมพันธ์ของพวกเราทั้งสามตระกูลเลย!่”

“ท่านลุงอย่าได้กังวล หลานย่อมจะสั่งสอนนางอย่างเข้มงวดกวดขัน ให้นางไปยอมรับผิดต่อน้องสะใภ้แต่โดยดี จะไม่ทำให้น้องสะใภ้ไม่สบายใจเพราะเรื่องนี้แน่!” ชุยฮ่าวเหว่ยกล่าวอย่างจริงใจ “ภายหลังหลานจะสั่งสอนควบคุมนางให้ดี ไม่ให้นางไปทำเรื่องไม่ดีกับพวกสะใภ้ตระกูลอื่นอีกแล้ว ส่วนทางหลิงหลง ฮ่าวเหว่ยจะปกป้องดูแลอย่างดี ไม่ปล่อยให้นางถูกรังแกอันใด นอกจากนี้ข้าก็ไม่อาจรับปากอะไรได้แล้ว!”

“ฮ่าวเหว่ย ปากของเจ้านี่จริงๆ เลย” ซั่งกวนฮ่าวหัวเราะทั้งส่ายหัว “เพียงแต่เรื่องนี้ทำร้ายเยี่ยนมี่เอ๋อร์เป็นอย่างมาก…แท้จริงแล้วไม่ว่าจะเป็นใครที่อยู่ในสถานการณ์นี้ มาพบกับเรื่องเช่นนี้ในเวลาแบบนี้ก็ล้วนต้องรู้สึกเจ็บปวดทุกข์ระทมกันทั้งนั้น หากพี่สะใภ้ชุยพูดว่าจะรับอนุภรรยามาให้เจ้า ในยามที่เจ้าและเหมยเสียนเพิ่งจะแต่งงานกัน ทั้งอนุภรรยาก็ยังเป็นหญิงสาวตระกูลเก่าแก่สูงส่ง ข้าว่าเหมยเสียนคงไม่แค่เสียใจหรอก แต่อาจจะอาละวาดจนวุ่นวายไปกันทั้งจวนเสียมากกว่า”

“ไม่ทราบว่า…” ชุยฮ่าวเหว่ยถามอย่างไม่แน่ใจ แม้ว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์จะเป็นคนบอบบางคนหนึ่ง แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะแตะต้องได้ง่ายๆ เพียงแค่มองดูท่าทีของนางหลายวันมานี้ก็รู้ได้แล้วว่า นางเป็นคนที่มีความสามารถมากมาย ทั้งยังหลักแหลมเป็นอย่างยิ่ง หากนางจะเอาเรื่องขึ้นมา อาละวาดวุ่นวายทั้งจวนก็คงเป็นเรื่องเล็กอยู่ดี

“มี่เอ๋อร์กลับเป็นคนที่รู้ความ เห็นถึงส่วนรวมเป็นหลัก!” ซั่งกวนฮ่าวอดจะกล่าวชื่นชมออกมาไม่ได้ “เสียใจนั้นย่อมเสียใจ แต่ก็ไม่ได้พูดคำระคายหูให้ป้าสะใภ้ที่เลอะเลือนของเจ้าคนนั้นออกมาแม้แต่คำเดียว ทั้งยังไม่ได้ร้องห่มร้องไห้ต่อหน้าใคร กลับขลุกตัวอยู่แต่ในห้องร้องไห้อย่างทุกข์ระทมไปทั้งคืน หลังจากหลิงหลงและจิงอิ๋งรู้เรื่องนี้เข้า ก็ไปร้องไห้เอะอะโวยวายหาเรื่องกับทางหลินจี้ แต่สุดท้ายก็มาถูกนางเรียกให้กลับไปอีก เป็นเช่นนี้ จึงยิ่งทำให้คนสงสารนางมากยิ่งขึ้น”

สองพ่อลูกตระกูลชุยล้วนตกตะลึง คาดไม่ถึงว่าคนที่ยอมยุติเพื่อให้เรื่องราวสงบจะเป็นเยี่ยนมี่เอ๋อร์ เดิมทียังคิดว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์จึงจะเป็นคนที่ยากประนีประนอมที่สุด คาดไม่ถึงว่า…เฮ้อ นางเทียบกับคนอื่นไม่ติดเลยจริงๆ!

