EP.87 ภัยจากการหลอมรวม

The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา

EP.87 ภัยจากการหลอมรวม LifeStylePublisher

ที่อุทยานดอกไม้ด้านหลังตำหนักเจ๋อเทียน พวกนางกำนัลกำลังเล่นว่าวส่งเสียงหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน

ฉินอินสวมเสื้อคลุมสีม่วง ตรงหน้าอกมีตราประจำเชื้อพระวงศ์แห่งจักรวรรดิรูปดอกจื่ออินสีทองกลัดไว้ นางโอบพิณสีเขียวเข้ม เงยหน้ามองว่าวที่ลอยอยู่บนท้องฟ้า

“องค์หญิงอิน!” นางกำนัลนางหนึ่งทำความเคารพอยู่ด้านข้าง

ฉินอินยิ้มอ่อนหวาน “ไม่มีอะไรหรอก เจ้าออกไปก่อนเถิด!”

“เพคะ!”

ฉินอินหันกลับไป ก็เห็นดวงตาคู่งามของถังเสี่ยวซีที่มองมาที่ตน ราวกับกำลังมองอาหารอันโอชะ อดขำออกมาไม่ได้ “เสี่ยวซี เจ้ามองข้าแบบนี้ทำไมหรือ ข้าไม่ใช่ของกินเสียหน่อย”

ถังเสี่ยวซีถูมือไปมา ยิ้มเคอะเขินก่อนเอ่ยขึ้น “เสี่ยวอิน ข้ามีเรื่องอยากขอให้เจ้าช่วยหน่อย…”

“เอ๋…”

ฉินอินอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา “เสี่ยวซีของข้าเป็นคนเกรงใจแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไร หึๆ คราวที่แล้วเจ้าโลภมากถึงขั้นขอต้นไหมทองห้าต้นจากวังหลวงกลับไป ความกล้าหาญเช่นนั้นหายไปไหนแล้วล่ะ”

ถังเสี่ยวซีแก้มเป็นสีแดง “ครั้งนี้อาจจะยิ่งกว่า…”

“หืม พูดมาสิ!” ฉินอินวางพิณลง กางแขนมาโอบไหล่ของถังเสี่ยวซี แล้วยิ้มพูด “อย่างไรเสียข้าก็ไม่มีของที่อยากได้หรอก เจ้าพูดมาสิ ข้าจะช่วยเจ้าเต็มที่”

“เสี่ยวอิน เจ้ายังจำตอนที่เจ้าเจ็ดขวบ องค์จักรพรรดินีมอบอะไรไว้ให้เจ้าได้ไหม”

“หืม?” ฉินอินชะงักก่อนเอ่ยว่า “ท่านแม่มอบ…ของขวัญชิ้นสุดท้ายให้ข้า…”

“อืม ใช่แล้ว…”

ฉินอินก้มหน้า ค่อยๆ เปิดสาบเสื้อออก สายสร้อยสีทองห้อยย้อยลงมาอยู่หว่างเนินอก มีกระดูกขนาดเท่าหัวแม่มือร้อยไว้ นั่นคือกระดูกกรงเล็บของลูกมังกร เป็นมังกรห้ากรงเล็บของแท้แน่นอน เป็นสมบัติประจำตระกูลของท่านแม่ที่ตกทอดสืบต่อกันมา

“นี่เป็นของชิ้นสุดท้ายที่ท่านแม่เหลือไว้ให้ข้านะ…”

ฉินอินตาเริ่มแดง ท่านแม่เสียไปตอนที่ตัวเองยังไม่รู้เรื่องรู้ราว ไม่ได้ทิ้งสมบัติไว้เยอะอะไร

พอเห็นขอบตาของฉินอินแดงเรื่อ ถังเสี่ยวซีก็ลนลาน “เสี่ยวอินอย่าร้องไห้นะ ข้าไม่อยากได้แล้ว…”

ฉินอินเม้มปากแดงของนาง แล้วเอ่ย “กระดูกมังกรชิ้นนี้แม้จะล้ำค่ามาก แต่…แต่ถ้าเสี่ยวซีจำเป็นต้องใช้จริงๆ ละก็ ข้าก็ยินดีจะยกให้ เพราะอยู่กับข้า มันก็เป็นได้แค่ของขวัญหนึ่งชิ้นเท่านั้น”

