ตอนที่ 83-4 มาติดตามข้า ดีไหม

ยอดหญิงอันดับหนึ่ง

ด้านเว่ยอ๋อง พอฟังถึงตรงนี้ ก็เหลือบมองป้านสุราบนโต๊ะ ท่ามกลางสายตาผู้คน แม้อยากทำลายทิ้ง ก็ไม่มีปัญญาลงมือ อย่าว่าแต่ พอเจี่ยไทเฮาฟังฉินอ๋องได้เพียงครึ่งเดียว ก็สั่งให้จูซุ่นนำราชองครักษ์ไปที่โต๊ะของเหล่าองค์ชาย นำป้านสุราแต่ละป้านมาตรวจดู

 

 

และแค่ป้านสุราสองชั้นป้านหนึ่ง จึงตรวจพบได้ไม่ยาก

 

 

ซึ่งเว่ยอ๋องก็คือผู้ที่ใช้ป้านสุราสองชั้นของฉินอ๋อง ดังนั้น เจ้าของป้านสุราดอกท้อก็คือเว่ยอ๋อง

 

 

เว่ยอ๋องกลอกตาไปมา ไม่รอให้ไทเฮากริ้ว รีบก้าวเข้าไป ยกชุดยาว คุกเข่าลงก่อน

 

 

“เสด็จย่า หลานก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น!”

 

 

พอมเหสีรองเหวยเห็นโอรสพรวดพราดออกไปเช่นนี้ ก็นึกด่าในใจ แต่กลับอ้าปากร้องขอความเป็นธรรม โดยดึงผ้าเช็ดหน้าออกมา พลางละล่ำละลักอยู่ด้านล่าง

 

 

“ไทเฮาต้องตรวจดูให้แน่ชัดนะเพคะ ต้องเป็นพวกบ่าวแน่ๆ ที่รีบร้อนแล้วหยิบผิดหยิบถูก หยิบสุราดอกท้อมาปะปนกับสุราขององค์ชาย!”

 

 

เจี่ยไทเฮายิ้มเย็นชา “ใช่บ่าวในวังหยิบผิดหรือไม่ ตรวจสอบไม่นานก็รู้ได้ เพราะผู้ที่ดื่มสุราดอกท้อในงานเลี้ยงน่าจะมีไม่กี่คน! ตรวจไม่ยากหรอก!”

 

 

ตอนซุนจวิ้นอ๋องเห็นฉากนี้ เข่าก็อ่อนไปแต่แรกแล้ว

 

 

ช่วงงานเลี้ยงเริ่มได้ไม่นาน แล้วสุราถูกนำมาวางบนโต๊ะ ขันทีคนสนิทข้างกายเว่ยอ๋องก็ยิ้มตาหยี เดินเข้ามาหาเขาพร้อมป้านสุราหยกในมือ บอกว่านี่เป็นสุราที่เว่ยอ๋องเก็บมานานหลายปี อยากให้คุณชายสูงศักดิ์ไม่กี่ท่านลองชิมดู ซึ่งซุนจวิ้นอ๋องชอบประจบประแจงเหล่าองค์ชายอยู่แล้ว แต่ปกติขออะไรไปก็ไม่เคยได้ พอเห็นว่าวันนี้เว่ยอ๋องยอมลดตัวลง มามอบสุราให้เป็นครั้งแรก ก็ยินดีปรีดายิ่ง รีบรับป้านสุราหยกไว้

 

 

และพอขันทีจากไป ค่อยพบว่าป้านสุราดอกท้อของตนที่วางอยู่บนโต๊ะก่อนหน้านี้ หายไป จึงคิดว่า บ่าวอาจเห็นว่าบนโต๊ะมีสุราเกินมาหนึ่งป้าน จึงเก็บกลับคืน โดยไม่คิดอะไรมาก แต่ตอนนี้ดูไปแล้ว ที่แท้ตนก็ถูกเว่ยอ๋องใช้เป็นเครื่องมือในการทำร้ายไทเฮาและป้ายสีฉินอ๋อง

 

 

