บทที่ 86 หัวใจเต้นแรงคราแรก

ท่านพี่อย่าเย็นชากับข้านักเลย

แปดสิบหก

หัวใจเต้นแรงคราแรก

เมื่อได้ยินคำตอบของเสวี่ยหยวนจิ้ง แม้น้ำเสียงนั้นจะตำหนิ แต่เสวี่ยเจียเยว่ก็ดีใจไม่น้อย

เธอเงยหน้ามองชายหนุ่มขณะที่ยังอยู่ในอ้อมกอดของเขา พร้อมเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจและดีใจ “จริงหรือเจ้าคะ”

ความจริงแล้วเสวี่ยเจียเยว่ไม่อยากแย่งชิงอะไรกับน้องสาวแท้ๆ ของเสวี่ยหยวนจิ้ง เพราะตำแหน่งนั้นไม่มีผู้ใดสั่นคลอนได้ หวังเพียงว่าเขาจะเหลือพื้นที่เล็กๆ ในหัวใจให้เธอบ้าง

เธอแค่อยากมีญาติพี่น้องเหมือนคนอื่น ตอนนี้ก็คิดว่าเสวี่ยหยวนจิ้งเป็นพี่ชายแท้ๆ ของตนไปแล้ว ต่อไปหากน้องสาวของเขากลับมา เธอก็จะดูแลนางเหมือนน้องสาวแท้ๆ ของตนเช่นกัน

เสวี่ยหยวนจิ้งเห็นว่ายังมีน้ำตาไหลอาบแก้มเสวี่ยเจียเยว่ ทว่าดวงตาคู่นั้นกลับสดใสราวกับดวงดาวที่ตกลงมาจากฟากฟ้า ทำให้คนที่ได้มองไม่อยากจะละสายตาไปที่อื่น

เขาจำได้ว่าตอนที่ยังอยู่หมู่บ้านซิ่วเฟิง แม้เสวี่ยเจียเยว่จะชอบยิ้ม แต่ก็อ้อนเขาน้อยครั้ง ทว่าตั้งแต่พวกเขามาที่เมืองผิงหยาง อีกฝ่ายก็ทำตัวอ้อนเขาบ่อยๆ และทุกครั้งเขาจะรู้สึกว่าเสวี่ยเจียเยว่มีความน่ารักไร้เดียงสาที่เป็นเอกลักษณ์ของเจ้าตัว

นั่นถือว่าเป็นเรื่องดี เพราะเขาชอบให้เสวี่ยเจียเยว่ทำตัวน่ารักออดอ้อนเหมือนเด็ก โดยเฉพาะตอนที่อีกฝ่ายทำผิดและรู้สึกหวาดกลัว… กลัวว่าเขาจะตำหนิ หรือไม่ก็มีบางเรื่องที่อยากให้เขาช่วยเหลือ อีกฝ่ายก็จะเข้ามากอดแขนเขา และทุกครั้งที่ทำเช่นนี้ เด็กสาวจะเหมือนแมวน้อยน่ารักที่ว่านอนสอนง่ายกำลังใช้หัวเล็กๆ ถูไถกับฝ่ามือเขา

เสวี่ยหยวนจิ้งยอมรับว่ามีความสุขที่ได้เห็นเสวี่ยเจียเยว่อยากพึ่งพาเขา และทำตัวออดอ้อนเหมือนเด็กต่อหน้าเขา

ตอนนี้เมื่อเห็นท่าทางเช่นนี้ของเสวี่ยเจียเยว่ เขาจะยอมให้อีกฝ่ายร้องไห้ได้อย่างไร จะยอมให้กังวลเรื่องต่างๆ ได้หรือ ตราบใดที่เด็กสาวมีความสุข ตราบใดที่เขายังอยู่ข้างๆ มีหรือเขาจะไม่ยอม แม้กระทั่งชีวิตก็สละให้ได้

ยามนี้เสวี่ยหยวนจิ้งรู้สึกราวกับว่าหัวใจของเขาอ่อนนุ่ม จนมีน้ำหยดออกมาได้ก็ไม่ปาน

