นี่เป็นครั้งแรกที่ทุกคนเห็นเป่ยกงถังยิ้ม ก่อนหน้านี้เธอเป็นคนเย็นชามาโดยตลอด รอยยิ้มนี้ชวนให้คนหลงใหลงงงวยอยู่บ้าง
“แค่กๆ” เว่ยจือฉีได้สติกลับคืนมาแล้วแกล้งกระแอมสองครั้งก่อนจะเอ่ยว่า “เจ้าผลอสรพิษทองคำนี่อยู่ที่ใดกันหรือ อีกนานเท่าใดจึงจะสุกงอม มีมนุษย์และสัตว์อสูรวิเศษให้ความสนใจกับมันมากมายเช่นนี้ พวกเราต้องคิดทางหนีทีไล่อะไรกันไว้หรือไม่”
เมื่อเว่ยจือฉีพูดเช่นนี้ ทุกคนก็ขมวดคิ้วมุ่น ลำพังแค่คิดถึงสัตว์อสูรเทพตนนั้นก็มากพอจะทำให้พวกเขาปวดเศียรเวียนเกล้าแล้ว ยังบวกกับสัตว์อสูรวิเศษทั่วทั้งเทือกเขาที่ถูกดึงดูดเข้ามาอีก รวมทั้งมนุษย์ที่คอยจ้องตาเป็นมันราวกับเสือจ้องเหยื่อ หากไม่วางแผน เกรงว่าคงยากที่จะสำเร็จได้
“ผลอสรพิษทองคำนี้อีกเจ็ดวันจึงจะสุกงอม ตอนนี้พวกเราไปหาที่ตั้งของมันกันก่อน หลังจากนั้นก็ไปดูลาดเลาที่นั่น แล้วค่อยมาคิดหาวิธีกันก็ได้” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
“แต่ว่าเจ้าผลอสรพิษทองคำนั่นอยู่ที่ไหนกัน พวกเราจะเดินทางไปยังทิศทางใดเล่า” เจ้าอ้วนชวีพูด
“ข้าพอจะรู้ที่ตั้งคร่าวๆ อยู่ เข้าไปยังพื้นที่ชั้นในก่อนก็จะหาพบได้อย่างง่ายดายแล้วล่ะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราก็ไปดูลาดเลากันก่อนเถิด” โอวหยางเฟยพูด
“ช้าก่อน” ซือหม่าโยวเย่ว์ส่งเสียงเรียกหยุดพวกเขาเอาไว้ เมื่อเห็นพวกเขาหันมามองตนจึงเอ่ยว่า “ซากหมาป่าเปลวอัคคีเมื่อคราวก่อนอยู่กับข้ามาโดยตลอด ตอนนี้ข้าจะแบ่งมันให้กับพวกเจ้า ถ้าถึงตอนนั้นพวกเราถูกจับแยกกัน พวกเจ้าก็ยังนำกลับไปส่งมอบภารกิจได้”
พูดแล้วเธอก็นำซากหมาป่าเปลวอัคคีภายในแหวนเก็บวัตถุออกมาจนหมดก่อนจะแบ่งให้คนละหลายตัวให้แต่ละคนเก็บเข้าไปไว้ภายในแหวนเก็บวัตถุของตนเอง หลังจากนั้นจึงเริ่มออกเดินทาง
อันที่จริงซือหม่าโยวเย่ว์ก็ไม่รู้เส้นทางเช่นกัน แต่มีหมัวซาคอยชี้ทางให้กับพวกเขาอยู่แล้ว พวกเขาเพียงแค่ต้องเดินตามทางเท่านั้นเอง
สามวันให้หลัง พวกเธอมาถึงพื้นที่ชั้นในของเทือกเขาอันเป็นที่อยู่ของผลอสรพิษทองคำแล้วตามรอยเท้าที่คนเหล่านั้นทิ้งเอาไว้มาถึงบนภูเขาแห่งหนึ่ง
ผลอสรพิษทองคำนั้นตั้งอยู่ตรงกลางหน้าผาแห่งหนึ่ง บนเนินเขาในรัศมีห่างไปร้อยกว่าเมตรล้วนมีผู้คนยืนอยู่เต็มไปหมด ภายในหุบเขาถูกสัตว์อสูรวิเศษจำนวนนับไม่ถ้วนครอบครองเอาไว้