“จริงหรือ”

ถังเสี่ยวซีกะพริบดวงตาคู่งามของนาง รู้สึกว่าตัวเองทำเกินไปหน่อย จึงส่ายศีรษะ “ช่างเถอะ ข้าไม่ต้องการแล้วล่ะ…”

ฉินอินกลับยิ้มออกมา รวบผมยาวขึ้น ปลดจี้ออกจากคอ แล้วเอ่ย “เอาเถอะ ข้ายกให้เจ้าก็ได้ เจ้าเป็นเพื่อนสุดที่รักของข้านี่นา เพื่อนกันไปชั่วชีวิต ข้ายังมีพิณที่ท่านแม่มอบให้อยู่ อีกอย่างขอแค่เสี่ยวซีมีความสุข ท่านแม่บนสวรรค์คงดีใจไปด้วย เจ้าว่าไหม คิกๆ …”

ถังเสี่ยวซีกำกระดูกมังกรที่ยังมีไออุ่นจากร่างกายของฉินอินไว้ในมือ ในใจรู้สึกทั้งขอโทษและซาบซึ้ง นางเม้มปากน้อยๆ ก่อนเอ่ยขึ้น “เสี่ยวอิน ข้าจะดีกับเจ้าไปตลอดชีวิตของข้าเลย ข้าจะไม่ทิ้งเจ้าไปไหนแน่นอน!”

“จ้ะ ข้าก็เช่นกันนะ”

ช่วงบ่าย ม้าพันธ์ุดีสีขาวตัวหนึ่งหยุดอยู่ที่หน้าวิหารศักดิ์สิทธิ์ ถังเสี่ยวซีซ่อนกระดูกมังกรที่ได้จากฉินอินไว้ในอกเสื้อแล้วเดินเข้าไปในวิหาร นางหาหลินมู่อวี่ที่กำลังทำหน้าที่เป็นคู่ฝึกอยู่จนเจอ ครูคู่ฝึกระดับดาวสีเงินทำความเคารพแล้วจากไปทันที เขารู้ว่าถังเสี่ยวซีมีธุระกับหลินมู่อวี่ และไม่กล้าที่จะเป็นก้างขวางคอด้วย องค์หญิงซีเป็นหญิงงามอันดับสองแห่งเมืองหลวง ทั้งยังเป็นแก้วตาดวงใจของถังหลานแห่งเมืองชีไห่ ด้วยอารมณ์ที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ เขาจึงไม่กล้าที่จะล่วงเกิน

“นี่มัน…กระดูกมังกรของแท้จริงๆ เหรอ”

หลินมู่อวี่ประคองจี้ด้วยความรู้สึกยากจะเชื่อ กระดูกกรงเล็บชิ้นนี้มองดูเก่าและธรรมดา ไม่มีลักษณะเหมือนกระดูกมังกรเท่าไรนัก

ถังเสี่ยวซีตาแดงทันที น้อยใจสุดขีด “กว่าข้าจะขอกระดูกมังกรชิ้นนี้มาได้ ข้า…ข้าแทบจะเอาทุกอย่างเข้าแลก เจ้าคนใจร้ายกลับมาสงสัยว่านี่ไม่ใช่กระดูกมังกรของจริง!”

หลินมู่อวี่รีบยิ้มขอโทษ “ฮา ขอบใจมากนะเสี่ยวซี…ขอบใจเจ้าจริงๆ แล้วกระดูกมังกรนี่เจ้าไปได้มาจากที่ไหนเหรอ ต้องแพงมากแน่ๆ เลย ข้าได้ยินปู่เหลยหงบอกว่า มังกรบนแผ่นดินนี้สูญพันธุ์ไปนานแล้ว กระดูกมังกรที่แท้จริงก็คงหายไปตามกาลเวลา ไม่มีทางหากระดูกมังกรของจริงที่สมบูรณ์ได้หรอก”

“เจ้าไม่ต้องถามหรอกว่าข้าได้มาจากที่ไหน” ถังเสี่ยวซีกะพริบตาแล้วพูดต่อ “มู่มู่ เจ้าต้องการกระดูกมังกรไปทำอะไร จะเอาไปปรุงโอสถหรือ”

“เอ่อ!” หลินมู่อวี่ไม่อยากให้เรื่องคัมภีร์หลอมกระดูกมังกรรั่วออกไป จึงยิ้มแล้วตอบไปว่า “ความลับน่ะความลับ ข้าจะบอกเจ้าทีหลังก็แล้วกัน!”