“แต่เจวี๋ยเอ๋อร์นั้นสงสารมี่เอ๋อร์เป็นอย่างมาก และก็ไม่คิดปล่อยให้มี่เอ๋อร์ได้รับความไม่เป็นธรรมอย่างไร้สาเหตุเช่นนี้ ยิ่งไปกว่านั้นก็ไม่คิดให้ความสัมพันธ์ของแม่สามีและลูกสะใภ้เกิดบาดหมางเพราะเรื่องนี้ ดังนั้นจึงได้บอกเป็นนัยกับเยี่ยนมี่เอ๋อร์ให้จัดการเรื่องราวเพื่อตนเองได้โดยไม่ให้ทำร้ายต่อความสัมพันธ์ของสองตระกูล บางที ยามนี้ผู้ที่ได้รับความไม่เป็นธรรมที่สุดอาจจะไม่ใช่เยี่ยนมี่เอ๋อร์ แต่เป็นคนอื่นเสียมากกว่า” ซั่งกวนฮ่าวกล่าวเตือนอย่างเรียบนิ่ง

 “นั่นเป็นเพราะพวกนางทำเองก็ย่อมได้รับการคืนสนองเช่นนั้น!” ชุยหรูหลินเข้าใจความหมายของซั่งกวนฮ่าว ในเมื่อเขาเชื่อมั่นเยี่ยนมี่เอ๋อร์ถึงเพียงนั้น เช่นนั้นย่อมเป็นหวังเหมยเสียนที่ได้รับความไม่เป็นธรรมไป เรื่องนี้แม้จะไม่รู้ว่าใครเป็นผู้ริเริ่มกันแน่ แต่หวังเหมยเสียนก็ไม่ได้คิดที่จะหยุดยั้ง กลับเข้าร่วมผสมโรงก็ควรได้รับการถูกลงโทษแล้ว

ชุยฮ่าวเหว่ยรู้ได้โดยทันทีว่าคนที่ได้รับความไม่เป็นธรรมย่อมมิพ้นเป็นหวังเหมยเสียน หากจะบอกว่าไม่สงสารเลยก็เป็นไปไม่ได้ เขากระจ่างใจดีว่าคนที่เริ่มต้นเรื่องนี้ก็คือหลี่ฉยงอวี่และชุยอวี่เฟย คนที่ถูกชักจูงไปด้วยคือฮูหยินชุย หวังเหมยเสียนก็เป็นผู้ที่รับบทคล้อยตามคนหนึ่ง แต่หวังว่านางจะเรียนรู้จากความผิดพลาด ให้ตัวเองได้เข้าใจชัดเจนขึ้นมาบ้าง รู้ว่าสะใภ้ของตระกูลนั้นต้องทำให้ได้ทุกอย่าง เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงเรื่องเลวร้ายที่อาจจะเกิดในอนาคตข้างหน้า

คิดไปคิดมาแล้วก็ยังคงรู้สึกอิจฉาซั่งกวนเจวี๋ยเป็นอย่างมาก รูปลักษณ์งดงามของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่ไม่อาจมีใครเทียบเทียมได้นั้นไม่ต้องพูดถึงแล้ว นอกจากมู่หรงชิงหวั่นถูกจัดไว้ในอันดับหนึ่งแล้ว หากจะหาคนที่สามารถเทียบเคียงกับนางได้ก็ยังคงเป็นเรื่องยากจริงๆ พิณ หมาก พู่กันจีน ภาพวาดล้วนมีความสามารถ แทบจะนับได้ว่าเชี่ยวชาญ นี่ล้วนไม่จำเป็นต้องกล่าว เผชิญหน้ากับที่เรื่องที่ยุ่งยากเช่นนี้ ก็ไม่คิดถึงแต่ตัวเอง แต่กลับนึกถึงส่วนรวม ช่าง…

มิน่าเล่าตระกูลซั่งกวนจึงไม่สนใจเรื่องชาติกำเนิดของนาง ยืนหยัดที่จะแต่งนางเข้าตระกูล หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น ไม่ว่าใครก็คงหวังที่จะมีภรรยาคนหนึ่งที่เป็นเช่นนี้เช่นกัน! แม้จะกล่าวว่าตระกูลเก่าแก่นั้นต้องให้ความสำคัญกับชาติกำเนิด แต่พวกเขาก็รู้ดีว่าความสามารถที่ติดตัวมาต่างหากจึงจะนับว่าสำคัญกว่าชาติกำเนิด หญิงสาวที่มีคุณค่าพอจะให้พวกเขามองข้ามชาติกำเนิดและพิจารณาแต่ความสามารถนั้นนับว่าหาได้ยากอย่างแท้จริง!

