บทที่ 112 ประมูล

ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน

วาจาของเผยเยี่ยนทำให้หัวใจอวี้ถังรัวเต้นเหมือนกลอง

เขาพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?

หากว่าสกุลอวี้ประสบความลำบาก เห็นแก่เพื่อนบ้านเมืองเดียวกัน ไม่ว่าสวนป่าจะอยู่ในสภาพเช่นใด เขาก็จะออกหน้าซื้อมันไว้ ช่วยเหลือสกุลอวี้ให้พ้นจากความยากแค้น

นางเข้าใจถูกแล้วใช่หรือไม่?

นางนึกถึงเรื่องเมื่อชาติก่อน หัวใจยิ่งกระหน่ำเต้นแรงกว่าเดิม

ชาติที่แล้ว สกุลอวี้ขายทั้งที่นาและสวนป่าให้สกุลเผย ไม่เพียงแค่ว่าสกุลเผยเป็นสกุลที่มั่งคั่งที่สุดในเมืองหลินอัน แต่เพราะสกุลเผยรับซื้อในราคาสูงที่สุดด้วย

ตอนนั้นนางก็ไม่เข้าใจสกุลเผย

คิดว่าเพราะสกุลเผยมีเงินทองกองเป็นภูเขา จึงไม่ใส่ใจกับเงินเล็กน้อยแค่นี้

แต่ดูจากเมื่อครู่ แม้สกุลเผยจะมีเงินมากมาย แต่เขาจะจ่ายแต่สิ่งที่ควรจ่ายเท่านั้น สิ่งที่ไม่ควรจ่ายก็จะไม่จ่ายอย่างเด็ดขาด

เห็นได้อย่างชัดเจน ที่สกุลเผยซื้อทรัพย์สินต่อจากสกุลอวี้นั้น ก็เพราะความใจบุญสุนทาน อีกทั้งเงินนั่นก็ช่วยสกุลอวี้ไว้ได้จริงๆ…หากไม่ได้เงินของสกุลเผย นางก็จะไม่มีเงินไปจ้างคนงมศพบิดามารดา ไม่มีแม้เงินจะซื้อสุสานฝังศพให้พวกเขาได้พักกายอย่างเป็นสุขด้วยซ้ำ

ที่แท้ ตั้งแต่ตอนที่นางไม่รู้อะไรสักอย่าง เผยเยี่ยนก็มีบุญคุณใหญ่หลวงต่อนางแล้ว

อวี้ถังระลึกความเดียวดายไม่รู้จะหันหน้าไปทางไหนเมื่อชาติก่อน แต่พอคิดว่ามีคนเคยมอบความช่วยเหลือและความอบอุ่นให้แก่นาง ดวงตาพลันรื้นเอ่อทันที

เผยเยี่ยนเห็นนางเหม่อลอย เป็นนานสองนานก็ไม่ได้สติ ในใจจึงอดจะสงสัยไม่ได้ เขายื่นมือโบกไปมาตรงหน้านาง “นี่ เจ้าคิดเสร็จแล้วหรือยัง? ต้องการให้ข้าช่วยหรือไม่? หากว่าไม่ต้องการหรือยังคิดไม่เสร็จ เช่นนั้นรอให้ผ่านวันที่สิบไปแล้วค่อยว่ากัน”

สมองของอวี้ถังหมุนแล่น คิดหาคำตอบอย่างรวดเร็ว

นางเอ่ยว่า “ข้ายังต้องการปลูกต้นซาจี๋ จากนั้นก็นำผลซาจี๋ไปทำผลไม้แช่อิ่มขาย ท่านคิดว่าทำได้หรือไม่?”

เผยเยี่ยนไม่นึกว่าอวี้ถังจะหัวรั้นเพียงนี้

แต่มันคือสิ่งที่นางเลือก ต่อให้เป็นกำแพงเมือง ก็ต้องให้นางเอาศีรษะพุ่งชนเองจึงจะเรียนรู้ที่จะถอยกลับ

เขาเอ่ยเตือนนางว่า “ต้นซาจี๋จะออกผลอย่างต่ำต้องรอสามปี เจ้าคิดดีแล้วใช่ไหม?”