ถังเสี่ยวซีอารมณ์เสียทันที ทำปากย่นแล้วบ่น “ใจแคบเสียจริง ไม่บอกก็ตามใจ ข้าจะกลับไปฝึกต่อของข้าก็ได้!”

“อือ รอข้ามีเวลาว่างก่อนนะ แล้วจะไปเยี่ยมเจ้าที่จวน!”

“เมื่อไหร่ล่ะ” ถังเสี่ยวซีตื่นเต้นเล็กน้อย

“ก็ตอนที่ข้ามีเวลาว่างไง!”

“ไอ้เจ้าบ้า…”

   ……

หลังจากส่งองค์หญิงซีกลับไปแล้ว ครูฝึกและผู้ช่วยฝึกที่อยู่ห่างออกไม่ไกลสองสามนายต่างส่งสายตาสงสัยและอิจฉามา ซึ่งก็ไม่แปลกอะไร เพราะหญิงงามอย่างถังเสี่ยวซีไม่ได้พบเห็นกันได้ง่ายๆ แต่นางกลับชื่นชมในตัวหลินมู่อวี่ที่มีตำแหน่งต่ำต้อยในวิหาร จะไม่ให้คนอื่นอิจฉาได้อย่างไร ครูฝึกและผู้ช่วยฝึกเหล่านี้ต่างรู้สึกว่าสวรรค์ช่างไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย ที่ให้ความรักมากมายตกไปอยู่ที่เจ้าเด็กบ้าอย่างหลินจื้อผู้เดียว

หลินมู่อวี่กำกระดูกมังกรอยู่ในมือ ใช้ความคิดอย่างอารมณ์ดีว่าจะหลอมมันเมื่อไรดี

ในตอนนี้เอง เหลยหงก็เข้ามาในโถงทดสอบ และตรงเข้าไปในห้องที่หลินมู่อวี่ใช้ฝึกด้วยสีหน้าสงบนิ่ง ยิ้มพูด “หลินจื้อ ข้ามาเยี่ยมเจ้า ฝึกไปถึงไหนแล้วล่ะ”

“ขอบคุณปู่เหลยหงที่เป็นห่วง ทุกอย่างเรียบร้อยดีขอรับ!” เขาตอบตามจริง

“โอ้?”

น้ำเสียงของเหลยหงต่ำลง ยิ้มพูด “เข้าใจคัมภีร์หลอมกระดูกมังกรแล้วหรือ”

“เอ่อ…เข้าใจยังไม่ถึงครึ่งเลยขอรับ…”

“แบบนี้นี่เอง…” เหลยหงพยักหน้าพึมพำ แล้วส่งกุญแจสีดำให้เขา เอ่ยว่า “อ่ะ เอานี่ไป”

“หืม อะไรหรือขอรับ”

“ห้องลับที่สวนด้านหลัง ครูฝึกระดับดาวสีทองมากมายล้วนมีห้องฝึกลับแยกต่างหาก จะได้ไม่ถูกรบกวน เจ้าฝึกหลอมกระดูกมังกรก็ต้องการบรรยากาศที่เงียบสงบเหมือนกัน ดังนั้นให้เจ้าใช้ห้องลับนี้ได้ชั่วคราว ตั้งใจฝึก อย่าให้ทรัพยากรของวิหารสูญเปล่าล่ะ”

หลินมู่อวี่รู้สึกซาบซึ้งใจอย่างมาก “ขอบคุณปู่เหลยหง!”

“ฮึ ไม่ต้องเกรงใจ ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นแก่หน้าของตาแก่ชวีฉู่ ข้าก็คงไม่แหกกฎอนุญาตให้ผู้ช่วยฝึกมีห้องลับส่วนตัวหรอก!”