เขาใช้นิ้วเช็ดน้ำตาบนพวงแก้มของเสวี่ยเจียเยว่เบาๆ และพยักหน้าอย่างหนักแน่น “อือ แม้ว่าระหว่างเจ้ากับข้าจะไม่มีสายเลือดเชื่อมโยงกัน แต่เจ้าวางใจเถอะ ข้าจะเป็นพี่ชายของเจ้าตลอดไป จะดูแลเป็นห่วงเจ้าตลอดชีวิต”

เมื่อได้รับการยืนยันเช่นนี้ เสวี่ยเจียเยว่ก็รู้สึกเหมือนมีแสงแดดส่องลอดม่านเมฆที่หนาทึบ ชั่วขณะนั้นจิตใจของเธอแจ่มใสขึ้นมาทันที

“ท่านพี่” เธอกอดแขนของเขาและยิ้มแย้มทันใด “ท่านช่างใจดีจริงๆ”

น้ำตายังคงเปียกชุ่มพวงแก้ม แต่ตอนนี้เธอกลับมายิ้มได้อีกครั้ง ดูมีเสน่ห์เหมือนกับดอกกุหลาบที่เปียกชุ่มไปด้วยน้ำค้างในยามเช้าตรู่

เสวี่ยหยวนจิ้งสัมผัสได้ถึงหัวใจที่เต้นรัวอย่างรุนแรง ราวกับว่าเขาถูกของบางอย่างกระแทกเข้าอย่างกะทันหัน และรู้สึกถึงความร้อนรนอยู่ไม่เป็นสุข แต่เป็นเพราะตอนนี้เขาคิดว่าตนปฏิบัติต่อเสวี่ยเจียเยว่เหมือนน้องสาว จึงไม่รู้ว่านี่คืออาการหัวใจเต้นแรงของบุรุษที่มีต่อสตรีผู้หนึ่ง

ชายหนุ่มลังเลครู่หนึ่ง สุดท้ายก็คว้าเสวี่ยเจียเยว่ที่กอดแขนของเขาเข้ามาอยู่ในอ้อมกอดของตนอย่างเบามือ ก่อนจะใช้สองมือโอบไหล่อีกฝ่ายอย่างทะนุถนอม

เขาอยากให้ร่างนุ่มนิ่มและอบอุ่นนี้อยู่ในอ้อมกอดของตนนานๆ ชั่วขณะนั้นสีหน้าของชายหนุ่มก็เหม่อลอยโดยไม่ทราบสาเหตุ จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ราวกับว่าจู่ๆ ก็รู้สึกหลงใหลการมีเสวี่ยเจียเยว่อยู่ในอ้อมกอดเช่นนี้ และเมื่อครู่ที่เขาเห็นริมฝีปากแดงเรื่อจากการกัด ก็ถึงกับอยาก…

แววตาของเสวี่ยหยวนจิ้งเลื่อนลอยขณะตกอยู่ในภวังค์

ในที่สุดเสวี่ยเจียเยว่ก็เรียกเขา “ท่านพี่?”

เมื่อเสวี่ยหยวนจิ้งได้สติ เขาก็รีบปล่อยร่างนุ่มนิ่มราวกับเพิ่งสัมผัสถ่านร้อน ก่อนจะถอยหลังไปสองก้าว

สีหน้าเขาดูลำบากใจยิ่งนัก ใบหูร้อนผ่าว และยังไม่กล้ามองหน้าเสวี่ยเจียเยว่ เพียงเอ่ยถามเบาๆ “อือ มีอะไรหรือ”

เสวี่ยเจียเยว่ไม่ได้สังเกตเห็นความผิดปกติของเขา จึงเอ่ยตอบด้วยรอยยิ้ม “ไม่มีอันใดเจ้าค่ะ แต่จะเตือนท่านว่า ถ้าท่านไม่ไปสำนักศึกษาตอนนี้จะสายเอาได้นะเจ้าคะ หากประตูสำนักศึกษาปิดแล้ว ท่านจะเข้าไปไม่ได้แน่นอน”

