ตอนที่ 106 เสียงคำรามของเครื่องยนต์

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์

ก่อนหมาป่ามาเยือน เกือบทุกคนคิดว่าเริ่นเสี่ยวซู่ขี้ระแวงเกินไป อันตรายผ่านพ้นไปแล้ว ทำไมยังจะเดินทางต่ออีก

ทว่าพอหมาป่ามาเยือน ทุกคนก็เข้าใจในพลันว่าเริ่นเสี่ยวซู่เอาตัวรอดในแดนรกร้างมาหลายต่อหลายปีได้อย่างไร

“วิ่งเร็ว!”

“ใครไม่อยากตายก็รีบวิ่ง อย่ามัวแต่ช้า!”

คนส่วนใหญ่รีบรวมสติแล้ววิ่งไปทิศเดียวกันกับที่เริ่นเสี่ยวซู่เพิ่งมุ่งหน้าไป ความกลัวที่ต้องเจอแมลงหน้าคนเป็นครั้งแรกนั้นหวนกลับมาอีกแล้ว!

เหตุการณ์ฝูงหมาป่าทำลายโรงงานจนผู้ปกครองป้อมสั่งให้ผู้อพยพมาฝังศพยังผ่านมาไม่ถึงครึ่งเดือนดี ตอนนั้นพอผู้อพยพเห็นศพกองเป็นภูเขาเหล่ากาก็มีคนไม่น้อยอาเจียนออกมา

ต่อให้เป็นผู้อพยพที่เห็นความตายจนชาชิน ก็ยังไม่อาจทนเห็นภาพนองเลือดที่โรงงานนั่นได้ ศพที่ถูกขนออกมาจากที่นั่นวันนั้น ไม่มีร่างไหนที่ครบสมบูรณ์ดี ต้องมีส่วนใดส่วนหนึ่งโดนหมาป่าขย้ำฉีกออกจากร่าง

ตอนนั้นเริ่นเสี่ยวซู่ไม่ได้อยู่ในเมือง เลยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่สำหรับเหล่าผู้อพยพแล้ว พวกเขากลัวหมาป่าจนหัวหด

แต่ไม่ว่าเหล่าผู้อพยพจะอยากวิ่งหนีให้เร็วขึ้นแค่ไหน ร่างกายก็ไม่ทำตามเลย

ห่างออกไปไกลโข เริ่นเสี่ยวซู่กำลังนั่งเติมฟืนในกองไฟ พวกเขาอยู่ห่างออกไปมาก เลยไม่ได้ยินเสียงหมาป่า

หม้อเล็กๆ เหนือกองไฟมีควันโชย เริ่นเสี่ยวซู่ตัดเนื้อตากแห้งสองชิ้นที่เสี่ยวอวี้เตรียมมา จากนั้นก็โยนลงหม้อที่กำลังต้มโจ๊กอยู่ พริบตานั้นกลิ่นหอมของเนื้อก็ลอยฟุ้งไปทั่ว ส่วนหวังต้าหลงมองด้วยสายตาหิวโหย

เริ่นเสี่ยวซู่หันไปมองทุกคนแล้วพูด “อย่านั่งรออยู่เฉยๆ นวดกล้ามเนื้อไปด้วย พรุ่งนี้ยังต้องวิ่งกันอีก”

“กลิ่นหอมจัง” เหยียนลิ่วหยวนดมฟุดฟิด

“ระหว่างทางเห็นผักชีป่า เดี๋ยวตำสักหน่อยแล้วโยนลงหม้อ กลิ่นจะหอมขึ้นอีก” เริ่นเสี่ยวซู่ยิ้ม

ผักชีส่วนใหญ่ที่เจอในเมืองจะเป็นแต่ต้นอ่อน แต่ว่าผักชีนั้นสามารถโตสูงได้ถึงครึ่งหนึ่งของมนุษย์ เอาจริงๆ แล้วพอมันโตมากกว่าเป็นแค่ต้นอ่อน ก็มีหลายคนที่ถึงกับดูไม่ออกว่ามันคือผักชี

“ผักชีเหรอ” หวังต้าหลงเบ้ปาก “ไม่เอาผักชี!”

“นายไม่กินผักชี?” เริ่นเสี่ยวซู่ผงะ “กลิ่นออกจะหอม ทำไมไม่กินล่ะ”

“กลิ่นผักชีกลิ่นอย่างกับตัวเรือด ได้กลิ่นแล้วอยากอ้วก” หวังต้าหลงว่า “พวกนายกินลงไปได้ไงเนี่ย”

เริ่นเสี่ยวซู่มองผักชีในเมืองแล้วหัวเราะขัน “คงเพราะยังไม่เคยลองกินตัวเรือดมั้ง”

หวังต้าหลง “???”

