ตอนที่ 102 เทพเจ้าเหวินชิง

ศิษย์หลานข้า ระวังอย่าหลงผิด

ในขณะที่ท่านเทพรู้สึกว่าอาจารย์ของตนจะต้องตบอีกฝ่ายให้ลอยไปไกลนั้น 

 

 

เยี่ยยวนกลับแค่ขมวดคิ้ว มองไปยังศิษย์หลานตัวน้อย  

 

 

“เจ้าไม่ชอบ?” เขาทำสีหน้าราวกับว่า หากเจ้าไม่ชอบ เดี๋ยวข้าออกไปหาเพิ่ม จากนั้นเขาก็พูดขึ้นอีกหนึ่งประโยค  

 

 

“เส้นชีพจรเสวียนไม่มีประโยชน์ต่อพวกเขา” 

 

 

“เอ่อ…ข้ารู้” อวิ๋นเจี่ยวถอนหายใจ คนที่บรรลุเป็นเทพแล้ว แน่นอนว่าไม่มีความจำเป็นต้องใช้พลังลมปราณในโลกมนุษย์ 

 

 

“แต่เส้นชีพจรเสวียนเป็นส่วนหนึ่งบนร่างกายของพวกเขา ไม่ใช่บอกว่าไม่มีก็จะไม่มี มันเหมือนกับ…ไส้ติ่งของคน ถึงแม้จะรู้ว่าไม่มีประโยชน์ แต่ก็ไม่มีใครตัดมันออกมาเล่นใช่หรือไม่” 

 

 

ไป๋อวี้ “…” 

 

 

เยี่ยยวน “…” 

 

 

ท่านเทพ “…” 

 

 

ถึงแม้จะดีใจเป็นอย่างมากที่สหายเต๋าไม่รู้ชื่อคนนี้ขอร้องให้ตัวเอง แต่คำเปรียบเปรยนี้ทำไมมันแปลกๆ 

 

 

“ดังนั้นอาจารย์ปู่ ท่านคืนให้เขาเถอะ” อวิ๋นเจี่ยวยังคงพูด 

 

 

เยี่ยยวนเงียบไปสักพัก รู้สึกว่ามีเหตุผล ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกไม่อยากปลูกไส้…เอ้ยปลูกเส้นชีพจรเสวียนให้นางแล้ว! เมื่อคิดถึงว่าส่วนหนึ่งในร่างกายของคนอื่นอยู่ในตัวของศิษย์หลานตัวน้อย เขาก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา หากนางติดเชื้อโง่ขึ้นมาจะทำอย่างไร ดังนั้นเขาจึงพยักหน้าก่อนจะหยิบเส้นชีพจรเสวียนสีขาวแล้วยื่นออกไป 

 

 

“เอาไป!” 

 

 

ท่านเทพเงยหน้า มองไปยังเส้นชีพจรเสวียนที่อยู่ด้านหน้า ก่อนจะมองไปยังอาจารย์อย่างรู้สึกเหลือเชื่อ 

 

 

คืน…คืนให้เขาแล้ว? 

 

 

เขาเหลือบมองอวิ๋นเจี่ยวที่ยืนอยู่ด้านข้างอย่างประหลาดใจ อาจารย์…ตอบตกลงง่ายเช่นนี้!  

 

 

ไม่เจอกันมานานหลายปี อาจารย์ของเขากลายเป็นคนพูดง่ายแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน 

 

 

เขายิ่งคิดยิ่งประหลาดใจ สายตาที่มองไปยังอวิ๋นเจี่ยวเต็มไปด้วยความร้อนลุ่ม นางปรามอาจารย์ได้ ช่างเป็นหญิงสาวที่วิเศษ 

 

 

“สหายเต๋าท่านนี้คือ…” 

 

 

“ทำไม” เขายังพูดไม่ทันจบ สีหน้าของเยี่ยยวนเย็นลงทันที สายตาราวกับมีดของเขาจ้องมองไป เจ้าศิษย์โง่คิดจะหลอกศิษย์หลานข้าหรือ 

 

 

“ไม่…ไม่มีอะไร” ท่านเทพก้มหัวลงทันที ก่อนจะหดคอลงไปราวกับนกกระทา อาจารย์ยังคงน่ากลัวเหมือนเดิม! 

