บทที่ 80 ถึงวอชิงตัน Ink Stone_Fantasy
เย่เทียนเฉินเดิมทีก็เป็นคนที่ไม่ชอบถูกผูกมัด ไม่ว่าจะเป็นชีวิตนี้หรือชีวิตก่อน เขาก็มีนิสัยเช่นนี้ เขาชอบชีวิตที่อยากจะมาก็มาอยากจะไปก็ไป ครั้งนี้ถ้าหากไม่ใช่ว่าอยากจะไปเปิดหูเปิดตาดูทหารรับจ้างที่แข็งแกร่งของต่างชาติและผู้มีพลังพิเศษที่มิอาจคาดเดาได้ เย่เทียนเฉินก็จะไม่ตอบรับคำขอของชางหลางโดยเด็ดขาด
เพียงแต่สิ่งที่ทำให้เย่เทียนเฉินรู้สึกคิดไม่ถึงก็คือ คนที่เขาต้องคุ้มครองจะเป็นหลิ่วหรูเหมย ผู้หญิงที่เคยถูกตนเองแอบดูเรือนร่าง ในความทรงจำอันเรือนลาง เย่เทียนเฉินยังสามารถย้อนคิดกลับไปถึงเอวบางอันงดงามราวหยกของหลิ่วหรูเหมยได้ โดยเฉพาะก้นที่ทั้งขาวทั้งใหญ่นั้น เห็นแล้วทำให้ความปรารถนาผู้คนเพิ่มพูนเสียจริง
เดิมทีเย่เทียนเฉินไม่อยากจะคบค้าสมาคมอะไรกับหลิ่วหรูเหมยอีกอย่างเด็ดขาด อย่างไรเสียทั้งคู่ก็มีชื่อเสียงที่ไม่ค่อยดีเพราะเรื่องนั้น แต่ว่า คำพูดนั้นของหลิ่วหรูเหมยทำให้เย่เทียนเฉินรู้สึซาบซึ้งและนับถือ
หลิ่วหรูเหมยที่เป็นสาวงามอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวง อยากจะเสพสุขกับชีวิตที่หรูหราฟุ่มเฟือย ก็ง่ายเพียงแค่สะบัดเท่านั้น แต่ผู้หญิงของนี้ไม่ใช่แจกันประดับ เธอมีแรงขับเคลื่อนเฉกเช่นหญิงแกร่ง ครั้งนี้เพื่อที่จะสามารถทำการซื้อขายข้อมูลลับให้สำเร็จ และสามารถยกระดับศักยภาพทางการทหารของจีน หลิ่วหรูเหมยเสี่ยงอันตรายมาทำการซื้อขายข้อมูลลับยังประเทศ M โดยไม่เสียดาย บุคลิกและคุณธรรมของผู้หญิงคนนี้ควรค่าแก่การนับถือ
คำพูดของหลิ่วหรูเหมยมีเหตุผลมาก และพูดถึงจุดที่เย่เทียนเฉินสงสัย เรื่องเมื่อปีนั้น มีความเป็นไปได้สูงว่าจะถูกผู้อื่นวางแผน ตกลงแล้วเป็นใครกันแน่ที่ต้องการยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว ทำให้ชื่อเสียงของเย่เทียนเฉินและหลิ่วหรูเหมยต้องเหม็นเน่า? หรือตกลงแล้วใครกันแน่ที่ต้องการต่อต้านตระกูลหลิ่วและตระกูลเย่ในเวลาเดียวกัน?