   ……

แน่นอนว่าการฝึกช่วงบ่ายถูกยกเลิก หลินมู่อวี่ไปถึงห้องลับที่สวนด้านหลังก็ถึงกับตกใจ ถึงจะชื่อว่าห้องลับ แต่ความจริงแล้วกลับเป็นเรือนอยู่อาศัยที่หรูหรายิ่งกว่าบ้านขนาดสามห้องนอนเสียอีก ด้านในห้องลับมีข้าวของเครื่องใช้ในชีวิตประจำวันครบครัน แถมห้องลับทุกห้องจะจัดสรรคนรับใช้ไว้หนึ่งคน คอยรับผิดชอบเรื่องต่างๆ ที่จำเป็นในชีวิตประจำวันของผู้ฝึก

หลังจากเข้ามาในห้องลับ เขาก็รีบลงกลอนประตูหินทันที

หลินมู่อวี่นั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงหิน การออกแบบเช่นนี้รอบคอบมาก เพราะยอดฝีมือที่ฝึกหมวดพลังเพลิงไม่สามารถใช้เตียงธรรมดาทั่วไปฝึกได้ มิฉะนั้นคงจะทำเตียงไหม้หมดทิศทางการฝึกของหลินมู่อวี่ยังไม่ชัดเจน พิฆาตอสนีบาตอยู่ในหมวดสายฟ้า เกราะศิลาเขียวอยู่ในหมวดศิลา แต่ถ้าปราณรุนแรงมากพอก็จะก่อให้เกิดเปลวเพลิงขึ้นมาได้ ดังนั้นใช้เตียงหินจึงเหมาะสมกว่า

“วิ้ง…”

คลื่นพลังอ่อนนุ่มแผ่ออกมา กระดูกมังกรลอยขึ้นมาตรงหน้าอกทันที เขาค่อยๆ ปลดสร้อยที่ร้อยกระดูกมังกรออก แล้วเก็บเข้าในอกเสื้อ จากนั้นจึงเริ่มใช้ปราณเข้าไปสัมผัสพลังของกระดูกมังกร

ตอนที่เพ่งจิตไปที่กระดูกมังกร จู่ๆ เขาก็รู้สึกปวดศีรษะเหมือนศีรษะจะระเบิดออก จากนั้นก็ได้ยินเสียงคำรามของมังกรเทพตลอดจนปราณของมังกรที่เอ่อล้นออกมาโอบร่างกายเขาไว้ ราวกับร่างกำลังถูกเผาด้วยเพลิงมังกร ความเจ็บปวดแสนสาหัสที่แทบทำให้คนทนไม่ไหว แต่หลินมู่อวี่ร้องออกมาแค่คำเดียว  และฝืนประคองจิตต่อไป มองดูความลี้ลับในกระดูกมังกรต่อ

แม้ว่าจะหลับตาอยู่ แต่ทะเลจิตกลับมองเห็นภาพ ท่ามกลางความอลหม่านเปลวเพลิงลุกโชน เขาเห็นมังกรน้อยสีทองกำลังดิ้นรนท่ามกลางเพลิงอเวจี ส่งเสียงร้องโหยหวน นี่คงจะเป็นภาพตอนที่มังกรน้อยตาย เสียงร้องของมันเริ่มฟังดูโศกเศร้า จากนั้นร่างกายค่อยๆ สลายกลายเป็นเลือดอยู่ในเพลิงลาวา เหลือไว้เพียงกรงเล็บมังกรข้อหนึ่งที่ยังคงเกาะติดอยู่บนหินผานั่น

วันแล้ววันเล่า กาลเวลาล่วงเลยไป กรงเล็บมังกรค่อยๆ สึกกร่อนไปตามสายลม สุดท้ายเหลือเพียงกระดูกหนึ่งท่อน ซึ่งก็คือกระดูกชิ้นที่อยู่ตรงหน้า

หลินมู่อวี่ถอนหายใจ ในที่สุดก็ทราบความเป็นมาของกระดูกกรงเล็บชิ้นนี้ และก็เข้าใจพลังและความทรงจำที่อยู่ภายในกระดูกชิ้นนี้ มังกรน้อยตัวนี้เก็บพลังมังกรทั้งหมดไว้ในกระดูกกรงเล็บชิ้นนี้

หากหลอมกระดูกกรงเล็บนี้ ก็จะมีค่าเท่ากับหลอมพลังของลูกมังกรห้ากรงเล็บทั้งตัว!