 

 

เยี่ยยวนโยนเส้นชีพจรเสวียนในมือไปให้เขา เห็นเพียงแต่เส้นชีพจรเสวียนสีขาวลักษณะเหมือนสายฟ้านั้นจมเข้าไปในร่างกายของอีกฝ่าย ก่อนจะหายไปอย่างไร้ร่องรอย 

 

 

ท่านเทพถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก ยังดีๆ เขายังคงเป็นเทพเจ้าที่สมบูรณ์แบบ เขาครุ่นคิดอยู่สักพัก ก่อนจะเงยหน้าเปิดปากถาม “อาจารย์ หลายปีนี้ ทำไมท่าน…” 

 

 

“เจ้ายังมีธุระ?” เยี่ยยวนพูดขัดขึ้นมา สีหน้าราวกับอยากให้อีกฝ่ายรีบจากไป 

 

 

“ไม่มี!” ท่านเทพรีบหยุดคำพูดที่กำลังจะออกมาจากปาก 

 

 

“เช่นนั้นศิษย์ขอตัวก่อน วันอื่นศิษย์จะมาเยี่ยมอาจารย์ใหม่” พูดจบก็ลอยขึ้นบนฟ้าทันที ในขณะที่กำลังจะออกตัว 

 

 

“เดี๋ยว!” เยี่ยยวนพูดขึ้น 

 

 

ท่านเทพดวงตาลุกวาวและรีบชะงักฝีเท้าทันที “อาจารย์มีอะไรให้รับใช้” 

 

 

“ใครเป็นคนทำ คนนั้นเก็บ!” เขากวาดตามองอารามที่ถูกผ่าจนไม่เหลือเค้าโครง“ 

 

 

ท่านเทพผงะ หันหน้ามองหลุมที่เกิดจากฟ้าผ่า ก่อนจะตอบรับอย่างลนลาน “ได้ๆ ข้าจะ…” เขาทำท่าจะท่องคาถา เสกให้อารามกลับสู่สภาพเดิม  

 

 

เยี่ยยวนกลับพูดเสริมขึ้น “ห้ามใช้คาถา!” 

 

 

“…” 

 

 

ไม่ใช้ อาจารย์ ท่านกำลังทำให้ข้าลำบากใจ 

 

 

เยี่ยยวนหายตัวกลับเข้าไปยังยอดเจดีย์ ก่อนจะปิดประตูเสียงดัง 

 

 

อาจารย์… 

 

 

(ಥ_ಥ) 

 

 

ท่านเทพสีหน้าราวกับอยากร้องไห้ แต่ก็ไม่กล้าจากไป ทำได้เพียงบินลงมา กวาดตามองไปยังซากปรักหักพังทั้งหลาย และเริ่มขนอิฐอย่างเงียบๆ 

 

 

หลังจากที่เสียใจเป็นรอบที่หนึ่งร้อยแปด เมื่อกี้ทำไมเขาถึงไม่ห้ามมือตัวเอง ทำไมไม่ถามก่อนค่อยผ่า ตอนนี้ดีแล้ว ต้องมาคอยเก็บกวาดฝีมือตัวเอง 

 

 

อวิ๋นเจี่ยว “…” 

 

 

ไป๋อวี้ “…” 

 

 

คนที่เป็นเทพล้วนอนาถเช่นนี้หรือ 

 

 

ไป๋อวี้ที่เป็นผู้ชมตลอดการทำงานเพิ่งได้สติกลับมา เขามองไปยังคนที่กำลังขะมักเขม้นในการขนอิฐอยู่ ก่อนจะเดินขึ้นหน้าด้วยความสงสัย “ท่าน…เทพ?” 