สุดท้าย เย่เทียนเฉินก็ตัดสินใจไปที่ประเทศ M สักครั้ง ที่นั่นมีของที่เขาต้องการอยู่ ต้องการยกระดับขอบเขตพลังพิเศษ และประสบการณ์ต่อสู้อันโหดร้ายมากยิ่งขึ้น
หลังจากตักเตือนเฟยอวิ๋นไปยกหนึ่ง เย่เทียนเฉินก็ทิ้งตัวลงบนที่นั่งของตนเองเริ่มนอนหลับต่ออีก ทำให้เจียงเหมิงและเฟยอวิ๋นโกรธจนแทบอดไม่ได้ที่จะลงมือ ตนเองทั้งสองคนเป็นสมาชิกหัวกะทิของกองทัพเหยี่ยวอันสง่าผ่าเผย กลับถูกเย่เทียนเฉินมองว่าไร้ค่า ทำให้รุ้สึกโกรธแค้นอยู่ในใจ
“คุณหนู พวกเราไปดื่มกาแฟตรงโน้นกันเถอะ!” หย่งชุนไท่เห็นว่าหลิ่วหรูเหมยเองก็โกรธจนหน้าเดี๋ยวแดงเดี๋ยวขาวจึงพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม
“เจ้าอันธพาลนี่ ฉันอยากจะแทงเขาให้ตายจริงๆ เลย!” หลิ่วหรูเหมยโกรธจนกระทืบเท้าที่สวมรองเท้าส้นสูงสีแดงแรงๆ ครั้งหนึ่งพลางจ้องไปยังเย่เทียนเฉินที่กำลังนอนหลับอย่างสบายอยู่ฝั่งหนึ่ง แทบอดไม่ได้ที่จะพุ่งไปตบเจ้าหมอนี่แรงๆ สักยก
หย่งชุนไท่ยกยิ้มพลางส่ายหัว จากนั้นจึงเดินไปยังโต๊ะอาหารข้างๆ แล้วดื่มกาแฟต่อไป หลิ่วหรูเหมยเองก็ยู่ปากเล็กๆ อันเซ็กซี่ด้วยความโกรธอย่างหมดหนทางพลางเดินไปเช่นกัน
ส่วนเจียงเหมิงและเฟยอวิ๋นนั้นโกรธจนขบเขี้ยวเคี้ยวฟันไปตั้งนานแล้ว หากไม่ใช่ว่าคำนึงถึงภารกิจในครั้งนี้ จะต้องลงมือกับเย่เทียนเฉินไปแล้วเป็นแน่
“ไอ้หนูนี่ฉันจะต้องสั่งสอนมันอย่างโหดเหี้ยมแน่นอน จะอัดมันให้โง่เป็นหมูไปเลย” เฟยอวิ๋นเปิดปากกล่าวอย่างโหดเหี้ยม
“โอกาสมีเยอะแยะ ทำภารกิจให้สำเร็จสำคัญกว่า” เจียงเหมิงกล่าวยิ้มๆ
หลิ่วหรูเหมยเดินไปข้างโต๊ะอาหาร นั่งลงด้วยความโมโห หย่งชุนไท่ส่งกาแฟให้เธอแก้วหนึ่ง กล่าวยิ้มๆ ว่า “คุณหนูไม่ต้องโกรธไป ทำภารกิจให้สำเร็จสำคัญกว่า”
“หย่งชุนไท่คะ หนูไม่ทราบจริงๆว่าทำไมชางหลางถึงหาตัวเจ้าหมอนี่มา คนอย่างเขาที่ไม่ทำตามแผนการ ไม่ฟังคำแนะนำ พอเราเจอการโจมตีการศัตรูที่แข็งแกร่ง ยากที่จะถอยกลับมาอย่างครบสามสิบสอง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องทำการซื้อขายข้อมูลลับให้สำเร็จเลย” หลิ่วหรูเหมยกล่าวอย่างเป็นกังวล
หย่งชุนไท่แย้มยิ้ม ดื่มกาแฟอึกหนึ่ง เธออยู่ข้างกายของหลิ่วหรูเหมย คุ้มครองหลิ่วหรูเหมยสิบกว่าปีแล้ว กล่าวได้ว่าเห็นการเติบโตของหลิ่วหรูเหมย มองหลิ่วหรูเหมยเป็นเหมือนหลานสาวแท้ๆของตนเองไปแล้ว ดังนั้นจึงได้สั่งสอนแก่นสำคัญของมวยหย่งชุนไปด้วย
สำหรับเรื่องที่หลิ่วหรูเหมยและเย่เทียนเฉินที่ทนเห็นกันไม่ได้นั้นเป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้ว ต่อให้เย่เทียนเฉินแอบดูหลิ่วหรูเหมยอาบน้ำจะเป็นการถูกผู้อื่นวางแผนใส่ ไม่ใช่เป็นการจงใจ ก็ไม่สามารถแก้ไขความเข้าใจผิดและปมในใจของทั้งสองได้ในทันที สามารถจินตนาการได้เลยว่า ผู้หญิงคนหนึ่ง ผู้หญิงที่สวยเลิศล้ำคนหนึ่ง ถูกผู้ชายคนหนึ่งแอบมองเรือนร่าง ถ้าเธอไม่ได้มีความสัมพันธ์ดังเช่นคู่รักกับชายคนนั้น จะเผชิญหน้าอย่างไร?