“คิดดีแล้วเจ้าค่ะ!” อวี้ถังสูดหายใจลึกเข้าปอด

ชาติก่อนไม่ว่าเผยเยี่ยนจะปลูกต้นซาจี๋ด้วยเหตุผลใดก็ตาม นางคิดว่าขอแค่เดินตามเส้นทางของเขาไป อย่างไรย่อมสำเร็จลุล่วง

เผยเยี่ยนไม่โน้มน้าวนางอีก “ถ้าเจ้าตัดสินใจดีแล้ว เช่นนั้นก็ตั้งใจลงมือทำ ข้าเกลียดพวกที่ละทิ้งกลางทางที่สุด”

“ท่านวางใจได้เลย!” อวี้ถังให้ความมั่นใจต่อเขา “ข้าจะตั้งใจทำอย่างแน่นอน”

เผยเยี่ยนครุ่นคิด นับว่าได้จ่ายค่าครูแล้ว

ใครไปเรียนวิชาแล้วไม่ต้องจ่ายเงินสักเล็กน้อยบ้าง!

“จวนข้ายังมีต้นซาจี๋หลายต้น” เขาบอก “รอผ่านวันที่สิบไป เจ้าก็ส่งคนไปขุดแล้วลองไปปลูกที่สวนของเจ้าก่อน หากว่าปลูกรอด ฤดูใบไม้ร่วงปีนี้ก็คงออกผล ถึงเวลานั้นเจ้าลองชิมรสชาติของมันดูก็รู้แล้วว่าเป็นอย่างไร”

จืดชืดไร้รส หากไม่ทำเป็นผลไม้แช่อิ่ม ก็ไม่มีประโยชน์อย่างอื่นแล้วจริงๆ

อวี้ถังคิดไม่ถึงว่าจะได้กำไรอย่างเหนือความคาดหมายเช่นนี้

ชาติก่อน นางได้ยินว่าต้นไม้ชนิดนี้เป็นสหายขุนนางซึ่งอยู่แถบซีเป่ยแนะนำมาให้เขา ส่วนชาตินี้ กลับเป็นโจวจื่อจินที่ขุดมันกลับมาจากแถบซีเป่ย ไม่รู้ว่าข้อมูลเมื่อชาติก่อนหรือว่าชาตินี้กันแน่ที่ถูกต้อง แต่ไม่ว่าอย่างไร นางก็ตัดสินใจว่าเมื่อมันออกผลแล้ว ก็จะทำผลไม้แช่อิ่มให้เผยเยี่ยนกับนายท่านเสิ่นที่ช่วยหาเมล็ดพันธุ์ลองชิมดูก่อนสักรอบ

สองคนนี้ช่วยนางไว้มากมายเลยทีเดียว

อวี้ถังส่งเผยเยี่ยนกลับไปด้วยความเคารพนับถือ

เผยเยี่ยนกลับไปถึงจวนยังไม่ทันนั่งได้มั่นคง เผยหม่านก็เข้ามาหา พร้อมรายงานข่าวที่ทำให้เขาค่อนข้างประหลาดใจ “สกุลอู่เที่ยวโพนทะนาไปทั่วว่าสกุลเถา สกุลอิ้น สกุลลี่และสกุลเซิ่งต่างตัดสินใจจะกดราคาประมูลให้อยู่ที่ประมาณห้าพันตำลึง ไม่ว่าสกุลใดจะได้แผนที่ผืนนั้นไป พวกเขาก็จะนำมาแบ่งปันกันขอรับ”

ไม่มีมิตรแท้ตลอดกาล มีเพียงผลประโยชน์ที่ยั่งยืน

เผยเยี่ยนรินน้ำชาให้ตนเองอย่างไม่แยแส เขาจิบชาอย่างไม่อนาทรร้อนใจ ก่อนจะตอบว่า “เจ้าไม่ต้องกังวลไป ข้าไม่คาดหวังให้สกุลใดชนะประมูลอยู่แล้ว หากว่าพวกเขาหารือกันเสร็จสรรพ เช่นนั้นก็ขายแผนที่ให้พวกเขาในราคาห้าพันตำลึงไปเถอะ บวกกับเงินประกันสองพันตำลึงที่แต่ละสกุลจ่ายมา อย่างไรสกุลอวี้ก็ได้ถึงสองหมื่นตำลึงแล้ว เมื่อมีเงินสองหมื่นตำลึงนี้ แม้ไม่นับว่ามากมาย แต่ก็พอให้สกุลเขาใช้ได้ไปอีกหลายรุ่น อีกอย่าง เงินทองมีมากมายแล้วได้อะไรเล่า? หากลูกหลานไม่เป็นโล้เป็นพาย มีมากเท่าไรก็หมดได้เหมือนกัน”