ซือหม่าโยวเย่ว์และคนอื่นๆ มาถึงยังพื้นที่ว่างแห่งหนึ่ง เมื่อเห็นสถานการณ์โดยรอบแล้วต่างพากันสะดุ้งตัวลอย
“ผู้คนและสัตว์อสูรวิเศษมากมายเหลือเกิน!” เว่ยจือฉีอุทาน
“คิดจะช่วงชิงผลอสรพิษทองคำมาจากกำมือของผู้คนและสัตว์อสูรวิเศษมากมายถึงเพียงนี้…” โอวหยางเฟยมิได้เอ่ยคำพูดที่เหลือ แต่ทุกคนเข้าใจความหมายของเขา นั่นย่อมเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
“ไม่ว่าอย่างไร ข้าก็ไม่มีทางปล่อยไปง่ายๆ แน่” เป่ยกงถังพูดพลางกำหมัดแน่น
“นั่นก็คือผลอสรพิษทองคำใช่หรือไม่” เจ้าอ้วนชวีชี้ต้นผลอสรพิษทองคำที่อยู่ตรงกลางหน้าผาพลางเอ่ยถามขึ้น
“พื้นที่สูงเช่นนี้ ต่อให้ไม่มีผู้อื่น คิดจะเด็ดผลอสรพิษทองคำลงมาก็มิใช่เรื่องง่ายเลยนะ!” เว่ยจือฉีพูด
“ถึงแม้ว่าหน้าผานั้นจะสูง แต่กลับมิได้ชันมากนัก เบื้องล่างยังมีทางลาดอยู่อีกด้วย” ซือหม่าโยวเย่ว์สังเกตอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงเอ่ยขึ้น
“แต่คนธรรมดาทั่วไปก็ปีนขึ้นไปไม่ได้กระมัง อย่างน้อยพวกเราปีนไม่ได้แน่” เจ้าอ้วนชวีพูด
“ตอนนี้คงได้แต่รอดูแล้วว่าจะอาศัยจังหวะที่ผลอสรพิษทองคำสุกงอมแล้วก่อให้เกิดความวุ่นวายลงมือได้หรือไม่” โอวหยางเฟยพูด “เป่ยกง ถ้าหากไม่ไหวจริงๆ เจ้า…”
“ข้าเข้าใจ” เป่ยกงถังพยักหน้า ถ้าหากคิดหาทุกวิถีทางแล้วยังไม่ได้อีก นางคงไม่ทุ่มสุดตัว ถ้าหากต้องเอาชีวิตไปทิ้งด้วยเหตุนี้จริงๆ เช่นนั้นก็ไม่คุ้มเอาเสียเลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่ายังมีเรื่องอีกมากมายรอให้นางไปทำอยู่อีก
“กลัวแต่ว่าอาศัยความชุลมุนแล้วก็ยังทำไม่ได้น่ะสิ!” ซือหม่าโยวเย่ว์ลูบคางพลางคิดใคร่ครวญ “ดูท่าว่าจะต้องคิดหาวิธีการอะไรสักอย่างเสียแล้วจริงๆ”
“โยวเย่ว์ เจ้าดูสิ นั่นมิใช่ท่านแม่ทัพหรอกหรือ” เจ้าอ้วนชวีชี้ไปยังกระโจมแห่งหนึ่งพลางพูดขึ้นในทันใด
ซือหม่าโยวเย่ว์มองตามไปพบว่าเป็นซือหม่าเลี่ยกำลังนำกลุ่มคนของจวนแม่ทัพหลายคนตั้งค่ายพักแรมบนเนินเขาตรงข้ามที่ตั้งของผลอสรพิษทองคำอยู่
“ท่านปู่มาได้อย่างไรกัน” เมื่อเห็นซือหม่าเลี่ยที่กำลังสังเกตการณ์อยู่นอกกระโจม เธอก็หลบเข้าไปอยู่หลังเจ้าอ้วนชวีในทันใดแล้วพูดกับคนอื่นๆ ว่า “ถึงอย่างไรตอนนี้ยังเหลือเวลาอีกตั้งสี่วันกว่าผลอสรพิษทองคำจะสุกงอม พวกเราไปจากที่นี่กันก่อนดีกว่า”