สำนักศึกษาไท่ชูมีกฎว่า เมื่อถึงเวลาเข้าเรียนประตูสำนักศึกษาจะปิดทันที จนกระทั่งถึงเวลาเลิกเรียนในยามบ่าย หากผู้เรียนคนไหนมาสาย ไม่เพียงแต่เข้าไปด้านในไม่ได้ ยังต้องถูกอาจารย์ลงโทษในวันถัดไปอีกด้วย

เมื่อได้ยินเสวี่ยเจียเยว่พูดอย่างนั้น เสวี่ยหยวนจิ้งก็ตกใจทันที เพราะตอนนี้สายมากแล้ว

เขาเข้าไปหยิบถุงผ้าที่เต็มไปด้วยตำรา กระดาษ หมึก และพู่กันในห้องของตน จากนั้นก็เดินออกไปจากเรือน

เดินมาได้ระยะหนึ่ง เขาก็หันกลับไปกำชับเสวี่ยเจียเยว่ด้วยสีหน้าจริงจัง “ต่อไปเจ้าห้ามไปรับข้าที่หน้าประตูสำนักศึกษาอีก ไม่อย่างนั้นหัวใจข้าต้องลุกเป็นไฟแน่”

ยามใดที่เขานึกถึงท่าทางของเนี่ยหงเทาขณะพูดคุยกับเสวี่ยเจียเยว่ที่หน้าประตูสำนักศึกษา เสวี่ยหยวนจิ้งจะรู้สึกเดือดดาลในใจทันที

แม้เสวี่ยเจียเยว่ไม่ได้กลัวว่าเขาจะโกรธ แต่เมื่อเธอเห็นสีหน้าจริงจังเช่นนั้น ก็รีบตอบตกลงทันที แต่เธอไม่ได้คิดเรื่องเนี่ยหงเทาหรือคนอื่นๆ เพียงคิดว่าเสวี่ยหยวนจิ้งเห็นเธอโตแล้ว อีกทั้งใบหน้ายังไม่ถือว่าขี้ริ้วขี้เหร่ หากเธอไปรับเขาคงจะเขินอายเมื่ออยู่ต่อหน้าสหายเท่านั้น

เสวี่ยหยวนจิ้งรู้สึกโล่งใจ จึงหันกลับแล้วเดินต่ออย่างรวดเร็ว

ตอนที่ชายหนุ่มเดินมาถึงสำนักศึกษานั้นยังไม่ถึงเวลาเข้าเรียน อาจารย์ก็ยังไม่มา

เขานั่งลงบนที่นั่งของตนและวางถุงผ้าเอาไว้บนโต๊ะ

เสวี่ยเจียเยว่ทำถุงผ้าใบนี้ให้เขาเมื่อไม่กี่วันก่อน โดยใช้ผ้าสีน้ำเงินและปักรูปเทพเจ้าดาวศึกษิต[1] ลงบนถุงผ้าด้วย

เมื่อนึกถึงภาพเสวี่ยเจียเยว่นั่งอยู่ภายใต้แสงตะเกียงและทำถุงผ้าใบนี้ให้เขา สีหน้าของเสวี่ยหยวนจิ้งก็อ่อนโยน มุมปากยกยิ้มโดยไม่รู้ตัว

ในยามนี้สหายที่นั่งอยู่เบื้องหน้าคนหนึ่งซึ่งมีชื่อว่าเจี่ยจื้อเจ๋อหันกลับมาพอดี เมื่อเห็นเสวี่ยหยวนจิ้งกำลังนั่งลูบถุงผ้าบนโต๊ะอย่างเบามือด้วยรอยยิ้ม เขาก็รู้สึกแปลกใจ

พอเห็นลายปักรูปเทพเจ้าดาวศึกษิต เขาก็เอ่ยชื่นชม “ถุงผ้าใบนี้ช่างงดงามจริงๆ โดยเฉพาะภาพเทพเจ้าดาวศึกษิตที่ปักอยู่บนนั้น ไม่เพียงแต่ความหมายดี การปักยังเสมือนจริงอีกด้วย แค่มองปราดเดียวก็ดูเหมือนคนจริงๆ หยวนจิ้ง ถุงผ้าใบนี้เจ้าซื้อมาจากไหนหรือ ข้าอยากไปซื้อมาใช้สักใบ”