 

 

ท่านเทพผงะไป ราวกับเพิ่งนึกได้ว่าที่เกิดเหตุยังมีคนอยู่อีกสองคน เขาหันหน้ากลับมาทันที มองไปยังเจดีย์สูงที่ปิดสนิท ก่อนจะแวบเข้ามาหาทั้งสองคน แตกต่างจากท่าทางอาฆาตในตอนต้น เขายิ้มอย่างอารมณ์ดีแล้วพูดว่า “พวกเจ้าสองคนคงตกใจ ตอนแรกเป็นเรื่องเข้าใจผิด ข้าต้องขอโทษด้วย ข้าเห็นพวกเจ้าต้องเป็นศิษย์ของชิงหยางเหมือนกัน เช่นนั้นก็คือครอบครัวเดียวกัน หวังว่าพวกเจ้าจะไม่ถือสา” 

 

 

ทั้งสองคนสบตากัน อารมณ์ของเขาเปลี่ยนไปรวดเร็วเกินไป ทำให้ทั้งสองคนไม่คุ้นชิน ชายชราจึงตอบกลับไปเพียง  

 

 

“ท่านพูดเกินไป” 

 

 

เขาหันไปมองอวิ๋นเจี่ยว สายตาลุกวาวขึ้นในทันที 

 

 

“เจ้าหนู ข้าเห็นอาจารย์ให้ความสำคัญกับเจ้ามาก เจ้าเป็นศิษย์ที่อาจารย์เพิ่งรับ?” 

 

 

“เอ่อ…ไม่ใช่” อวิ๋นเจี่ยวส่ายหน้า 

 

 

“ข้าเป็นศิษย์รุ่นที่หนึ่งร้อยกว่า…ของชิงหยาง” จำนวนที่แน่นอน นางจำไม่ได้ 

 

 

“อ่อ” เขาพยักหน้า ไม่ได้สนใจก่อนจะแนะนำตัว 

 

 

“ข้าแซ่เหวิน ชื่อตัวเดียวคุ้ย ฉายา ชูชิง ไม่รู้ว่าท่านชื่อว่าอะไร” 

 

 

“เหวินชูชิง!” อวิ๋นเจี่ยวยังไม่ทันได้ตอบ ชายแก่อุทานออกมา เบิกตาโพลงมองอีกฝ่ายด้วยความเหลือเชื่อ “ท่าน…ท่านคือปรมาจารย์สำนักไท่ชิง…เทพเจ้าเหวินชิง!” 

 

 

“ฮ่าๆ…” เหวินชิงหัวเราะ ก่อนจะลูบคลำไปยังหนวดขาวของตนเองแล้วพยักหน้าตอบ “ไม่คิดว่ายังมีคนจำชื่อข้าได้” 

 

 

ชายแก่ยิ่งตกตะลึง หากไม่ใช่เพราะอาจารย์ปู่มาปรากฏตัวทุกวันจนเขาคุ้นชิน ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่น เมื่อได้ยินชื่อนี้ ไม่เป็นลมให้มันรู้ไป 

 

 

“ดังมาก?” อวิ๋นเจี่ยวผงะ นางไม่ค่อยรู้รายละเอียดประวัติศาสตร์ของเสวียนเหมิน 

 

 

“แน่นอน! เทพเจ้าเหวินชิง! ท่านเป็นเทพหนึ่งในสามองค์ของเสวียนเหมินเชียวนะ เทียบเท่าเทพเจ้าเสวียนเต๋อและเทพเจ้าหยวนฝ่า เล่าลือกันว่าท่านเป็นศิษย์หนึ่งในสามคนที่เก่งที่สุดของอาจารย์ปู่”  

 

 

ชายแก่ยิ่งพูดยิ่งตื่นเต้น สายตาที่มองไปยังอีกฝ่ายอย่างแพรวพราว พระเจ้าข้าได้เจอกับท่านปรมาจารย์ไท่ชิง  

 

 

“ตอนนั้นท่านก่อตั้งสำนักไท่ชิงขึ้นด้วยตนเอง ถือเป็นสำนักเสวียนเหมินที่ใหญ่ที่สุดในตอนนั้น ศิษย์ภายใต้สำนักนับหมื่น” 

 

 

“อ่อ…” เก่งขนาดนี้? ทำไมนางถึงไม่เคยได้ยินสำนักไท่ชิงล่ะ?“ 

 

 