“ก็ดีเหมือนกันนะ หากพวกเราอยู่ที่นี่ก็เกะกะขวางทางขุมอำนาจเหล่านั้นเปล่าๆ” เว่ยจือฉีพูด
ทุกคนไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดซือหม่าโยวเย่ว์จึงไม่อยากไปพบซือหม่าเลี่ย แต่ตอนนี้พวกเขาอยู่ที่นี่ก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลยจริงๆ จึงได้แต่พยักหน้าแล้วไปจากที่นี่พร้อมกัน
ทั้งห้าคนหลบหลีกผู้อื่นแล้วลงจากเขาไปเงียบๆ เมื่อมาถึงยอดเขาข้างๆ แล้วจึงหาพื้นที่แห่งหนึ่งเพื่อพักผ่อน
“โยวเย่ว์ เหตุใดพอเจ้าเห็นพวกท่านแม่ทัพแล้วจึงต้องหนีมาด้วยเล่า” เมื่อนั่งลงแล้วเจ้าอ้วนชวีจึงถามข้อสงสัยในใจออกมา
“ถ้าหากท่านปู่ล่วงรู้ว่าพวกเราอยู่ที่นี่ จะต้องให้คนมาพาตัวพวกเรากลับไปในทันทีอย่างแน่นอน พอถึงตอนนั้นพวกเราจะไปช่วงชิงผลอสรพิษทองคำกันได้อย่างไรเล่า” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
“ระยะเวลาอีกสามวันที่เหลือ พวกเราต้องคอยตรวจตราสถานการณ์รอบๆ กันให้ดีด้วย” เว่ยจือฉีพูด
“ก็ดีเหมือนกัน ตอนนี้ความสนใจของสัตว์อสูรวิเศษล้วนอยู่ที่ผลอสรพิษทองคำ พื้นที่ชั้นในจึงปลอดภัยกว่ายามปกติไม่น้อยเลย” เป่ยกงถังพูด
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นพวกเรา…” ซือหม่าโยวเย่ว์ยังเอ่ยวาจาไม่ทันจบสีหน้าก็แปรเปลี่ยนไปในทันใด เธอพูดว่า “พวกเจ้ารอข้าอยู่ที่นี่ก่อน ข้าขอตัวสักครู่”
“โยวเย่ว์ เจ้าจะไปไหนน่ะ ถึงแม้ว่าพื้นที่ชั้นในนี่จะปลอดภัยกว่ายามปกติ แต่ไปคนเดียวก็ยังคงอันตรายอย่างยิ่งอยู่ดีนะ” เจ้าอ้วนชวีพูด
“เกิดเรื่องอันใดขึ้นใช่หรือไม่” เว่ยจือฉีถาม
“เมื่อครู่เจ้าคำรามน้อยส่งสารบอกข้า ดูคล้ายว่าจะเกิดเรื่องยุ่งยากบางอย่างขึ้นกับมันเสียแล้ว” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดอย่างกระวนกระวาย
ถึงแม้ว่าเจ้าคำรามน้อยจะพูดอยู่ตลอดว่าตนเป็นสัตว์อสูรเทพโบราณ แต่มันในตอนนี้ก็มิได้มีพลังการต่อสู้แต่อย่างใดเลย ถ้าหากเกิดความขัดแย้งกับผู้อื่นซึ่งๆ หน้า แพ้ชนะก็คงยากจะล่วงรู้ได้
นอกจากนี้หากมิใช่เพราะมันประสบอันตรายอะไร คงจะไม่มีทางเรียกหาตนอย่างกระวนกระวายถึงเพียงนั้น เมื่อคิดได้เช่นนี้จิตใจของเธอก็ยิ่งร้อนรนราวกับไฟ แล้วอดที่จะพุ่งตัวออกไปในทันทีมิได้