ส่วนการที่มู่หรงไท่มานั่งข้างๆ ซุนจวิ้นอ๋อง ก็เพราะต้องการจับตาดูเขาไว้ ซึ่งจริงๆ แล้วที่เลือกซุนจวิ้นอ๋องก็มีสาเหตุเช่นกัน โดยในงานเลี้ยงไม่ใช่ซุนจวิ้นอ๋องคนเดียวที่ดื่มสุราดอกท้อ เพียงแต่ซุนจวิ้นอ๋อง เป็นหลานของซื่อจื่อในตระกูลขุนนางผู้บุกเบิกแคว้น เป็นคนอ่อนแอและขี้ขลาด ไม่มีความสามารถอะไร ปกตินอกจากสอพลอองค์ชายและผู้มีอำนาจแล้ว ก็เอาแต่สวมหมวกพระญาติเตร็ดเตร่ไปวันๆ ถ้าถูกจับได้ขึ้นมา ขมขู่หน่อย ก็น่าจะไม่กล้าพูดอะไร

 

 

พอมู่หรงไท่เห็นซุนจวิ้นอ๋องหน้าซีด เหงื่อกาฬหลั่งไหล ก็รู้ว่า เมื่อถึงเวลาเขาต้องแฉทุกอย่างออกมาแน่

 

 

ในชาติที่แล้ว สุราดอกท้อของซุนจวิ้นอ๋องถูกนำไปรินให้ไทเฮาดื่ม จนอาการภูมิแพ้กำเริบ แม้ไม่ใช่

 

 

ความผิดของเขา แต่เขาก็ถูกโยงใยและถูกลดตำแหน่งลง ชาตินี้ ก็คงต้องเคราะห์ร้ายต่อ

 

 

คิดแล้ว มู่หรงไท่ก็โน้มตัวเข้าไปพูดขู่เสียงเบา “ถ้าหุบปากไว้ วันหน้าท่านจะได้ดี แต่ถ้าปากมาก แม้ไทเฮาให้อภัย แต่คนสกุลเหวยไม่ปล่อยท่านไว้แน่”

 

 

อ๋องต่างสกุลจะเทียบกับอ๋องสกุลเดียวกันกับฮ่องเต้ได้อย่างไร! สกุลเหวยรุ่งโรจน์จากการพึ่งพามเหสีรองเหวยที่เป็นคนโปรดมาสิบกว่าปี แผ่อิทธิพลกับผู้คนมานักต่อนักทั้งในและนอกวัง สร้างหลักฐานเท็จและสังหารขุนนางชั้นสูงที่ไม่เห็นด้วยกับตนน้อยเสียที่ไหนกัน ซุนจวิ้นอ๋องจึงย่นจมูก ร่างพลางสั่นเทิ้ม

 

 

ไม่นาน ราชองครักษ์ก็ตรวจพบว่า สุราดอกท้อเป็นของซุนจวิ้นอ๋อง

 

 

จูซุ่นขมวดคิ้ว แล้วจึงหันมองซุนจวิ้นอ๋องที่หมอบอยู่กับพื้น

 

 

“มีคนมาขอสุราดอกท้อจากจวิ้นอ๋องหรือเปล่า”

 

 

ให้ตายอย่างไร ซุนจวิ้นอ๋องก็ต้องกัดฟันไว้ จึงพูดเสียงสั่น “ไม่ ไม่มี”

 

 

จูซุ่นไม่เชื่อ “แต่สุราของจวิ้นอ๋องถูกเปลี่ยนกลางคันชัดๆ แล้วก่อนหน้านี้สุราดอกท้อป้านนั้นอยู่ที่ไหน”

 

 

ซุนจวิ้นอ๋องกลืนน้ำลายไปคำหนึ่ง ก่อนยืนยัน “ข้าไม่รู้จริงๆ…” เขากำลังแสร้งโง่ แสร้งมึน

 

 

เจี่ยไทเฮารู้ดีว่า เจ้าห้าต้องถูกโยงใยเข้ามาอย่างช่วยไม่ได้ แต่ซุนจวิ้นอ๋องก็ถูกข่มขู่จากอำนาจมืดอย่างเห็นได้ชัด ถึงได้ไม่กล้าแฉตัวผู้บงการเบื้องหลังออกมา จึงตบที่เท้าแขนเก้าอี้หงส์ แล้วยิ้มเย็นชา

 

 

“ดี กักบริเวณซุนจวิ้นอ๋องไว้ในจวนจวิ้นอ๋องก่อน แล้วให้สำนักพระราชวังส่งคนไปเฝ้าเอาไว้!”

