บทที่ 110 ปัญหาเรื่องชื่อไม่ส่งผลกระทบหรอก

เปิดระบบสุดโกงอัปสกิลหมอ

ตอนเช้าหลังจากแลกเวรแล้ว หลี่เป่าซานก็มองทุกคนก่อนจะพูดขึ้นว่า “ช่วงนี้ทุกคนทำได้ไม่เลวเลย แผนกฉุกเฉินของพวกเราก็ได้รับธงประกาศเกียรติคุณและคำขอบคุณมาไม่น้อย นี่เป็นผลงานของทุกคนนะครับ!”

“ซึ่งผู้ป่วยส่วนใหญ่ขอบคุณเสี่ยวเฉิน พวกเราได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้ป่วยแบบนี้ ทุกคนต้องเรียนรู้จากเสี่ยวเฉินให้มากหน่อยนะครับ!”

เมื่อพูดจบ หลี่เป่าซานก็พูดต่อด้วยท่าทางใคร่ครวญ “เสี่ยวเฉิน ทำไมคุณถึงให้ทุกคนส่งธงประกาศเกียรติคุณมาล่ะครับ ทุกคนผ่าตัดถุงน้ำดีเหมือนกันหมด ทำไมปิ่งเซิงถึงไม่มีคนส่งมาให้ล่ะ?”

เมื่อเขาพูดออกมาเช่นนี้ เหล่าเฉินพลันหน้าคล้ำ คุณจะชมเฉินชางก็ชมไปสิ ทำไมต้องลากผมไปเกี่ยวด้วยล่ะ?

เฉินชางยังไม่ทันพูดอะไร หัวหน้าพยาบาลเถียนเซียงหลานก็พูดขึ้นว่า “พวกคุณไม่รู้อีกหรือคะ? ตอนนี้หมอเฉินพัฒนาการผ่าตัดด้วยการส่องกล้องที่งดงามออกมาได้วิธีหนึ่ง และได้รับการตอบรับจากผู้ป่วยเป็นอย่างดี ตอนที่ฉันพาพยาบาลไปที่วอร์ดก็ได้ยินผู้ป่วยชมเสี่ยวเฉินทุกวันเลยนะคะ!”

เมื่อเธอกล่าวออกมาเช่นนี้ หลี่เป่าซานและหมอทุกคนก็ตื่นตะลึงจนตาค้าง!

นี่มันสถานการณ์แบบไหนกัน?

การผ่าตัดด้วยการส่องกล้องที่งดงาม?

การผ่าตัดด้วยการส่องกล้องงดงามได้ด้วยหรือ?

ทุกคนมีสีหน้าตื่นตะลึง!

หลี่เป่าซานกล่าวขึ้นด้วยความรู้สึกสงสัย “การผ่าตัดด้วยการส่องกล้องที่งดงามอะไรกัน ทำไมผมไม่เคยได้ยินมาก่อน? เสี่ยวเฉิน คุณบอกมาสิว่ามันเกิดอะไรขึ้น?”

ตอนนี้เฉินชางจึงค่อยพูดขึ้นว่า “ผมไม่ได้มีเจตนาแบบนั้นเลยนะครับ ตอนที่ผมผ่าตัด จู่ๆ ก็คิดขึ้นมาได้ว่า ในเมื่อการผ่าตัดด้วยการส่องกล้องทำให้อาการบาดเจ็บลดลงได้ ถ้าอย่างนั้นจะเปลี่ยนให้บาดแผลและอาการบาดเจ็บลดน้อยลงอีกโดยเปลี่ยนการผ่าแผลและการเย็บแผลได้หรือเปล่า? ตอนนั้นผมก็เลยลองดู ปรากฏว่าได้จริงๆ ด้วย!”

สือน่าเป็นคนแรกที่เห็น เธอพูดด้วยรอยยิ้มว่า “จะว่าไปฉันก็เป็นคนแรกที่เห็นนะคะ ตอนนั้นฉันคิดว่าเสี่ยวเฉินคิดวิธีไร้สาระ ไม่นึกว่าเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยแค่นี้ก็ทำให้ได้ผลดีขนาดนี้แล้ว”

เมื่อเธอกล่าวออกมาเช่นนี้ หลี่เป่าซานก็ยิ่งรู้สึกแปลกใจ “จริงหรือครับ? งั้นผมไปดูผู้ป่วยหน่อยนะครับ?”

