ที่จริงแล้ว การเห็นชุดงดงามวิจิตรในแหวนมิติ ก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้

นายหญิงอ้านเย่เป็นผู้หญิง มีชุดกระโปรงเป็นศาตราวุธชั้นสูงเป็นเรื่องธรรมดายิ่ง

ที่น่าเสียดายคือ นางไม่มีโอกาสได้สวมใส่แม้แต่ครั้งเดียว ก็ตกอยู่ในมือของอันหลินเสียแล้ว

ดูสิ ป้ายสินค้ายังอยู่ด้วยซ้ำ…

ในเมื่อเขาใส่ไม่ได้ ก็ยกให้สาวๆ ก็แล้วกัน

แต่จะยกให้ใครล่ะ

อันหลินเริ่มลำบากใจแล้ว

อันที่จริงในใจเขามีอยู่สองตัวเลือก

หนึ่งคือสวีเสี่ยวหลาน สองคือเซียนพสุธาเยว่อิ่ง

สวีเสี่ยวหลานดีกับเขามาก ช่วยเหลือเขาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง

แม้สาเหตุจะเป็นเพราะทั้งคู่สนิทกันก็ตาม แต่เขาก็ควรจะตอบแทนบ้างไม่ใช่เหรอ

ทว่าฉากที่เซียนพสุธาเยว่อิ่งรับกระบี่แทนอันหลิน กลับทำให้อันหลินอยากจะมอบชุดนี้ให้กับนาง

เขามีความคิดบางอย่างตลอดเวลา

บางทีเมื่ออาจารย์เยว่อิ่งมีชุดนี้แล้ว ฉากอันน่ากลัวเช่นนั้นคงไม่มีวันเกิดขึ้นอีกแล้ว…

เขาตรึกตรองอยู่นาน ก็คิดไม่ออกว่าควรมอบให้ใคร

สุดท้าย…

อืม เขาคิดว่าควรยกให้อาจารย์ที่เคารพรัก!

เมื่อเขานำชุดไปให้เซียนพสุธาเยว่อิ่ง

เซียนพสุธาเยว่อิ่งซาบซึ้งใจยิ่งนัก จากนั้นก็ปฏิเสธ…

“อันหลิน ระหว่างที่ข้าอยู่ในหน้าที่ ข้าไม่เคยรับของขวัญจากลูกศิษย์เลย”

“แม้จะเป็นเจ้า ข้าก็จะไม่ยอมแหกกฎ!”

อันหลินนำชุดกลับมาอย่างห่อเหี่ยว จากนั้นก็ไปหาสวีเสี่ยวหลาน

เมื่อสวีเสี่ยวหลานเห็นชุดกระโปรงที่งามวิจิตรตัวนี้ก็ดีใจเป็นอย่างยิ่ง

แต่เมื่อนางพบว่าเป็นอาวุธวิเศษป้องกันตัวชั้นสูง ให้ตายอย่างไรก็ไม่ยอมรับไว้

เหตุผลเป็นเพราะชุดนี้เลอค่าเกินไป!

อาวุธวิเศษชั้นสูงคืออะไร

นั่นมันอาวุธที่เป็นรองเพียงอาวุธเซียนเท่านั้น

อาวุธวิเศษชั้นสูงประเภทโจมตีก็ล้ำค่ามากแล้ว อาวุธวิเศษป้องกันชั้นสูงนั่นมันเป็นสิ่งที่หายากยิ่งนัก

ต่อให้เป็นเจ้าสำนักของสำนักขนาดใหญ่ ก็ใช่ว่าจะมีอาวุธวิเศษชั้นสูงประเภทป้องกันตัว

อันหลินกลับจะยกอาวุธชั้นสูงชิ้นนี้ให้ง่ายๆ

สวีเสี่ยวหลานไม่มีหน้ารับไว้ นางรู้สึกละอายใจ

อันหลินเดินออกจากห้องของสวีเสี่ยวหลานอย่างกลัดกลุ้ม คิดในใจว่ามอบชุดนี้ให้ใครสักคนมันยากขนาดนี้เลยเหรอ

ถ้าไม่มีใครต้องการจะทำอย่างไร จะทิ้งขว้างไม่ได้หรอกมั้ง

อืม ลองถามดูดีกว่าว่าพี่เฉิงอยากได้หรือเปล่า

เซวียนหยวนเฉิงมองชุดกระโปรงที่อันหลินส่งมาด้วยใบหน้าเอือมระอา

“สหายอันหลิน เจ้าโปรดนึกถึงใจข้าด้วยเถอะ…”

“อา ไม่สิ!”