เผยหม่านเอ่ยอย่างประหลาดใจว่า “มิใช่ผู้ให้ราคาสูงสุดเป็นผู้ได้ครองหรือขอรับ?”

เผยเยี่ยนพ่นลมออกมาเป็นเสียงหัวเราะ มองเขาราวกับเป็นคนปัญญาอ่อนคนหนึ่ง “ผู้ให้ราคาสูงสุดเป็นผู้ได้ครอง เจ้าคิดว่าเป็นไปได้หรือ? แล้วเท่าไรนับว่าสูงเล่า? แต่แรกข้าก็ไม่คิดว่ามันจะได้ผล เพียงแต่ไม่ต้องการให้พวกเขาได้มันไปง่ายๆ ก็เท่านั้น มิฉะนั้นพวกเขาจะคิดว่าสกุลเผยซ่อนแผนร้ายไว้ในใจ สงสัยว่าแผนที่นั่นเป็นของปลอม”

เห็นชัดว่ามีคนประเภทใช้หัวใจของคนถ่อยไปวัดความคิดวิญญูชนอยู่จริงๆ

เผยหม่านพูดต่อว่า “เช่นนั้นพวกเราจะไม่เก็บแผนที่ไว้จริงๆ หรือขอรับ?”

สกุลอวี้เคยพูดไว้ว่าจะมอบภาพผืนหนึ่งให้เผยเยี่ยน หากพวกเขาจะเก็บไว้สักผืนก็ไม่นับว่าผิดสัญญากระมัง?

เผยเยี่ยนส่ายหน้า “ข้ารู้จักศิษย์พี่รองคนนี้ดี เพื่อเส้นทางขุนนางในวันข้างหน้าแล้ว เรื่องใดๆ ล้วนกล้าทำทั้งสิ้น บัดนี้นายท่านเสิ่นผู้เป็นโซ่วฟู่ก็อายุมากแล้ว อย่างมากอีกสองปีคงลาออกจากราชการ เขากับหลี่ซวิ่นแย่งชิงตำแหน่งโซ่วฝู่ของเน่ยเก๋อ จากนิสัยของเขา ย่อมลงมือกับสำนักตรวจสอบการค้าทางทะเลเป็นที่แรกแน่ ล้างบางสกุลใหญ่ๆ ในแถบเจียงหนานเสียใหม่ คนที่ไม่หนุนหลังเขาก็จะถูกเหยียบให้จมโคลน ข้ากับเขาเดิมก็ไม่ถูกกัน หากมิใช่อาจารย์ยังมีชีวิตอยู่ ทั้งต้องขอคำแนะนำจากศิษย์พี่เฟ่ย เกรงว่าเขาคงไม่นับข้าคนนี้เป็นศิษย์น้องตั้งนานแล้ว พวกเราอย่าไปเกี่ยวพันกับเรื่องนี้เป็นดีที่สุด”

สีหน้าเผยหม่านเปลี่ยนเหมือนพลิกฝ่ามือ เขาพยักหน้ารับหงึกหงัก

เผยเยี่ยนลุกยืนขึ้นแล้วบิดตัวอย่างเกียจคร้าน เขาเอ่ยพลางเปิดปากหาวว่า “เมื่อคืนนอนดึกไปหน่อย วันนี้ข้าจะนอนกลางวัน ช่วงบ่ายยังต้องไปต้อนรับคนของสกุลเผิงอีก เจ้าไปบอกอาหมิงสักคำ ถึงเวลานั้นมาปลุกข้าด้วย”