 “ท่านลุงคิดเช่นนี้ได้ก็ดีแล้ว!” ซั่งกวนเจวี๋ยเผยรอยยิ้มเดินเข้ามาพร้อมกับชุยฮ่าวหรัน ชุยฮ่าวหรันมีสีหน้าไม่สบายใจ เห็นได้ชัดว่าเป็นเพราะเรื่องทางด้านหลิงหลง

 “ว่าอย่างไร?” ชุยหรูหลินกล่าวถามยิ้มๆ “เชื่อมั่นภรรยาตัวน้อยของเจ้าถึงเพียงนี้แล้วรึ? ไม่กังวลว่านางจะถูกรังแกอะไรแล้วหรือ?”

 “ไม่กังวล! เยี่ยนมี่เอ๋อร์หลักแหลมเป็นอย่างมาก หากจะให้นางถูกรังแกคงเป็นเรื่องยากแล้ว!” ซั่งกวนเจวี๋ยกล่าวแย้มยิ้ม “หากเรื่องนี้ท่านแม่ไม่ถูกชักจูงจนไปพูดกับมี่เอ๋อร์ก่อน แต่เป็นท่านป้าสะใภ้ชุยหรือพี่สะใภ้ชุยเป็นคนยกขึ้นมาพูดแทน มี่เอ๋อร์ก็คงไม่เพียงแต่จะไม่เสียใจ แต่อาจจะทำให้พวกท่านป้าสะใภ้ชุยตกอยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออก พับเก็บแผนการที่ไม่ควรมีเช่นนั้นกลับไปเลยก็ได้”

ชุยหรูหลินและชุยฮ่าวเหว่ยสบสายตากัน รู้ว่าเรื่องนี้ทำให้ซั่งกวนเจวี๋ยโกรธเคืองเสียแล้ว แต่ก็เป็นเรื่องปกติ เปลี่ยนเป็นผู้ชายคนอื่นก็ย่อมทนไม่ได้อยู่แล้วที่ภรรยาที่เพิ่งแต่งเข้ามากลับได้รับความไม่เป็นธรรมเช่นนั้น เว้นเสียแต่ว่าจะเกลียดชังงานแต่งครั้งนี้อย่างถึงที่สุด ทั้งยิ่งไปกว่านั้นซั่งกวนเจวี๋ยก็ยังพึงพอใจกับภรรยาของตนเป็นอย่างมาก ย่อมไม่อาจอดกลั้นได้อยู่แล้ว

 “เช่นนั้นก็ดี!” ชุยหรูหลินกล่าวทั้งเผยยิ้ม “ข้ายังกังวลว่าถ้าหลานสะใภ้ได้รับความไม่เป็นธรรมอีกล่ะก็ พวกเจ้าสองพ่อลูกก็คงตามมาคิดบัญชีกับข้าจนหมดท่าแน่ ข้าเป็นเพียงบัณฑิตที่ไร้กำลังเท่านั้น ย่อมสู้ไม่ไหวอยู่แล้ว”

 “ท่านเป็นบัณฑิตที่ไร้กำลัง?” ซั่งกวนฮ่าวแค่นเสียงขึ้นจมูก “หากพูดว่าท่านเป็นบัณฑิตไร้กำลัง เช่นนั้นใต้หล้านี้ ก็ไม่มีใครนับได้ว่าเป็นคนที่แข็งแรงแล้ว คำพูดเช่นนี้อย่างไรก็พูดให้คนที่ไม่รู้จักท่านดีฟังดีกว่า ว่าแต่ เรื่องที่อวี่เฟยนั้นตั้งใจอดอาหารจริงหรือเปล่า? เด็กคนนี้ไม่รู้จักหนักเบาเกินไปแล้ว ไม่รู้จักความเหมาะสมเอาเสียเลย”

 “ใช่แล้ว ตั้งแต่เกิดก็ถูกตามใจจนเสียนิสัย” ชุยหรูหลินพยักหน้ายิ้มๆ “ที่จริงข้าก็คิดว่าทางฝ่ายเจ้าพูดมาไม่ผิด สิ่งที่ผู้หญิงต้องการคือการเอาอกเอาใจ ไม่ใช่การตามใจ หากได้ถูกตามใจก็จะไม่รู้จักหนักเบาแล้ว ทำรายทั้งตนเองทั้งยังทำร้ายคนอื่นอีก ข้ากลับไปจะไปคิดให้ดีๆ ว่าจะกักตัวนางให้อยู่ในห้องพระ ไม่ให้ออกมาสร้างความลำบากแก่ตัวเองและคนอื่น หรือว่าจะหาตระกูลที่มีความแค้นกับข้าแต่งนางออกไป ทำร้ายผู้คนเช่นนั้นก็เท่ากับล้างแค้นให้ข้าเช่นกัน”