 

 

ซุนจวิ้นอ๋องจึงถูกราชองครักษ์ลากตัวออกไป

 

 

เว่ยอ๋องจึงโล่งอกชั่วคราว เหงื่อในตัวแห้งไปบ้าง แต่ผ่อนคลายได้ไม่นาน ก็กลัวขึ้นมาว่า ซุนจวิ้นอ๋องอาจทนไม่ไหว และปากมากในที่สุด จึงเหลือบมองมู่หรงไท่

 

 

เมื่อมีกันชนทั้งที ยังจัดการไม่ได้อีกหรือ? ทำให้หุบปากตลอดไปก็สิ้นเรื่อง มู่หรงไท่จึงยกถ้วยชาขึ้นจิบคำหนึ่ง ก่อนจับขอบถ้วยไว้ตรงคอของตนเอง แล้ววาดผ่านอย่างรวดเร็ว ส่งสัญญาณมือให้ “ฆ่า”

 

 

เว่ยอ๋องเข้าใจ

 

 

การก่อเรื่องเช่นนี้ ทำให้เหล่าชนชั้นสูงเหงื่อไหลไคลย้อยไปตามๆ กัน แม้เจี่ยไทเฮาแค่ตกพระทัย ไม่เป็นอันตรายอะไร แต่เจี่ยงฮองเฮาก็ต้องทำหน้าที่ผู้นำ ลุกขึ้นยืนให้ทุกคนลุกขึ้นยืนตาม แล้วคารวะสุราเจี่ยไทเฮา

 

 

หลังผ่านพ้นเหตุการณ์ในครั้งนี้ไป เจี่ยไทเฮาก็รู้สึกรังเกียจเว่ยอ๋องเพิ่มมากขึ้น จึงยิ่งเย็นชากับมเหสีรองเหวย

 

 

อวิ๋นหว่านถงยืนอยู่หลังพี่สาวตลอดตั้งแต่ต้นจนจบ ความปิติยินดีก็พลอยลดน้อยถอยลงไปด้วย ต่อให้นางไม่สนใจการเมืองเลย ก็รู้ดีว่า เว่ยอ๋องมีเอี่ยวกับสุราดอกท้ออย่างเห็นได้ชัด วันนี้แม้ไม่ถูกปลด ก็ถูกไทเฮาหมายหัวไว้แล้ว แม้ไม่มีหลักฐาน แต่ต่อไปถ้าไทเฮาคิดเล่นงานเว่ยอ๋อง ก็ง่ายดังพลิกฝ่ามือ

 

 

เว่ยอ๋องเป็นโอรสมเหสีคนโปรด สกุลเหวยมีอิทธิพลใหญ่โต อนาคตน่าจะสดใส…มีความเป็นไปได้ ที่จะเข้าแทนที่ตำแหน่งรัชทายาทของซย่าโหวซื่อจุน แต่ทำไม…นางในตอนนี้ถึงขนลุกขนพอง รู้สึกถึงอนาคตที่ไม่สู้จะดีเท่าไหร่ พอคิดเช่นนี้ ก็ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง

 

 

เมี่ยวเอ๋อร์ที่อยู่ข้างๆ มองออกว่านางรู้สึกไม่สบายใจ จึงได้แต่กระซิบบอก

 

 

“เมื่อคุณหนูสามเลือกเอง ก็อย่าได้เสียใจ”

 

 

อวิ๋นหว่านถงจึงยิ้มนิ่มๆ

 

 

“เสียใจ? ข้าเสียใจอะไร อูฐผอมตายยังยิ่งใหญ่กว่าม้า ถึงจะตกต่ำ ก็เคยยิ่งใหญ่มาก่อน ถึงเว่ยอ๋องโชคร้าย ข้าก็ยังได้ชื่อว่าเป็นลูกสาวสกุลอวิ๋นที่มีความสามารถมากที่สุด สามีในอนาคตของพี่ใหญ่ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะเกินหน้าข้า ส่วนสาวใช้อย่างเจ้า ต่อให้สิบชาติ ก็ไม่มีทางเป็นอย่างข้าได้”