ฉันก็ไม่เคยกินโว้ย!

หวังฟู่กุ้ยตักโจ๊กชามเล็กๆ ให้ลูกชายอย่างอารมณ์เสีย จากนั้นก็กล่าวกับเริ่นเสี่ยวซู่ว่า “ถ้าอยากใส่ผักชีก็ใส่เถอะน่า ทำไมต้องไปแหย่ลูกฉันด้วย”

เริ่นเสี่ยวซู่หัวเราะคิกคัก แต่แล้วเขาก็เห็นว่าหวังฟู่กุ้ยตักโจ๊กให้หวังต้าหลงนิดเดียวเท่านั้น ทั้งยังตั้งใจไม่เอาเนื้อรมควันไปแม้แต่ชิ้นเดียวเพื่อเหลือให้คนอื่น

“เหล่าหวัง” เริ่นเสี่ยวซู่ว่าด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ฉันขอบคุณมากนะที่ลุงเข้ามาปกป้องเหยียนลิ่วหยวนกับพี่เสี่ยวอวี้น่ะ แถมตอนฉันเอาสัตว์ที่ล่าได้มาขายลุง ลุงก็ไม่เคยกดราคาอีก เรื่องพวกนั้นฉันจำได้หมดแหละ ไหนๆ พวกเราก็กำลังหนีไปด้วยกันอยู่แล้ว ไม่ต้องเกรงอกเกรงใจกันขนาดนั้นหรอก” เริ่นเสี่ยวซู่ดึงชามเหล็กใบน้อยของหวังต้าหลงกลับไป จากนั้นก็ตักโจ๊กใส่เพิ่ม ทั้งยังใส่เนื้อรมควันลงไปชิ้นหนึ่งด้วย

เสี่ยวอวี้พกชามเหล็กมาหลายใบ ในต้นฤดูเหมันต์เช่นนี้ ทุกคนต่างเอามือกุมชามโจ๊กแน่น เป็นการรอให้อาหารเย็นลงและอุ่นมือไปในตัว

เริ่นเสี่ยวซู่มักจะขายนกกระจอกที่จับมาได้ให้เหล่าหวังตลอด และมักจะอ้างว่าเดี๋ยวจะเอาไปขายให้ร้านของเหลาหลี่เพื่อเพิ่มราคาของ แต่ที่จริงแล้ว เริ่นเสี่ยวซู่เคยไปร้านของเหลาหลี่มาก่อน และที่นั่นเสนอราคามาแค่เก้าร้อยหยวนเท่านั้น ส่วนหวังฟู่กุ้ยนั้นบางทีก็จ่ายให้เขาถึงหนึ่งพันสองร้อยหยวนด้วยซ้ำไป

เมื่อฤดูหนาวมาเยือน ราคาที่หวังฟู่กุ้ยให้จะเพิ่มขึ้นสองสามร้อย และสองสามร้อยหยวนที่ว่าก็พอจะซื้อเสื้อกันหนาวใหม่ได้

บางครั้งเริ่นเสี่ยวซู่ก็รู้ว่าแม้ในยุคแห่งความยากลำบากเช่นนี้ ก็ยังมีคนที่เจิดจรัสไปด้วยความดีงามอยู่ ราวถ่านไฟกลางหิมะก็มิปาน

หวังฟู่กุ้ยมองเนื้อรมควันในชามหวังต้าหลงแล้วก็ถอนหายใจ “ฉันดีใจจริงๆ ที่ไม่ดูพวกเธอสองคนผิด”

ถึงเริ่นเสี่ยวซู่กับเหยียนลิ่วหยวนจะกวนโอ๊ยคนเก่งมาก หวังฟู่กุ้ยก็รู้ดีว่าพวกเขาทั้งสองรู้จักบุญคุณคน

“ลุงฟู่กุ้ยวางใจได้เลย” เหยียนลิ่วหยวนยิ้มพูด “พอถึงป้อม 109 เมื่อไร พวกเราจะช่วยลุงทำร้านขายของชำใหม่เอง!”