เช่นนั้นก็กล่าวได้ว่าคุณหนูผู้นี้ตระกูลชุยได้เตรียมที่จะทอดทิ้งแล้ว! ซั่งกวนฮ่าวนั้นพยักศีรษะอย่างพึงพอใจ พวกเขาไม่คิดที่จะแทรกแซงจนเกินไป คงต้องดูว่าตัวชุยอวี่เฟยเองจะสามารถเรียนรู้ได้หรือไม่ หากว่านางได้ทำความเข้าใจถึงฐานะของตัวเองใหม่ ยอมทำตามคำสั่งของพ่อและพี่ชายแต่โดยดี ชั่วชีวิตนี้ก็ย่อมใช้ชีวิตได้อย่างสุขสบายโดยไม่ต้องกังวลอะไรแล้ว ทั้งยังสามารถ…ตระกูลชุยย่อมหาบุตรชายของภรรยาเอกในตระกูลขุนนางที่ดีให้นางได้สามารถเป็นภรรยาเอกได้  ในอนาคตก็ต้องรอดูการกระทำและความสามารถของตัวนางเอง ถึงแม้จะโง่ไปบ้าง แต่ตระกูลชุยก็ย่อมต้องส่งแม่นมที่ใช้การได้ไปกับนาง รับประกันว่าฐานะของนางจะไม่ถูกข่มเหงรังแก แต่ถ้าหากนางยังดื้อดึงเอาแต่ใจตนเช่นนี้ หากไม่ถูกขังในห้องพระให้หันหน้าเข้าสู่ศาสนาไปชั่วชีวิต ก็คงตรอมใจเจ็บป่วยจนตัวตายเป็นแน่ ตระกูลขุนนางแต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยขาดคุณหนูที่มีความสามารถอยู่แล้ว ขาดนางไปสักคนก็ไม่ได้แตกต่างอันใด

ซั่งกวนเจวี๋ยก็พอใจเช่นกัน ขจัดหญิงสาวที่มักจะเทียวไปเทียวมาอยู่รอบกาย ทั้งยังแสดงความรู้สึกลึกซึ้งที่น่าขัดหูขัดตา นอกจากนี้ยังสามารถแก้แค้นให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์ได้ นับเป็นเรื่องดี! ส่วนที่ฮูหยินชุยเคยคิดว่า รอหลังจากหลิงหลงและชุยฮ่าว

หรันแต่งงานกันค่อยตัดสินใจทำเรื่องนั้น ก็เพียงพูดส่งเดชโดยไม่คำนึงถึงผลเสียอะไรเท่านั้น หากมีวันนั้นจริงๆ ไม่จำเป็นต้องเปลืองแรงตระกูลซั่งกวนหรอก แต่พ่อลูกตระกูลชุยย่อมลงมือขัดขวางก่อนอยู่แล้ว

 “เอาเถิด เช่นนั้นพวกเรามาคุยเรื่องงานแต่งหลิงหลงและชุยฮ่าวหรันกันดีกว่า” ชุยหรูหลินเมื่อเห็นว่าในที่สุดสองพ่อลูกก็พึงพอใจแล้ว จึงตั้งใจเบี่ยงความสนใจไปหาประเด็นที่ควรให้ความสำคัญ

 “ยังมีอะไรจะต้องพูดอีกเล่า ไม่ใช่พูดกันไปเรียบร้อยแล้วรึว่าจัดในเดือนเก้า!” ซั่งกวนฮ่าวกล่าวยิ้มๆ “ส่วนวันที่นั้นพี่ชายดูจากชะตาวันเดือนปีเกิดของฮ่าวหรันและหลิงหลงค่อยกำหนดวันออกมาก็เพียงพอแล้ว เพียงแต่ งานประลองยุทธ์ปีนี้จะจัดขึ้นที่ลี่โจว แม้ว่าทุกคนล้วนมีส่วนรับผิดชอบ แต่ตระกูลซั่งกวนก็ไม่อาจไม่สนใจได้เช่นกัน ภาระหน้าที่ก็มีมาก หากจะพยายามกำหนดให้อยู่ภายในปลายเดือนเก้า ไม่ทราบว่าพี่ชายคิดว่าอย่างไร?”

 “ก็ดี!” แม้ว่าใบหน้าของชุยหรูหลินจะประดับด้วยรอยยิ้ม ทว่าในใจกลับก่นด่าฮูหยินชุยและสะใภ้ที่หาเรื่องใส่ตัวนับครั้งไม่ถ้วน หากไม่ใช่เพราะพวกนางก่อเรื่องขึ้น จะทำให้เขาพบเจอกับเรื่องเช่นนี้รึ? จะทำอย่างไรให้พอพูดคุยต่อรองกันได้ล่ะ!