หลี่เป่าซานกำลังจะลุกขึ้น ฉินเยว่จึงรีบพูดขึ้นว่า “หัวหน้าแผนกคะ ไม่ต้องลำบากหรอก ฉันมีรูปภาพและข้อมูลอย่างละเอียดอยู่ค่ะ”

เมื่อพูดจบฉินเยว่ก็เสียบแฟลชไดร์ฟไปที่คอมพิวเตอร์แล้วฉายขึ้นจอโปรเจคเตอร์

ฉินเยว่ฉายภาพไปพลางพูดไปพลาง “ตอนนั้นพอคิดจะวิจัยกันแล้วฉันก็เริ่มรวบรวมข้อมูลเลย ความจริงมันก็คือการเปรียบเทียบบาดแผลแบบใหม่ที่เฉินชางปรับปรุงให้ดีขึ้น กับบาดแผลจากการผ่าตัดด้วยการส่องกล้องแบบดั้งเดิมหลายสิบกลุ่ม ในนั้นมีรูปภาพก่อนผ่าตัดและหลังเย็บแผล รูปหลังฟื้นตัว ตลอดจนรูปรอยแผลเป็น…แล้วยังมีการวิเคราะห์ข้อมูลเรื่องระดับความเร็วในการฟื้นตัวอย่างละเอียดด้วยค่ะ ผลก็คือเหนือการคาดเดาของฉันไปมากเลยทีเดียว”

“นี่คือรูปภาพเปรียบเทียบผู้ป่วยสองกลุ่ม นี่คือรูปก่อนเย็บแผล…นี่คือรูปหลังเย็บแผล…นี่คือรูปหลังฟื้นตัว…”

ในตอนที่รูปภาพปรากฏขึ้น ทุกคนก็ต้องตื่นตะลึง!

แม้แต่หลี่เป่าซานก็นิ่งไปแล้ว!

จะอย่างไรเขาก็คิดไม่ถึงว่าการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ จะทำให้บาดแผลดูคล้ายไม่มีแผลได้จริงๆ!

นี่มันจะ…ดีเกินไปหรือเปล่า?

อันที่จริงการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าการใส่ใจรายละเอียดในการใช้ชีวิตและเริ่มเปลี่ยนแปลงจากรายละเอียดเหล่านั้น

หลี่เป่าซานยิ่งดูก็ยิ่งตื่นเต้น ยิ่งดูก็ยิ่งแปลกใจ! หากพัฒนาวิธีการนี้ให้ดีจะกลายเป็นจุดเด่นของแผนกได้เลยทีเดียว…

หลี่เป่าซานถามขึ้นว่า “ระยะการฟื้นตัวล่ะ?”