เผยหม่านรับคำ แล้วสั่งการสาวใช้ให้ปูที่นอนแก่เผยเยี่ยน

อวี้ถังที่กลับเข้าเรือนไปค่อนข้างกระสับกระส่าย นางเอาแต่คิดถึงรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ตอนชาติก่อน พอถึงวันที่สิบซึ่งมีการเปิดประมูล อวี้หย่วนก็มาถึงเรือนอวี้ถังแต่ไก่โห่ จากนั้นก็นั่งรอฟังข่าวกับอวี้หย่วนด้วยความตึงเครียด

อวี้ถังแม้ตัวจะอยู่ในห้องหนังสือ แต่ใจกลับลอยไปที่อื่นแล้ว

นางกำลังนึกย้อนไปยังชาติก่อน นึกถึงข่าวลือต่างๆ เกี่ยวกับเผยเยี่ยน

ทุกคนรู้เรื่องของเขาน้อยมาก ถึงขนาดไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาแต่งกับสตรีสกุลใด ไม่เคยได้ยินว่าเขามีลูก ไม่รู้เพราะเขาไม่ต้องการให้ผู้อื่นล่วงรู้หรือว่าไม่ได้ตบแต่งกันแน่?

ชาติก่อนนางก็โง่เหลือทน เหตุใดถึงไม่สงสัยเลยว่าทำไมสกุลเผยเสนอราคาซื้อสวนป่าของสกุลตนด้วยเงินที่สูงกว่าผู้อื่ืน? แต่ต่อให้นางรู้ จากนิสัยและความขี้ขลาดของนางแต่ก่อน คาดว่าคงไม่กล้าไปขอบคุณสกุลเผยอยู่ดี ยังมีสกุลหลี่ ชาติก่อน เมื่อได้แผนที่ไปครอง พวกเขาก็ร่วมมือกับสกุลเผิง ไม่นานก็ขึ้นแท่นสกุลใหญ่ในเมืองหลินอันซึ่งเป็นรองเพียงสกุลเผยเท่านั้น ไม่รู้ว่าเรื่องนี้สิ่งผลกระทบต่อสกุลเผยมากน้อยแค่ไหน? ไม่เพียงเท่านี้ เผยเยี่ยนพูดว่าราชสำนักอาจยกเลิกสำนักตรวจสอบการค้าทางทะเลที่หนิงปัวและเฉวียนโจว แต่จากความทรงจำของนาง จนถึงกระทั่งตอนที่นางตายไป สำนักตรวจสอบทั้งที่หนังปัวและเฉวียนโจวก็ยังอยู่ดี…

คิดถึงตรงนี้ อวี้ถังแทบจะกระเด้งตัวขึ้นมา

จริงด้วย เหตุใดนางถึงไม่ใช้ข้อมูลที่นางมีเมื่อชาติก่อนมาตอบแทนสกุลเผยเล่า?

ชาติก่อน สำนักตรวจสอบที่หนิงปัวและเฉวียนโจวจะถูกรื้อถอนหรือไม่นั้น หาได้เกี่ยวอะไรกับนาง แต่ว่าสกุลเผยนั้นไม่เหมือนกัน สกุลเขาทำกิจการใหญ่โต ต่อให้ไม่คิดทำการค้าทางทะเล แต่ย่อมมีคนที่รู้จักเป็นแน่ บางทีอาจมีญาติพี่น้องที่ทำกิจการนี้ นางสามารถเล็ดลอดข้อมูลให้แก่เผยเยี่ยน จากนั้นเผยเยี่ยนก็ใช้มันไปทำการแลกเปลี่ยนกับผู้อื่นต่อ บางทีนี่อาจทำให้สหายของเขาลดความสูญเสียลงก็เป็นได้

อวี้ถังยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าเข้าท่าเข้าที

นางเดินไปเดินมาอยู่ในห้อง ความปรารถนาที่จะพบเผยเยี่ยนเหมือนเปลวไฟที่พวยพุ่ง โหมแรงขึ้นทุกที