 

 

พอได้ดี ก็ลืมกำพืด เผยตัวตนที่แท้จริงออกมา

 

 

“สมกับเป็นลูกสาวอนุฟางจริงๆ” เมี่ยวเอ๋อร์หัวเราะเยาะ

 

 

อวิ๋นหว่านถงหน้าแดงถึงใบหู แต่ก็กัดฟันอดทนไว้

 

 

เวลาครึ่งวัน ผ่านไปอย่างรวดเร็ว งานเลี้ยงช่วงเช้าเสร็จสิ้นลง

 

 

ตามธรรมเนียม หลังจากแยกย้ายกันพักผ่อนในช่วงบ่าย ช่วงเย็น หญิงสาวสูงศักดิ์ทั้งหลายก็จะล่องเรือ ชมทิวทัศน์ทะเลสาบเฉิงเทียนเป็นเพื่อนเจี่ยไทเฮา ส่วนชายหนุ่มเชื้อพระวงศ์และลูกขุนนางชั้นสูง คนในวังก็จะพาไปชมสวนสัตว์ ชมสนามขี่ม้า สนามยิงธนูเป็นต้น

 

 

เหตุการณ์ในช่วงเช้า ทำให้เจี่ยไทเฮาประทับใจในตัวอวิ๋นหว่านชิ่นมาก ถ้าไม่ใช่เพราะเด็กคนนี้ ตนคงดื่มสุราดอกท้อผิดป้านนั่นไปแล้ว ตอนล่องเรือ จึงขอกับสนมเอกโดยเฉพาะ ให้อวิ๋นหว่านชิ่นมาล่องเรือด้วย

 

 

โดยในทุกๆ ปี ล้วนแล้วแต่เป็นอวี้โหรวจวงที่นั่งล่องเรือเป็นเพื่อนไทเฮา มาปีนี้ นางก็ทำเหมือนปีก่อนๆ รอที่จะลงเรืออยู่บนโป๊ะ แต่กลับเห็นอวิ๋นหว่านชิ่นพยุงไทเฮาด้วยการให้คล้องแขน ก่อนก้าวลงเรือพระที่นั่งไปด้วยกัน จึงยืนอึ้ง อิจฉาตาร้อนขึ้นมาทันที

 

 

ยามบ่ายปลายฤดูใบไม้ผลิ แดดกำลังดี ไม่แรงจนเกินไป พอดีกับที่ระลอกคลื่นสีเขียวในทะเลสาบเฉิงเทียนที่เคลื่อนตัวมาเป็นพักๆ สายลมโชยมาเบาๆ สายน้ำเต้นระยิบระยับ คนถ่อเรือปล่อยให้เรือน้อยลอยอ้อยอิ่งอยู่กลางทะเลสาบ กะว่าใกล้มืดค่ำ ค่อยถ่อกลับมา

 

 

ขณะนั่งรับลมอยู่ตรงหัวเรือ สายลมโชยกลิ่นสุราในงานเลี้ยงจนจางหาย ทำให้รู้สึกสดชื่นแจ่มใส ผิวหน้าผ่อนคลาย เวลาเพียงครึ่งวัน ในงานเลี้ยงเล็กๆ งานหนึ่ง กลับมีเรื่องเกิดขึ้นไม่หยุดหย่อน วังหลวง…เป็นที่ๆ กินคนได้จริงๆ คนที่อยู่ในนั้นทนได้อย่างไร ใช้ชีวิตให้ผ่านไปวันๆ ได้อย่างไร…อวิ๋นหว่านชิ่นไม่อยากคิดมาก จึงตามรับใช้เจี่ยไทเฮาอยู่ข้างกายอย่างระมัดระวัง พลางซึมซับทิวทัศน์ที่สวยงามในวัง

 

 

เจี่ยไทเฮาคุยสรรพเพเหระกับเด็กสาวข้างกาย โดยนอกจากเรื่องเย็บปักถักร้อย เรื่องเครื่องประทินผิวของกุลสตรีทั่วไปแล้ว ยังมีกรรมวิธีและเคล็ดลับเล็กๆ น้อยๆ ในการทำเครื่องสำอางด้วย ทำให้ทรงเกษมสำราญยิ่ง จึงอดไม่ได้ที่จะคุยให้ลึกลงไปอีก สุดท้ายก็หัวเราะพลางว่า