“พวกเราจะไปกับเจ้าด้วย!” เป่ยกงถังพูด
ซือหม่าโยวเย่ว์มองทุกคนปราดหนึ่ง เมื่อเห็นว่าพวกเขาไม่มีทางปล่อยให้ตนไปคนเดียวอย่างแน่นอนจึงพยักหน้าแล้วพูดว่า “ย่ากวง เจ้าพาพวกเราไปหาเจ้าคำรามน้อยที”
ในขณะที่ทุกคนกำลังสงสัยว่าย่ากวงเป็นใครอยู่นั้นเอง เสือกรงเล็บเหล็กองอาจสง่างามตนหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้าพวกเขา
“เจ้านาย รีบขึ้นมาเร็วเข้า” ย่ากวงเองก็รู้สึกได้ว่าเจ้าคำรามน้อยตกอยู่ในอันตรายจึงออกมาแล้วแปลงกายเป็นร่างหลักพลางเอ่ยขึ้น
“พูด… พูดได้ด้วย เป็นสัตว์อสูรทิพย์อีกตัวอย่างนั้นหรือ” เมื่อเห็นย่ากวงจึงมองไปที่ซือหม่าโยวเย่ว์อีกครั้ง ทุกคนต่างตกอกตกใจกันไม่น้อย คิดไม่ถึงว่านอกจากเจ้าคำรามน้อยแล้วจะยังมีสัตว์อสูรทิพย์อีกตนหนึ่งด้วย!
แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาตกใจ ทุกคนรีบเก็บซ่อนความรู้สึกของตัวเองแล้วกระโจนขึ้นไปบนร่างของย่ากวงพร้อมกับเธอ ย่ากวงพูดว่า “ตามติดเลย” ประโยคหนึ่งแล้วจึงควบตะบึงออกไป
มุ่งหน้าไปตามการรับสัมผัสถึงเจ้าคำรามน้อยตลอดทาง ในที่สุดอีกครึ่งชั่วโมงต่อมาพวกเขาก็มาถึงตำแหน่งที่เจ้าคำรามน้อยอยู่ แต่สิ่งที่พวกเขาได้เห็นนั้นมิใช่การห้ำหั่นกันระหว่างสัตว์อสูรวิเศษ หากแต่เป็นกรงขนาดเล็กอันหนึ่ง เจ้าคำรามน้อยและนกน้อยตัวหนึ่งหมอบอยู่ในนั้นด้วยสองตาไร้แวว ศีรษะผิดมุม มองปราดเดียวก็เห็นถึงความไม่ปกติ
นับตั้งแต่เจ้าคำรามน้อยฟื้นขึ้นมา ซือหม่าโยวเย่ว์ก็ไม่เคยเห็นมันไร้ซึ่งชีวิตชีวาเช่นนี้มาก่อนเลย เมื่อเห็นสภาพของมันในตอนนี้เธอก็เจ็บปวดใจเสียแล้ว
แต่เธอหงุดหงิดนัก ก่อนหน้านี้เธอไม่น่าฟังคำพูดของเจ้าคำรามน้อยแล้วอนุญาตให้มันไปเดินเที่ยวเล่นภายในเทือกเขาเองเลย มิฉะนั้นคงไม่มีทางถูกคนทำให้ตกอยู่ในสภาพเช่นนี้หรอก
คล้ายกับรู้สึกถึงการมาเยือนของซือหม่าโยวเย่ว์ได้ เจ้าคำรามน้อยที่หมอบอยู่ในกรงแววตาสว่างไสวขึ้นมาในทันใด แล้วมองมายังบริเวณที่พวกเธอซ่อนตัวกันอยู่
ในขณะที่เธอกำลังคิดวางแผนจะไปช่วยเจ้าคำรามน้อยอยู่นั้นเอง คนสองคนที่กำลังนั่งดื่มสุราอยู่ตรงกลางเริ่มพูดเรื่องการจับตัวสัตว์อสูรวิเศษขึ้นมา
ซือหม่าโยวเย่ว์คิดไม่ถึงว่าการมาถึงของพวกเขาจะทำลายแผนการใหญ่ได้!
………………