“โปรดอย่าเอาข้าไปอยู่ประเภทเดียวกับเจ้า ข้าไม่ได้ชอบแต่งหญิง!”

อันหลินจึงถูกเซวียนหยวนเฉิงตะเพิดออกจากห้องเพราะเหตุนี้…

อันหลินผิดหวังมาก เขาเพิ่งเคยเห็นคนไม่รับของขวัญครั้งแรก แถมยังมีถึงสามคน

สูงค่าเกินไปเหรอ

เขาถือชุดกระโปรง เนื้อผ้าเบาสบาย เนื้อสัมผัสดีมาก ไม่แน่ว่าหากสวมแล้วอาจจะสบายมากก็ได้…

ให้ตายสิ! เขาคิดอะไรอยู่!

ไม่ได้ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องยกให้คนอื่น เก็บไว้ที่เขาต้องเกิดเรื่องแน่!

อันหลินเดินไปที่ห้องของสวีเสี่ยวหลานอีกครั้ง

สวีเสี่ยวหลานนั่งพิงพนัก ผมยาวดำขลับปล่อยสยาย กำลังกำมือถือช้อปเถาเป่าอยู่

“เอ๊ะ เจ้ามาทำไมอีก”

นางเห็นอันหลินหิ้วชุดกลับมาอีกแล้ว จึงอดถามอย่างแปลกใจไม่ได้

“เสี่ยวหลาน เจ้าต้องรับชุดนี้ไว้!” อันหลินยื่นชุดกระโปรงไปตรงหน้าสวีเสี่ยวหลาน “ชุดนี้เหมาะกับเจ้ามาก! หากเจ้าสวมมัน ต้องเป็นดั่งนางฟ้าที่หลุดออกมาจากภาพวาดแน่นอน ไม่เชื่อเจ้าก็ลองดูสิ!”

สวีเสี่ยวหลาน “…”

“เก็บไว้ในแหวนมิติมันจะกัดเจ้าหรือไง”

สวีเสี่ยวหลานกลอกตาใส่อันหลิน ระอาใจกับการอยากมอบชุดให้คนอื่นอย่างไม่ลดละของอันหลินเหลือเกิน

“ไม่กัดข้า แต่จะกัดกินจิตใจข้า!” อันหลินพูดตามความจริง

เมื่อเห็นท่าทางจริงจังของชายคนตรงหน้า สุดท้ายสวีเสี่ยวหลานก็ใจอ่อน โบกมือไปมา

“เอาเถอะๆ เชื่อเขาเลย ข้ารับไว้พอใจหรือยัง”

“แต่ชุดนี้ถือเสียว่าข้าซื้อของเจ้า ปกติแล้วอาวุธวิเศษขั้นสูงประเภทป้องกันตัวมีราคาราวๆ สี่แสนหินวิญญาณ”

“เราสองคนเป็นเพื่อนกัน เดี๋ยวข้าจะคืนให้เจ้าสามแสนหินวิญญาณ เช่นนี้พอใจหรือยัง”

สวีเสี่ยวหลานรู้ว่าหากนางบอกว่าสี่แสนหินวิญญาณ อันหลินต้องไม่รับแน่ จึงลดราคาลงเล็กน้อย

“ไม่ เราเป็นเพื่อนสนิทกัน ราคามิตรภาพสุดๆ หนึ่งแสนหินวิญญาณ!”

อันหลินก็พูดด้วยใบหน้าที่เด็ดเดี่ยวเช่นกัน

“เพื่อนสนิทด้วยงั้นหรือ” สวีเสี่ยวหลานหน้าแดงระเรื่อ “ก็…ก็ได้ แต่ตอนนี้ในแหวนมิติของข้าไม่ได้มีหินวิญญาณมากขนาดนั้น ไว้กลับสำนักแล้ว ข้าค่อยคืนเจ้า”

“ฮ่าๆ เรื่องเงินไม่ต้องรีบ ตอนนี้ข้าเป็นเศรษฐีแล้ว” อันหลินยื่นเสื้อผ้าให้สวีเสี่ยวหลานอย่างร่าเริง ยกภูเขาออกจากอกแล้ว รู้สึกสบายตัวขึ้นเยอะเลย

ได้เสื้อผ้าชุดใหม่มา ย่อมต้องลองสวมเป็นธรรมดา

เมื่อสวีเสี่ยวหลานสวมชุดกระโปรง ปรากฏตัวต่อหน้าอันหลินอีกครั้ง เขาก็ต้องตกตะลึงเป็นครั้งที่สอง