 

 

“วันเดียวก็ออกจากวังแล้ว สั้นไปจริงๆ ข้ายังอยากให้นังหนูอยู่เป็นเพื่อนให้นานกว่านี้”

 

 

จูซุ่นเอะใจ ด้วยรู้ใจเจี่ยไทเฮา จึงว่า

 

 

“ก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ ในทุกๆ ปีที่คุณหนูอวี้เข้าวัง ก็มักค้างคืนในวัง จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร งาน

 

 

เลี้ยงของปีก่อนและปีก่อนหน้า ไทเฮายังให้ท่านหญิงสวี่แห่งเมืองสวี่ และคุณหนูหลินแห่งสถาบันฮั่นหลิน พัก

 

 

ค้างคืนในตำหนักฉือหนิงเช่นกัน!”

 

 

อ้อใช่ เจี่ยไทเฮานึกขึ้นได้ ปีก่อน ท่านหญิงสวี่ เป็นท่านหญิงที่มีฝีมือเป็นเลิศด้านการนวด เวลากำปั้นเล็กๆ ดุจสำลีตามธรรมชาติทั้งสองข้างของนางทุบไปตามร่างกาย ตนจะรู้สึกสบาย คล้ายกระดูกกระเดี้ยวทาด้วยน้ำผึ้งอย่างไรอย่างนั้น ซึ่งตนติดใจจนให้นางอยู่ปรนนิบัติถึงดึกดื่นค่ำคืน

 

 

ส่วนคุณหนูหลิว ผู้เชี่ยวชาญด้านการเขียนพู่กันที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวง เป็นมือหนึ่งด้านการเขียนอักษรตัวบรรจงของสกุลหลิว ลายเส้นของนาง สามารถชำระจิตให้รู้สึกเบาสบาย นางจึงพักอยู่ในวังหนึ่งคืน เพื่อคัดลอกบทสวดมนต์ให้ตนอย่างเคารพนบนอบ

 

 

พอคิดได้เช่นนี้ เจี่ยไทเฮาก็กุมมืออวิ๋นหว่านชิ่นไว้ พูดพลางยิ้มระรื่น

 

 

“ดี เช่นนั้นก็ตามนี้ หลังจากงานเลี้ยงในวันนี้ คุณหนูอวิ๋นจะค้างคืนในตำหนักฉือหนิง อยู่คุยเป็นเพื่อนข้า แล้ววันรุ่งขึ้นค่อยกลับ”

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นรีบถอนสายบัวตอบรับ

 

 

พอกลุ่มคุณหนูบ้านขุนนางที่นั่งเรือมาด้วยกันได้ยิน ต่างก็แสดงท่าทีริษยา หันมาซุบซิบนินทากันยกใหญ่ เนื่องจากใครก็ตามที่ไทเฮาให้พักค้างคืนด้วย ถือว่าบุญหล่นทับ ตอนออกเรือนยังใช้เป็นข้อต่อรองได้อีก

 

 

ท้ายเรือ อวี้โหรวจวงซึ่งมีลวี่สุ่ยคอยพยุง เอาแต่จ้องมองไปยังหัวเรือ ท่ามกลางคนในวังที่ยืนอยู่เต็มเรือ สายตาทุกคู่คล้ายพุ่งไปที่อวิ๋นหว่านชิ่น เห็นใบหน้ารูปไข่แดงระเรื่อ ท่าทางกระตือรือร้น ครั้นเห็นเจี่ยไทเฉามองนางอย่างรักใคร่เอ็นดู ก็ยิ่งรู้สึกหมั่นไส้…ตอนนี้ พอได้ยินเจี่ยไทเฮาบอกให้อวิ๋นหว่านชิ่นอยู่ในวังเป็นเพื่อนหนึ่งคืน อวี้โหรวจวงก็ถลึงตามอง

 

 

นางมีสิทธิ มีความสามารถตรงไหน มีคุณสมบัติอะไรกันแน่ ที่เข้าตาไทเฮา

 

 

อวี้โหรวจวงกำมือ ขณะเรือพระที่นั่งเข้าเทียบท่า