เมื่อได้รับคำชมเช่นนี้ เสวี่ยหยวนจิ้งก็รู้สึกดีใจไม่น้อย ก่อนจะเอ่ยตอบ “ถุงผ้าใบนี้ข้าไม่ได้ซื้อ แต่เป็นน้องสาวของข้าทำให้”

น้ำเสียงนั้นฟังดูมีความสุขมาก รอยยิ้มบนใบหน้าเขาก็กว้างกว่าเมื่อครู่นี้หลายส่วน

เจี่ยจื้อเจ๋อเอ่ยชื่นชมอีกสองสามประโยค จากนั้นน้ำเสียงของเขาก็เปลี่ยนไป “ข้าชอบถุงผ้าใบนี้ของเจ้ายิ่งนัก ข้ารบกวนเจ้าไปบอกน้องสาวของเจ้าที ว่าข้าขอรบกวนนางทำให้ข้าสักใบ ได้หรือไม่ ข้ามิได้ให้นางทำเปล่าๆ แต่จะเลี้ยงข้าวนาง แล้วก็จะส่งของอย่างอื่นให้ด้วย”

เสวี่ยหยวนจิ้งได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของเขาก็เย็นชาทันที “น้องข้ามีงานยุ่งยิ่งนัก นางไม่ว่างทำให้เจ้าหรอก”

การปฏิเสธนี้เป็นไปอย่างตรงไปตรงมาและชัดเจน อีกทั้งในขณะที่เอ่ยเขายังหยิบถุงผ้าที่อยู่บนโต๊ะลงมาวางไว้บนตักของตัวเองและใช้เสื้อคลุมเอาไว้อย่างดี เห็นได้ชัดว่าเขาไม่อยากให้คนอื่นเห็นมันอีก

แต่เจี่ยจื้อเจ๋อเป็นคนที่ไม่สังเกตสีหน้าผู้อื่น ส่วนเสวี่ยหยวนจิ้งก็เป็นคนเย็นชาเป็นทุนเดิม ดังนั้นการที่เขาตอบอย่างเย็นชาเช่นนี้ เจี่ยจื้อเจ๋อจึงไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดอย่างไร และเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้าไม่รีบ เจ้าคิดว่าน้องของเจ้าจะว่างตอนไหนก็ค่อยทำให้ข้าตอนนั้นก็ได้”

สีหน้าของเสวี่ยหยวนจิ้งยังคงเย็นชา กระทั่งมีความอำมหิตแฝงอยู่หลายส่วน แววตาก็เดือดดาลไม่น้อย

เขาจะยอมให้เสวี่ยเจียเยว่ทำถุงผ้าให้ชายอื่นได้อย่างไร เจ้าเจี่ยจื้อเจ๋อน่ารำคาญผู้นี้ ทั้งที่เขาปฏิเสธไปอย่างชัดเจน ยังเอ่ยขอร้องอย่างหน้าไม่อาย หากไม่สั่งสอนเกรงว่าจะตามวุ่นวายไม่เลิก

ข่งซิวผิงที่นั่งอยู่ข้างๆ และนั่งฟังบทสนทนาของทั้งสองคนอยู่ตลอด ก็รู้สึกว่าแววตาของเสวี่ยหยวนจิ้งเย็นชาและเฉียบคมดุจใบมีดที่ผ่านการลับทีละน้อย หากปล่อยให้ใบมีดนั้นทำร้ายเจี่ยจื้อเจ๋อ มิตรภาพระหว่างสหายร่วมห้องเรียนจะไม่ถูกทำลายเอาหรือ อีกอย่าง… ในใจของเขาก็ไม่อยากให้เสวี่ยเจียเยว่ทำถุงผ้าให้เจี่ยจื้อเจ๋อเช่นกัน