“คุณหนู จากความคิดของฉัน ครั้งนี้ถ้าพวกเราต้องการแลกเปลี่ยนข้อมูลลับให้สำเร็จ จะต้องพึ่งพาเย่เทียนเฉิน!” หย่งชุนไท่กล่าวเสียงเบาพลางมองหลิ่วหรูเหมยอย่างจริงจัง
“นี่…หย่งชุนไท่ คุณมองเจ้าหมอนี่ดีขนาดนั้นจริงๆ เหรอคะ? เขาดูไม่น่าเชื่อถือมากเลยจริงๆ ดูไม่น่าเชื่อถือเหมือนเมื่อปีนั้น…” หลิ่วหรูเหมยกล่าวถามด้วยใบหน้าแดงเรื่อ
“คุณหนู เย่เทียนเฉินคนนี้แม้ว่าจะดูเหยาะแหยะไปบ้าง บางทีอาจจะทำให้คนอื่นมองว่าไม่จริงจังไม่น่าเชื่อถือ แต่ว่าพอเขาจริงจังขึ้นมา จะต้องเป็นปิศาจร้ายที่ไม่สามารถหยุดยั้งได้แน่นอน การเดินทางไปประเทศ M ครั้งนี้ของพวกเรา กล่าวได้ว่าเป็นกรเข้าถ้ำเสือ เพื่อที่จะสามารถเอาข้อมูลลับนั้นมาให้ได้ หากต้องการประสบความสำเร็จ จำเป็นต้องพึ่งเย่เทียนเฉิน” หย่งชุนไท่กล่าวอย่างเข้มงวด
หลิ่วหรูเหมยชะงักไปชั่วครู่ หย่งชุนไท่อยู่ข้างกายเธอมาโดยตลอด ปกป้องคุ้มครงเธอมาสิบกว่าปีแล้ว แม้ว่าภายนอกจะมีความสัมพันธ์แบบเจ้านายกับลูกจ้าง แต่ว่าหลิ่วหรูเหมยเห็นหย่งชุนไท่เป็นคุณยายของตนเองมาโดยตลอด เห็นเป็นญาติของตนเอง ไม่ได้มองเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาเลยแม้แต่น้อย
ได้ยินคำพูดเหล่านี้ของหย่งชุนไท่ หลิ่วหรูเหมยรู้ดีว่าหย่งชุนไท่ประเมินเย่เทียนเฉินไว้สูง กระทั่งเดิมพันว่าภารกิจครั้งนี้จะสำเร็จหรือไม่ล้วนขึ้นอยู่กับเย่เทียนเฉิน
“หย่งชุนไท่คะ ต่อให้ฝีมือของเย่เทียนเฉินจะแข็งแกร่งมาก หนูก็คือว่าคงจะไม่ร้ายกาจกว่าคุณหรอกค่ะ หนูเชื่อว่ามีคุณอยู่ข้างกาย จะต้องสำเร็จภารกิจได้แน่นอน” หลิ่วหรูเหมยกล่าวด้วยรอยยิ้ม
หย่งชุนไท่มองหลิ่วหรูเหมยครู่หนึ่ง กล่าวพลางส่ายหัวว่า “คุณหนู ถึงแม้เมื่อครู่นี้ฉันกับเย่เทียนเฉินจะประมือกันกระบวนท่าหนึ่ง ดูเหมือนฝีมือจะไม่ต่างกันมาก แต่นั่นฉันลอบโจมตี กล่าวตามจริง ฉันรู้สึกได้ถึงพลังงานอันแข็งแกร่งที่ซ่อนอยู่ในร่างกายของเย่เทียนเฉิน ราวกับซ่อนมังกรยิ่งใหญ่ที่หลับใหลไว้ตัวหนึ่ง เมื่อมันตื่นขึ้นมา ไม่มีใครที่ขวางมันได้ ถ้าฉันใช้พลังเต็มที่อาจจะสู้กับเขาได้ แต่ไม่มีทางทำให้เขาได้อย่างเด็ดขาด”
“หย่งชุนไท่ คุณจะถ่อมตัวไปหรือเปล่าคะ ด้วยฝีมือของคุณ ในจีนมีเพียงไม่กี่คนที่สามารถสู้กับคุณได้ ต่อให้เย่เทียนเฉินร้ายกาจขนาดไหน ก็ไม่มีทางเอาชนะคุณได้อย่างแน่นอน” หลิ่วหรูเหมยแย้มยิ้มพลางกล่าวอย่างไม่เชื่อ