“เรื่องเก่าเมื่อนานมาแล้ว” เหวินชิงสีหน้าซาบซึ้ง ตาของเขาหยีเป็นเส้น นึกอะไรบางอย่างได้ก็พูดออกมา “จะว่าไป ข้าไม่ได้สนใจศิษย์ในโลกมนุษย์มาเป็นเวลาหลายพันปีแล้ว ไม่รู้ว่าสำนักไท่ชิงตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง” 

 

 

สีหน้าของชายแก่ยังคงเหมือนเดิม เขาตอบกลับไปอย่างอัตโนมัติ  

 

 

“อ่อ ล่มสลายไปแล้ว!” 

 

 

“…” ฮะ? 

 

 

“เอ๊ะ? ท่านไม่รู้หรือ ล่มสลายไปหลายพันปีแล้ว”“ 

 

 

เหวินชิง “…” 

 

 

อวิ๋นเจี่ยว “…” 

 

 

อืม ราวกับได้ยินเสียงมีดปักเข้าที่ตัว 

 

 

—————— 

 

 

ค่ำคืนที่เงียบสงัด 

 

 

ท่านเทพที่ตั้งใจขนอิฐมาทั้งวัน และเหนื่อยราวกับสุนัขนั้น ปรากฏตัวขึ้นบนยอดเจดีย์อย่างเงียบๆ ชุดสีขาวที่ไม่เคยแปดเปื้อนนั้น ตอนนี้กลับเต็มไปด้วยดินโคลน ต้นหญ้า และรอยของอิฐ 

 

 

เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ หนึ่งที ก่อนจะก้มกราบลงไปยังโต๊ะบูชาด้วยใจที่กล้าๆ กลัวๆ “ศิษย์เหวินชิงรู้ผิด มารับบทลงโทษ! ขอให้อาจารย์ปรากฏตัวเพื่อลงโทษ” 

 

 

โต๊ะบูชาไม่มีการเคลื่อนไหว มีเพียงควันจากธูปสามดอกที่ลอยขึ้น เหวินชิงไม่กล้าขยับ จนกระทั่งธูปนั้นเผาจนหมด ร่างหนึ่งถึงได้ลอยออกมาจากป้ายบูชา เขาหยุดอยู่กลางอากาศ ใบหน้าสวยนั้นขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะเปิดปากพูด “เจ้าทำผิดอะไร” 

 

 

เหวินชิงผงะ ทันใดนั้นเหงื่อก็ผุดออกมามากมาย ก็เป็นเพราะเขาไม่รู้ถึงได้มาถามไง 

 

 

“อา…อาจารย์ ท่านดึงเส้นชีพจรเสวียนของศิษย์ไป อีกทั้งยังทิ้งร่องรอยให้ข้าตามมา ต้องเป็นเพราะว่าศิษย์ทำผิด ถึงได้เป็นเช่นนี้” หวินชิงหดตัวเหลือเสี้ยวเดียว 

 

 

“ดังนั้น…” เยี่ยยวนขมวดคิ้วมุ่น ไม่เข้าใจว่าตนเองทำไมถึงรับศิษย์โง่เขลาเช่นนี้มา “เจ้าไม่รู้ว่าตนเองผิดตรงไหน” 

 

 

เหวินชิงก้มต่ำลงไปอีก เหงื่อร่วงลงมาราวกับฝนตก แต่ก็ยังกัดฟันพูดต่อ “ขอให้…อาจารย์ชี้แจง” 

 

 

“ฮึ!” เขาส่งเสียงในลำคอ โบกมือทีหนึ่ง ทันใดนั้นสิ่งของสีดำชิ้นหนึ่งก็ลอยออกไป และหยุดอยู่ตรงหน้าเขา 

 

 

เหวินชิงผงะ เบิกตาโพลงในทันที มองไปยังสิ่งของนั้น “นี่คือ…อาวุธของยมโลก!” 

 

 

“ตอนนี้รู้แล้ว?” เยี่ยยวนพูด 

 

 

เหวินชิงสีหน้าขาวซีดไปทันที คนทั้งคนก้มลงไป “อาจารย์ยกโทษด้วย!”