“ตอนนี้ต่างอับจน จะพูดเรื่องอดีตไปไย” หวังฟู่กุ้ยพูดปัดแบบยิ้มๆ

จริงๆ แล้วหวังฟู่กุ้ยเป็นคนเปิดกว้างกว่าที่เริ่นเสี่ยวซู่คิดไว้มาก ราวกับเขาไม่ยึดติดกับกิจการครอบครัวที่เปิดที่ป้อมปราการ 113 อะไรเลย

ตอนนั้นเอง เริ่นเสี่ยวซู่ได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากไกลๆ ดูเหมือนเป็นเสียงฝีเท้าของคนหลายร้อยกำลังวิ่งมาหาพวกเขาอยู่อย่างไรอย่างนั้น เริ่นเสี่ยวซู่ชักปืนออกมา หันไปมองคนอื่นๆ “รีบกินโจ๊กให้หมด”

พวกเหยียนลิ่วหยวนไม่สนแล้วว่าโจ๊กจะร้อนไม่ร้อน ต่างรีบสวาปามโจ๊กตามที่เริ่นเสี่ยวซู่สั่ง โชคยังดีที่มันเย็นลงมาบ้างแล้ว ไม่อย่างนั้นคงได้ลิ้นพองเป็นทิวแถว

เริ่นเสี่ยวซู่ขมวดคิ้วแน่น พลางมองกลุ่มคนหลายร้อยวิ่งเข้าหา “มีเรื่องไม่ชอบมาพากลแล้ว คนพวกนั้นวิ่งหนีตายชัดๆ พวกเราก็ต้องรีบหนีแล้วเหมือนกัน!”

ตอนแรกเริ่นเสี่ยวซู่ยังงงอยู่บ้างว่าทำไมจู่ๆ พวกเขาก็ออกเคลื่อนไหวอีกครั้ง ไหนบอกว่าจะพักที่โรงงานทรายหนึ่งคืนไม่ใช่หรือ ทว่าเขาก็พลันนึกออกทันที วิ่งหนีอีกรอบแบบนี้ ก็คือการวิ่งหนีตายอย่างไรเล่า!

พวกเริ่นเสี่ยวซู่ก็เคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็วเฉียบขาด ก่อนที่ฝูงชนจะมาถึงจุดที่พวกเขาอยู่ พวกเริ่นเสี่ยวซู่ก็ออกเดินทางไปต่อแล้ว

ฝูงชนข้างหลังพวกเขาทั้งปวดตัวทั้งหิวโหย ส่วนพวกเริ่นเสี่ยวซู่นั้นนวดกล้ามเนื้อมาแล้ว ทั้งยังรับประทานโจ๊กร้อนๆ อีก แม้จะกำลังหนีเหมือนกัน ทว่าสภาพการณ์ไม่เหมือนกัน

ในช่วงเวลาวิกฤติเช่นนี้ เริ่นเสี่ยวซู่จะแบกสัมภาระให้คนทั้งกลุ่ม ดังนั้นพวกเขาจึงเคลื่อนไหวได้สะดวกยิ่งขึ้น

เริ่นเสี่ยวซู่หันขวับไปมองยังเหนือยอดเนินเขาแห่งหนึ่ง ราชาหมาป่าขนเงินที่เขาเคยเห็นมาก่อนกำลังทอดสายตามองมายังกลุ่มมนุษย์ที่หนีกันอยู่ มันกำลังมองเหยื่อตัวเองอย่างเงียบงัน

พวกหมาป่ามักจะตามเหยื่อไปจนกว่าเหยื่อจะอ่อนล้า จากนั้นก็พุ่งโจมตีปลิดชีพ

ถ้าฝูงชนยังวิ่งไปด้วยความกลัวแบบนี้ ไม่นานใช้พละกำลังไปกับการหนีจนหมดสิ้นแน่ เมื่อยามนั้นมาถึง ฝูงหมาป่าก็จะเข้ามาจัดการเหยื่อของมัน

เริ่นเสี่ยวซู่ขมวดคิ้วมุ่น “พวกเราต้องห่างจากคนพวกนั้นให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ถึงบอกว่าต้องใช้พวกเขาต่างโล่จะฟังดูไม่ดีเท่าไรก็เถอะ แต่ก็มีหนทางเดียวแล้ว”

หวังฟู่กุ้ยรีบพูด “ใช้คนอื่นเป็นโล่ก็ไม่เลวนักหรอก…”

พอพูดจบปุ๊บ เริ่นเสี่ยวซู่ก็ได้ยินเสียงเครื่องยนต์คำรามลั่น เขานิ่งงันไป ทำไมถึงมีเสียงรถยนต์ด้วยล่ะ

เสียงเครื่องยนต์ดังหนวกหูนักในแดนรกร้าง ราวกับเป็นเสียงคำรามของสัตว์ป่าเสียงหนึ่ง

แต่ไม่นาน เริ่นเสี่ยวซู่ก็เข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร เป็นเสียงของคนที่หนีมาจากป้อมปราการนั่นเอง!

ดูแล้วเส้นทางหลบหนีของพวกเขาก็คงเป็นทางเดียวกับพวกตน แต่ไม่รู้เหมือนกันว่าคนที่รอดออกมาจากป้อมปราการมีมากน้อยเพียงไร