เขาจึงรีบเอ่ยกับเจี่ยจื้อเจ๋อ ก่อนที่เสวี่ยหยวนจิ้งจะเดือดดาลไปมากกว่านี้ “จื้อเจ๋อ ข้าไม่ได้จะว่าเจ้านะ แต่น้องสาวของหยวนจิ้งยังไม่ออกเรือน เจ้าจะขอให้นางเย็บปักสิ่งของให้เจ้าได้อย่างไร เจ้าคิดอะไรอยู่”

การขอให้สตรีที่ยังไม่ออกเรือนเย็บปักสิ่งของให้นั้นไม่ต่างอะไรกับการขอจูบ อีกทั้งยังพูดเช่นนี้ต่อหน้าผู้เป็นพี่ชายของนาง ยิ่งเป็นการกระทำที่ไม่สุภาพ

เจี่ยจื้อเจ๋อเพิ่งรู้ตัวว่าเอ่ยอะไรออกไป จึงรีบโบกมือปฏิเสธ และเอ่ยกับเสวี่ยหยวนจิ้งด้วยรอยยิ้มรู้สึกผิด “เฮ้อ ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น ข้าหมายความว่า เพราะข้าเห็นถุงผ้าของเจ้างดงาม ทั้งยังปักรูปเทพเจ้าดาวศึกษิต ก็เลย… เฮ้อ เจ้าอย่าเอามาใส่ใจเลย”

เสวี่ยหยวนจิ้งหรี่ตามองเขาด้วยความเย็นชาและไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา

ในฐานะสหายร่วมห้องเรียนของเสวี่ยหยวนจิ้ง เจี่ยจื้อเจ๋อก็เคยได้พบเสวี่ยเจียเยว่หลายครั้ง เด็กสาวยืนอยู่หน้าสำนักศึกษาและโบกมือให้เสวี่ยหยวนจิ้งด้วยรอยยิ้ม ช่างน่ารักมีเสน่ห์ตรึงใจจริงๆ

เขาไม่เคยเห็นสตรีคนใดมีใบหน้างดงามเช่นนี้มาก่อน เพียงแค่คิดหัวใจเขาก็หวั่นไหวทุกครั้ง

ทันใดนั้นเขานึกบางอย่างขึ้นมาได้… คงจะดีมากหากเขาสู่ขอเสวี่ยเจียเยว่จากเสวี่ยหยวนจิ้ง

เมื่อคิดได้แล้ว เขาก็ไม่อาจควบคุมหัวใจได้ จึงนั่งตัวตรงและจัดเสื้อผ้าของตน จากนั้นก็เอ่ยถามเสวี่ยหยวนจิ้งที่นั่งอยู่ตรงหน้าด้วยความจริงจัง “หยวนจิ้ง เจ้าคิดว่าข้าเป็นเช่นไร”

ความจริงแล้วก่อนหน้านี้เสวี่ยหยวนจิ้งประทับใจในตัวเจี่ยจื้อเจ๋อไม่น้อย คุณชายน้อยของตระกูลทหาร เขาไม่ใช้อำนาจระรานคนอื่นเหมือนคุณชายตระกูลขุนนางทั่วไป ตอนที่เขายิ้มใบหน้าก็สดใสและหล่อเหลาไม่น้อย แต่เป็นเพราะเรื่องเมื่อครู่นี้ ความประทับใจที่มีต่อเขาจึงถูกทำลายลง

เสวี่ยหยวนจิ้งตอบกลับไปสั้นๆ “ก็ดี”

เมื่อเจี่ยจื้อเจ๋อได้ยินเช่นนั้น ดวงตาของเขาพลันเปล่งประกายทันที จากนั้นเขาก็ขยับเข้าใกล้เสวี่ยหยวนจิ้ง ก่อนจะเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม

“แล้วถ้าข้าอยากเป็นน้องเขยของเจ้า เจ้าจะคิดอย่างไร”

[1] เทพเจ้าที่เหล่าบัณฑิต นักปราชญ์ และผู้เข้าสอบไล่ให้ความเคารพนับถือยำเกรง