“คุณหนู ฉันจะพูดตามจริงสักประโยค ความสามารถของเย่เทียนเฉินยังเหนือกว่าฉันขึ้นไปอีก” หย่งชุนไท่มองหลิ่วหรูเหมยอย่างจริงจังพลางพยักหน้า
หลิ่วหรูเหมยสั่นสะท้านไปทั้งตัว มองหย่งชุนไท่ด้วยอาการปากอ้าตาค้าง ตั้งแต่เล็กจนโต หย่งชุนไท่ต่างก็ปกป้องคุ้มครองเธอ เธอย่อมรู้ดีว่าหย่งชุนไท่ร้ายกาจขนาดไหน แม้ไม่ใช่ยอดฝีมืออันดับหนึ่งของจีน แต่เกรงว่าการเข้าสู่ห้าอันดับแรกก็ไม่ใช่ปัญหา
แต่ว่า ได้ยินหย่งชุนไท่กล่าวว่าความสามารถสู้อีกฝ่ายไม่ได้ คำประเภทนี้เป็นครั้งแรกที่หลิ่วหรูเหมยได้ยิน ต้องทราบว่าหย่งชุนไท่เป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งของเพลงหมัดหย่งชุนจากพรรควรยุทธโบราณ เป็นหัวหน้าพรรครุ่นที่เก้าสิบสอง ความสามารถของเธอลึกล้ำเกินคาดเดา ฝึกฝนมวยหย่งชุนมาเกือบครึ่งศตวรรษ ในช่วงเวลาสิบกว่าปีที่ปกป้องคุ้มครองหลิ่วหรูเหมยนี้ หาคู่ต่อสู้ที่มีฝีมือทัดเทียมกันได้ยากมาก ดังนั้นตอนที่เธอพูดประโยคที่ว่าฝีมือไม่อาจเทียบเย่เทียนเฉินได้ หลิ่วหรูเหมยจะไม่สั่นสะท้านได้อย่างไร?
“นี่…” หลิ่วหรูเหมยจู่ๆ ก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี อดไม่ได้ที่จะหันไปมองเย่เทียนเฉินที่หลับอยู่บนที่ของตนเองด้วยใบหน้าท่าทางอัปลักษณ์ คิดว่าภารกิจครั้งนี้ต้องพึ่งพาเจ้าคนชั่วนี่จริงๆ หรือ?
“คุหนูไม่ต้องกังวลไป จากที่ฉันเห็นในเมื่อเย่เทียนเฉินตอบรับว่าจะอยู่ต่อแล้ว ภารกิจครั้งนี้จะต้องสำเร็จได้แน่นอน” หย่งชุนไท่กล่าว
“หย่งชุนไท่คะ คุณเชื่อมั่นในตัวเขาขนาดนี้จริงๆ เหรอคะ?” หลิ่วหรูเหมยรูกสึกแปลกใจเล็กน้อย นี่เป็นครั้งแรกที่หย่งชุนไท่เจอหน้าเย่เทียนเฉิน ทั้งคู่เพียงสู้กันหนึ่งกระบวนท่าเท่านั้น ถึงกับทำให้หย่งชุนไท่เชื่อถือในตัวเย่เทียนเฉินเช่นนี้ ไม่รู้เลยจริงๆ ว่าเย่เทียนเฉินคนนี้มีอะไรพิเศษ
“ไม่ใช่ความเชื่อ แต่เป็นศักยภาพ เขามีศักยภาพเช่นนี้!” หย่งชุนไท่มองเย่เทียนเฉินที่หลับอุตุอยู่ทางด้านหนึ่งพลางเปิดปากกล่าว
บทสนทนาของหย่งชุนไท่และหลิ่วหรูเหมย ทำให้หลิ่วหรูเหมยตกตะลึง และทำให้สายตาสงสัยที่มองไปยังเย่เทียนเฉินหายไป แน่นอนว่าเจียงเหมิงและเฟยอวิ๋นไม่ได้ยิน