เดือนเก้านั้นมีอยู่สองวันที่เหมาะสม วันแรกคือวันที่สิบเดือนเก้า อีกวันคือวันที่ยี่สิบเก้าเดือนเก้า ชุยหรูหลินนั้นชอบวันที่สิบเดือนเก้า แต่ยามนี้กลับจำเป็นต้องเลือกวันที่ยี่สิบเก้าเดือนเก้าเสียแล้ว

ตั้งแต่สมัยโบราณกำหนดการแต่งงานก็มีความคิดที่ว่าผู้ชายคู่ผู้หญิงคี่ คิดว่าหากแต่งงานในวันเลขคู่ เช่นนั้นเจ้าบ่าวก็จะเป็นใหญ่ คาดว่าจะมีภรรยาและอนุเป็นจำนวนมากมาย แต่หากแต่งงานในวันคี่ เจ้าสาวก็จะเป็นใหญ่  อาจจะไม่มีอนุภรรยาหรืออาจจะมีจำนวนน้อยมาก แม้จะเป็นเพียงธรรมเนียม เอาแน่เอานอนไม่ได้ แต่ในยามที่เลือกวัน ฝ่ายเจ้าบ่าวย่อมพยายามทำทุกวิธีทางที่จะเลือกวันคู่แทนที่จะเป็นวันคี่

และที่ทำให้ชุยหรูหลินไม่เห็นพ้องต้องใจก็เพราะในตระกูลขุนนางเก่าแก่ การเลือกวันเช่นนี้ยังมีความหมายเชิงนัยยะอีกอย่างหนึ่ง นั่นก็คือหากจัดงานแต่งในวันคี่ เช่นนั้นไม่ว่าความรู้สึกของสามีภรรยาจะเป็นอย่างไร ขอเพียงแค่ฝ่ายหญิงไม่ใช่คนที่ไม่สามารถให้กำเนิดบุตรได้ ผู้อาวุโสของฝ่ายชายก็ไม่สามารถเป็นฝ่ายรับอนุภรรยาให้ฝ่ายชายหรือมอบเมียบ่าวให้ได้ ต้องรู้ว่ามีหลายครั้งที่การรับอนุภรรยา ไม่ได้มาจากฝ่ายชาย แต่เป็นพ่อแม่และผู้อาวุโสที่มอบให้ อย่างเช่นหวงฝู่หลินจี้ที่มีอนุภรรยาสามคน สองคนในนั้นเป็นผู้อาวุโสที่มอบให้ แน่นอนว่า หากฝ่ายชายเป็นคนที่ต้องการรับอนุภรรยาเอง ภรรยาก็ไม่อาจที่จะขัดขวางได้เช่นกัน

เลือกวันเช่นนี้ ก็เท่ากับได้ให้คำสัญญาหนึ่งกับเจ้าสาวไว้ และคำสัญญาเช่นนี้ ไม่ว่าจะพ่อหรือแม่ก็ล้วนไม่ค่อยยินยอมทั้งนั้น แม้พวกเขาจะหวังให้ลูกชายและลูกสะใภ้สามารถอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะไม่อยากจัดคนที่สามารถเชื่อใจได้คนหนึ่งให้อยู่ร่วมกับลูกชาย…

วันถูกกำหนดไว้แล้ว เช่นนั้นอย่างอื่นก็ล้วนเป็นเรื่องง่ายหมด ซั่งกวนฮ่าวในยามนี้รู้สึกขอบคุณฮูหยินและสะใภ้ตระกูลชุยเป็นอย่างมาก หากไม่ใช่เพราะพวกนางก่อเรื่องขึ้น เรื่องนี้ก็ยังคงยุ่งยากอยู่บ้าง  แต่ยามนี้ ขอเพียงแค่สองประโยคก็สามารถจัดการได้แล้ว ช่างสบายเสียจริง…

ไม่ได้รอจนถึงเวลาอาหารเที่ยง นอกจากชุยฮ่าวหรันที่อยากจะใช้เวลาพูดคุยกับหลิงหลงดีๆ ไม่อยากให้นางมาพาลโกรธตัวเองแล้ว ชุยหรูหลินก็พาลูกคนโตและแม่สามีลูกสะใภ้สองคนที่อยู่ในท่าทีเซื่องซึมนั้นจากไป…

———————————–