   ……

หลินมู่อวี่สูดหายใจเข้าลึกๆ เริ่มใช้ปราณแยกโครงสร้างของกระดูกมังกร เพื่อปลดปล่อยพลังมังกรที่อยู่ด้านใน

ทว่าปราณของเขาเหมือนน้ำที่ไหลอยู่ในลำธาร หมุนวนอยู่รอบกระดูกมังกรไม่หยุด แต่กลับทำอะไรมันไม่ได้เลย ผ่านไปชั่วโมงกว่าก็ยังคงไม่มีความคืบหน้าใดๆ

หรือว่าต้องใช้ติ่งหลอมอาวุธกันนะ

เขาส่ายหน้าช้าๆ ยกฝ่ามือขึ้น แสงเพลิงเข้าปกคลุมร่างของเขาและกระดูกมังกรอย่างรวดเร็ว ติ่งยักษ์เปิดออก เรื่องที่ปราณทำไม่สำเร็จ ติ่งหลอมอาวุธน่าจะทำสำเร็จได้

“จุดไฟ!”

เขาออกคำสั่ง ติ่งหลอมอาวุธส่งเสียงหวีดออกมาเบาๆ เพลิงที่ร้อนแรงหลายสายยังวนเวียนอยู่รอบกระดูกมังกร เปลวเพลิงที่มีพลังทะลวงรุนแรงแผดเผาอยู่ไม่ถึงสิบนาที กระดูกมังกรก็เริ่มแยกตัวออกจากกัน พร้อมด้วยเสียงร้องของมังกร พลังมังกรสีทองหลายสายไหลเวียนอยู่รอบตัวหลินมู่อวี่ และซึมผ่านผิวหนังเข้าไปไม่หยุด

“อ้าก…”

ตอนที่พลังมังกรซึมเข้าสู่ผิวหนังและชีพจรนั้น หลินมู่อวี่ก็สัมผัสได้ถึงความปวดแสบปวดร้อนอย่างรุนแรง แต่นี่ยังไม่ถึงช่วงสำคัญ ตอนที่พลังมังกรสัมผัสถูกกระดูกและเริ่มหลอมรวมเข้ากับกระดูกนั้น ความเจ็บปวดที่ทิ่มแทงหัวใจนั่นทำให้หลินมู่อวี่หมดทางที่จะรับไหว พริบตาเดียวร่างกายก็เต็มไปด้วยเหงื่อ เสื้อนอกกับกางเกงเปียกเหงื่อจนชุ่ม

ทว่าความทรมานไม่ได้มีเพียงเท่านี้ ยิ่งพลังมังกรที่หลอมรวมกับกระดูกคืบหน้าไปเท่าไร ความเจ็บปวดก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้นเท่านั้น ในที่สุดสติของหลินมู่อวี่เริ่มเลือนลาง และฟุบหมดสติลงกับพื้น

“พี่ชาย รีบหยุดเร็วเข้า!”

ได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้นที่ข้างหู ภูตระบบลู่ลู่นั่นเอง ลู่ลู่กำลังบินอยู่กลางอากาศ ตะโกนเรียกจนเสียงแหบแห้ง

หลินมู่อวี่สะดุ้งตื่นขึ้นมา พบว่าร่างกายมีไฟลุกไหม้

“เอ๊ะ?!”

เขารีบถอนปราณและติ่งหลอมอาวุธกลับ จากนั้นกลิ้งตัวกับพื้นหลายรอบ เพื่อดับไฟที่ลุกอยู่บนตัว เนื้อตัวสะบักสะบอมยืนอยู่ตรงนั้น หากไม่ใช่เพราะลู่ลู่เรียกเขาตื่น แล้วปล่อยให้ตื่งหลอมอาวุธทำงานต่อไป ร่างของตนก็คงจะถูกทำลายเสียแล้ว!

   ……

ความเจ็บปวดสามารถทำให้คนตื่นเต้น แต่ก็สามารถทำให้คนสลบจนถึงขั้นหลับได้ ช่างอันตรายเสียจริง!