เจียงเหมิงและเฟยอวิ๋นเป็นสมาชิกหัวกะทิของกองทัพเหยี่ยว ฝีมือความสามารถก็แข็งแกร่งเป็นอย่างมากเช่นกัน และครั้งนี้หัวหน้ากองทัพอย่างเหยียนหลงส่งพวกเขามาปกป้องคุ้มครองหลิ่วหรูเหมย ส่วนเย่เทียนเฉินเป็นชางหลางที่เชิญมา เหยียนหลงและชางหลางเป็นคู่แข่งที่ไม่ลงรอยกัน ดังนั้นเจียงเหมิงและเฟยอวิ๋นจึงมีความรู้สึกเป็นศัตรูกับเย่เทียนเฉินเป็นอย่างมาก เย่เทียนเฉินก็ไม่พอใจพวกเขาสองคน สมดุลภายในนี้ยังต้องหาทางรับมือ ไม่อาจให้มีผลกระทบไปถึงกับภารกิจครั้งนี้
เวลาเจ็ดโมงเช้ากว่าๆ เฮลิคอปเตอร์ที่พวกเย่เทียนเฉินโดยสารมา ลงจอดที่ชานเมืองวอชิงตัน เมื่อเย่เทียนเฉิน หลิ่วหรูเหมย หย่งชุนไท่ เจียงเหมิงและเฟยอวิ๋นลงจากเครื่องบิน ก็มีรถลีมูซีนสีดำสามคันจอดอยู่ที่สนามหญ้าแล้ว รอการมาถึงของพวกเขา
คนที่เป็นหัวหน้าเป็นชายชาวจีนวัยกลางคน บนใบหน้ามีรอยแผลเป็นจากดาบที่ลึกมากรอยหนึ่งพาดจากหางตาซ้ายไปถึงขากรรไกรล่าง หากว่าขยับใกล้อีกเพียงนิดเดียว ตาซ้ายของเขาคงจะเสียไปแล้ว
หย่งชุนไท่และหลิ่วหรูเหมยเดินนำหน้าสุด เย่เทียนเฉินเดินตามไปเป็นอันดับสอง เจียงเหมิงและเฟยอวิ๋นกลับมองไปรอบข้างอย่างระมัดระวัง เพื่อป้องกันการลอบโจมตีอย่างกะทันหัน
ผู้คุ้มกันสามคน เย่เทียนเฉิน เจียงเหมิง และเฟยอวิ๋น ไม่นับรวมหย่งชุนไท่ เพราะเธอคุ้มครองความปลอดภัยของหลิ่วหรูเหมยตลอด ในหมู่คนเหล่านี้มีเพียงเจียงเหมิงและเฟยอวิ๋นที่มีระเบียบวินัย คอยระมัดระอยู่ข้างหลัง มองไปยังรอบด้านตลอดเวลา สถานที่ที่มีหญ้าขึ้นเชียวชะอุ่มเช่นนี้ ถ้าหากมีคนลอบโจมตีจะไม่มีแม้กระทั่งที่กำบัง เป็นเป้าที่มีชีวิตโดยสิ้นเชิง
“พวกสมองหมูทั้งสองคนอย่างมองไปทั่วสิ ไม่มีคนซุ่มโจมตี คนกลุ่มนี้ของคฤหาสน์ตระกูลหลิ่วที่ตกทอดกันมาในวอชิงตันประเทศ M ดูท่าแล้วก็ไม่ใช่พวกกินหญ้า ไม่ถูกอีกฝ่ายลอบติดตามหรอก” เย่เทียนเฉินหันไปมองเจียงเหมิงและเฟยอวิ๋นพลางกล่าว
“เฮอะ แกคิดว่าแกเป็นใครกัน? เป็นผู้วิเศษรึไง? แกบอกว่าไม่มีก็ไม่มีงั้นเรอะ?” เฟยอวิ๋นกล่าวอย่างเหยียดหยาม
“อย่าพูดจาใหญ่โตนักนะ ถึงตอนนั้นเจอเข้ากับศัตรูที่แข็งแกร่งแล้วตกใจจนฉี่ราดคงไม่ดีแน่” เจียงเหมิงพูดฉีกหน้าเย่เทียนเฉิน
“คนโง่สองคน เก็บแรงไว้ดีกว่านะ คืนนี้จะมีการต่อสู้ครั้งใหญ่แน่นอน”
เย่เทียนเฉินขี้เกียจสนใจเจียงเหมิงและเฟยอวิ๋นทั้งสองแล้ว เมื่อสักครู้ตอนที่ลงจากเครื่อง พลังพิเศษแห่งการรับรู้ของเขาก็แผ่ขยายไปสำรวจมาแล้ว สรรพสิ่งรอบด้านภายในหนึ่งพันเมตร ล้วนแต่รับรู้ทุกซอกทุกมุม รู้นานแล้วว่าใกล้ๆ ไม่มีคนซุ่มโจมตี ปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็น
…………………………………………..