ฉินเยว่ฉายตารางขึ้นมา “ผู้ป่วยธรรมดาใช้เวลา 5-7 วันก็ฟื้นตัวแล้วค่ะ ค่าเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 6.1 วันโดยประมาณ ส่วนวิธีการที่ปรับปรุงให้ดีขึ้นแล้วจะใช้เวลาโดยเฉลี่ย 5.2 วัน จากการวิเคราะห์ข้อมูล p-value < 0.01! ความแตกต่างนี้มีนัยยะสำคัญทางสถิติ” เมื่อกล่าวออกมาเช่นนี้ หลี่เป่าซานก็ต้องสูดหายใจลึก ใช้การผ่าตัดที่ปรับปรุงให้ดีขึ้นนี้เพื่อย่นระยะเวลาการฟื้นตัวและลดรอยแผลเป็นได้ วิธีนี้ดูถูกไม่ได้เลยจริงๆ! จู่ๆ หลี่เป่าซานก็คิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ นี่เป็นหัวข้อการศึกษาที่มีค่าและมีความหมายอย่างหนึ่ง นำไปเผยแพร่เป็นวิทยานิพนธ์อันทรงคุณค่าได้เลย หลี่เป่าซานเงยหน้าขึ้นก่อนจะกล่าวถาม “เสี่ยวฉิน ตอนนี้ทำไปถึงขั้นไหนแล้ว? การวิจัยของพวกคุณน่ะ?” ฉินเยว่ได้ยินดังนั้นจึงกล่าวขึ้นว่า “ร่างวิทยานิพนธ์เสร็จเรียบร้อยแล้วค่ะ กำลังอยู่ในขั้นตอนการแก้ไข” หลี่เป่าซานพลันดวงตาเปล่งประกาย “ดีมาก! ไม่เลว เป็นวิธีที่ดี ทุกคนต้องเรียนรู้เอาไว้นะครับ ใช้ความคิดริเริ่มในการพัฒนาความสามารถและงานวิจัยของตัวเองโดยไม่ต้องบอก แล้วยังใส่ใจในรายละเอียดข้อมูลทางคลินิกด้วย นี่เป็นเรื่องที่มีความหมายจริงๆ!” หลี่เป่าซานหยิบรีโมทขึ้นมากดเปลี่ยนรูปภาพไม่หยุด! เขาพบว่าผู้ร่วมโครงการมีทั้งหมดสี่คน ได้แก่เฉินชาง เฉินปิ่งเซิง ฉินเยว่ และหวังหย่ง... เด็กพวกนี้ไม่เลวเลยจริงๆ! แล้วยังมีเหล่าเฉินด้วย! คนเราต้องปรับเปลี่ยนไปตามจังหวะ ไม่ควรปล่อยให้ล้าหลัง ในใจหลี่เป่าซานรู้สึกชื่นชมพวกเขามาก เขาไม่ได้โกรธที่อีกฝ่ายไม่ได้ใส่ชื่อตนเองลงไปในงานวิจัย นี่ไม่ใช่เรื่องสำคัญ หลี่เป่าซานอายุขนาดนี้แล้วจึงไม่คิดมาก เขาเผยแพร่วิทยานิพนธ์ไปตั้งไม่รู้เท่าไหร่ ทั้งยังเป็นผู้เปิดหัวข้อการศึกษาไปไม่น้อย ย่อมไม่สนใจหัวข้อเล็กๆ พวกนี้ ที่สำคัญก็คือเขาเห็นหมอเล็กๆ วัยหนุ่มสาวเหล่านี้มีความสามารถและจิตวิญญาณในการทำการวิจัย นี่จึงจะเป็นเรื่องสำคัญที่สุด ทว่าจู่ๆ เฉินปิ่งเซิงก็เอ่ยถามด้วยความแปลกใจ “จริงสิเสี่ยวฉิน ทำไมถึงมีชื่อผมอยู่ในพาวเวอร์พ้อยท์ล่ะครับ? ผมไม่ได้เข้าร่วมนี่ครับ?” ฉินเยว่หน้าแดงโดยพลัน “คือว่า...อาจารย์เฉินคะ คุณเข้าร่วมงานของพวกเราจริงๆ นะคะ!” เฉินปิ่งเซิงชะงักไป ผมไปเข้าร่วมตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? หา?! เฉินชางพยักหน้าก่อนจะกล่าวตอบ “ใช่แล้ว! อาจารย์เฉิน คุณผ่าตัดผู้ป่วยกลุ่มเปรียบเทียบน่ะครับ คุณไม่เห็นหรือ ในรูปภาพกลุ่มเปรียบเทียบเหล่านั้นเป็นผู้ป่วยของคุณนะครับ?” เมื่อกล่าวเช่นนี้ออกมา เฉินปิ่งเซิงก็ชะงักไปทันที! โอ้โห! ถึงว่าทำไมผู้ป่วยพวกนั้นถึงได้ดูคุ้นๆ แล้วทำไมมือที่กำลังเย็บคู่นั้นถึงได้ดูคุ้นตาขนาดนี้ล่ะ? ที่แท้ก็เป็นฉันนี่เอง! เมื่อเข้าใจกระจ่างแล้ว เหล่าเฉินก็นิ่งอึ้งไป! พวกคุณเอาผมไปเป็นกลุ่มเปรียบเทียบหรือ? เปรียบเทียบแล้วพวกคุณยังทำดีกว่าอีก... ที่สำคัญก็คือพวกคุณยังไม่บอกความจริงกับผม ปิดบังผมมาตลอด! พวกคุณจะทำเกินไปหรือเปล่า! มิน่าล่ะ สัปดาห์ที่แล้วฉินเยว่ถึงได้มาถ่ายรูปที่ห้องผ่าตัดของตนทุกวัน... ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง! ทุกสิ่งทุกอย่างกระจ่างแล้ว เหล่าเฉินเข้าใจชัดเจนแล้ว! แต่ว่า...ทำไมผมถึงรู้สึกเหมือนไม่ได้รับความยุติธรรมล่ะ... เฉินชางมองท่าทีของเหล่าเฉิน อดพูดขึ้นไม่ได้ว่า “อาจารย์เฉิน ผมให้ฉินเยว่ไปบอกคุณแล้วนะครับ” ฉินเยว่ยิ้มกระอักกระอ่วน อธิบายด้วยท่าทีเขินอาย “อาจารย์เฉิน คือ เพราะต้องรักษาความเป็นกลางในการทดลอง จึงเลือกทดลองโดยไม่ให้เป้าหมายรู้ตัว ก็เลย...แค่กๆ ไม่ได้บอกคุณน่ะค่ะ” เมื่อทุกคนได้ยินดังนั้นก็หัวเราะออกมาทันที ทั่วทั้งห้องเปี่ยมไปด้วยความคึกคัก! นานแล้วที่แผนกฉุกเฉินไม่ได้มีเรื่องน่ายินดีเช่นนี้ กระทั่งเหล่าเฉินเองก็หัวเราะเช่นกัน ความจริงก็เหมือนกับที่ฉินเยว่พูด การทดลองแบบไม่ให้เป้าหมายรู้ตัวก็คือผู้วิจัยและผู้ป่วยไม่รู้ว่าผู้ป่วยแต่ละคนถูกแบ่งอยู่ในกลุ่มไหน และไม่รู้ว่ากลุ่มไหนจะได้รับการรักษาหรือทดลองแบบใด ข้อดีของวิธีนี้ก็คือหลีกเลี่ยงไม่ให้ผู้เข้ารับการทดลองและผู้วิจัยมีความเอนเอียง ผลการวิจัยครั้งนี้จึงนับว่าราบรื่นมาก! จู่ๆ หลี่เป่าซานก็รู้สึกกระตือรือร้นขึ้นมา “เสี่ยวเฉิน วิธีการผ่าตัดแบบนี้ ตอนนี้มีใครทำได้บ้าง?” หวังหย่งรีบลุกขึ้นยืน “ผมทำได้ครับ!” เฉินชางพยักหน้า “ตอนนี้มีผมกับหวังหย่งที่ทำได้ แต่ผมสอนอาจารย์เฉินได้นะครับ คิดว่าด้วยศักยภาพของอาจารย์เฉิน ใช้เวลาไม่กี่วันก็เรียนรู้ได้แล้ว” เหล่าเฉินได้ยินดังนั้นก็รู้สึกว่าคำพูดนี้ดูแปลกๆ ทำไมไม่เหมือนกำลังชมล่ะ? หลี่เป่าซานได้ยินก็ตัดสินใจทันที! “ตกลง!” “ปิ่งเซิง ช่วงนี้คุณติดตามเรียนรู้ไปกับเสี่ยวเฉินให้ดีนะครับ เรียนวิธีการผ่าตัดนี้ให้ได้เร็วๆ สักหน่อย จะได้นำไปใช้ในการผ่าตัด” “ฉินเยว่ คุณทำการวิจัยของคุณต่อไป พยายามเผยแพร่เป็นวิทยานิพนธ์ด้วยนะครับ!” “หัวหน้าพยาบาล รบกวนคุณแล้ว ช่วยประชาสัมพันธ์หน่อย ประกาศข้อดีของการผ่าตัดแบบไร้การบาดเจ็บของพวกเราออกไป พวกเราจะทำการโฆษณาที่โถงชั้นหนึ่ง จะต้องแสดงจุดเด่นของแผนกฉุกเฉินของพวกเราให้ดี!” “แล้วก็ หยวนฟาน หวังหย่ง พวกคุณพานักศึกษาฝึกงานไปจัดตั้งคลินิกชุมชนขึ้นสักครั้ง ทำกิจกรรมเกี่ยวกับการป้องกันโรคในระบบถุงน้ำดี แล้วก็ถือโอกาสอธิบายจุดเด่นของแผนกพวกเราให้คนไข้ฟังด้วยเลย ตอนไปก็ให้พวกหัวหน้าพยาบาลนำรูปภาพของฉินเยว่ไปทำเป็นโบรชัวร์แจกด้วยนะครับ”