ดวงตาของนางใสแจ๋วดุจสายน้ำยามฤดูใบไม้ร่วง ริมฝีปากแดงเป็นธรรมชาติ ขนคิ้วดกดำโดยไม่ต้องเขียน เมื่อชุดสีเขียวอ่อนอยู่บนตัวนาง ก็แลดูงามสง่าเกินเอื้อม ให้อารมณ์ดุจภาพวาด

อันหลินชูนิ้วโป้งขึ้น “ยอดไปเลย! พี่สาวคนสวย ถ่ายรูปกันหน่อยไหม”

สวีเสี่ยวหลานยิ้ม ดั่งภาพวาดอันงามวิจิตร จากนั้นก็พูดด้วยเสียงออดอ้อนเล็กน้อยว่า

“ได้เลย แต่ว่า รูปละหนึ่งแสนหินวิญญาณนะ!”

“ไม่มีปัญหา!”

สองวันต่อมา ณ อารามเมฆขาว

ได้เวลากลับสรวงสวรรค์แล้ว พวกอันหลินมาถึงอารามแห่งนี้อีกครั้ง

อันหมิงชวน เถียนหลิงหลิง หวงซานซาน ตงฟางเสวี่ย ผู้พิทักษ์โลกและพวกเซียนกระบี่ชิงเหอต่างก็มาส่ง

อันหลินยกแหวนมิติสามวงให้พ่อของเขา เถียนหลิงหลิงกับตงฟางเสวี่ย

ภายในแหวนมิติที่มอบให้พ่อ มียาที่เขาคิดว่ามีประโยชน์ใส่ไว้ไม่น้อยเลย รวมถึงยันต์คุ้มภัยบางส่วนด้วย

“หลินจื่อ ตั้งใจบำเพ็ญเพียร พบเจออะไรก็อย่าออกหน้า จำไว้ ชีวิตต่างหากที่สำคัญที่สุด!” อันหมิงชวนพูดอย่างใจเย็นอยู่ข้างๆ

“รู้แล้วครับ พ่อเองก็ต้องตั้งใจบำเพ็ญเพียรนะ!”

อันหลินรู้สึกว่าคำพูดพวกนี้มันตลก ก็อดขำไม่ได้

เมื่อเห็นลูกชายของตัวเองยังคงมีท่าทีเหลาะแหละเช่นเคย อันหมิงชวนก็ถลึงตาใส่อันหลินอย่างอดไม่ได้

เถียนหลิงหลิงกลับซาบซึ้งใจจนร้องไห้อยู่อีกมุม เป็นครั้งแรกที่เธอได้รับของขวัญที่เลอค่าเช่นนี้

“ฮือๆๆ… นักพรตจอมปลอม นายต้องกลับมาเยี่ยมกันบ่อยๆ นะ…”

เมื่อเห็นหญิงสาวที่น้ำตาไหลพราก อันหลินก็อดลูบผมสั้นสีน้ำตาลอันนุ่มสลวยของเธอไม่ได้ พูดอย่างร่าเริงว่า “โลลิน้อย เธออายุครบสิบแปดแล้วจริงๆ เหรอ ทำไมขี้แยขนาดนี้”

“นายน่ะสิโลลิ หน้าตาน่ารัก น่าเอ็นดู ขี้แยแล้วผิดหรือไง!”

“ถ้าว่าฉันเป็นโลลิอีก ฉันจะส่งรูปที่นายแต่งหญิงเข้ากลุ่มเลยคอยดู”

เมื่อเถียนหลิงหลิงได้ยินคำว่าโลลิน้อย ก็มีน้ำโหขึ้นมาทันที โต้เถียงทันควัน

อันหลินได้ฟังก็กระตุกยิ้ม ตอนแรกคิดว่าเถียนหลิงหลิงน่ารักขึ้นมาแล้ว เมื่อคิดๆ ดูแล้ว…

อืม ยังคงเจ้าคิดเจ้าแค้นอยู่ดี

ตงฟางเสวี่ยป้องปากขำอยู่ข้างๆ

“หลิงหลิง รูปถ่ายใบนั้นเธอส่งเข้าไปในกลุ่มตั้งนานแล้วไม่ใช่เหรอ”

อันหลิน “…”

ได้ โลลิน้อยที่น่ารักคนนี้เป็นลูกบ้านใคร

ถ้าไม่มีคนมารับ…เขาจะบีบคอแล้วนะ!

ไม่นาน ค่ายกลเคลื่อนย้ายของอารามเมฆขาวก็เริ่มส่องแสงเจิดจ้า

พวกอันหลินยืนอยู่ในค่ายกล โบกมืออำลาผู้คนบนโลก

สุดท้าย ร่างของพวกเขาก็หายลับไปท่ามกลางแสงสีขาว

……………………….