อวี้เหวินเห็นแล้วก็กระซิบกับอวี้หย่วนว่า “เจ้าดูอาถังสิ ไหนบอกว่าโตแล้ว มีความคิดเป็นของตัวเอง แต่อายุนางก็แสดงชัดอยู่นั่นอย่างไร พอเจอเรื่องเข้าหน่อยก็สะกดใจไม่ค่อยอยู่”

ทุ่มเทเรี่ยวแรงมาเนิ่นนาน ในที่สุดก็จะสลัดแผนที่นั่นพ้น อวี้หย่วนจึงรู้สึกยินดีจากเบื้องลึกของหัวใจ

เขาอดจะเอ่ยอย่างยิ้มๆ ไม่ได้ว่า “นี่มิใช่ว่ามีแต่คนในครอบครัวหรอกหรือ? หากว่ามีคนนอกอยู่ด้วย นางย่อมข่มกลั้นไว้เป็นแน่ ท่านเห็นแล้วยังต้องชมนางสักเปาะว่าสุขุมนุ่มลึก ท่านอาอย่าได้คอยจับผิดนางเลยขอรับ!”

อวี้เหวินหัวเราะไม่มีเสียงแล้วพูดกับอวี้ถังว่า “เจ้าเลิกเดินเสียทีเถอะ นี่เดินจนข้าเวียนหัวไปหมดแล้ว สกุลเผยมีอำนาจบารมี ย่อมส่งเงินที่ได้จากการประมูลมาให้พวกเราอย่างครบถ้วนสมบูรณ์แน่ เจ้าเดินวนไปวนมาเช่นนี้ เล่นเอาใจข้าพะวงตามไปด้วย”

อวี้ถังได้ฟังก็หัวเราะชอบใจ ไม่ได้อธิบายว่าทำไมนางถึงได้เดินวนกลับไปกลับมา นางพยายามข่มใจให้นิ่ง หย่อนตัวลงนั่งแล้วจิบชาไปสองอึก จากนั้นก็กลับห้องไปทำดอกไม้ผ้าอีกสองดอก ในที่สุดก็มีคนจากสกุลเผยมาส่งข่าว

“เงินประกันรวมกับเงินที่ได้จากงานประมูล รวมทั้งสิ้นสองหมื่นเจ็ดพันตำลึงขอรับ” คนที่มาคือบุรุษคะเนอายุได้ประมาณสามสิบ รูปโฉมสามัญ สวมเสื้อผ้าเนื้อหยาบสีน้ำเงินธรรมดาๆ แต่พูดจาเป็นลำดับขั้นตอนยิ่ง เขามีชื่อว่าเฉินฉี เป็นนายห้องบัญชีของสกุลเผย “ตามที่ตกลงกันไว้ ทั้งหมดล้วนฝากไว้ที่ร้านเครื่องเงินสกุลเผย นี่คือตั๋วเงินทั้งหมด ขอนายท่านอวี้ตรวจนับก่อนหนึ่งรอบ ข้าจะได้กลับไปสรุปบัญชีขอรับ” เขาพูดจบ ก็หยิบกล่องใบหนึ่งออกมา “ด้านในล้วนเป็นตั๋วเงินใบละหนึ่งพันตำลึง และเป็นตั๋วเงินที่มูลค่าสูงสุดในร้านเครื่องเงินของสกุลเผยแล้วขอรับ”

สองหมื่นเจ็ดพันตำลึง?!

สีหน้าของคนในสกุลอวี้พลันนิ่งค้างอยู่เช่นนั้น

อวี้หย่วนไม่อาจเก็บซ่อนความดีใจและตื่นเต้นเอาไว้ได้ เขามองไปทางอวี้ถัง แล้วลอบกำหมัดอยู่หลายที

อวี้เหวินก็ปลื้มปริ่มไม่ต่างกัน เขากระแอมเสียงเบาๆ รับกล่องใบนั้นมาแล้วส่งต่อให้อวี้หย่วนโดยไม่ชายตามอง เขายืดตัวแล้วคารวะให้เฉินฉีทีหนึ่ง “ลำบากท่านเฉินแล้ว ในเรือนเตรียมสุราอาหารไว้ ขอท่านเฉินอย่าได้รังเกียจ กินดื่มสักเล็กน้อยแล้วค่อยเดินทางกลับเถอะ”

ใครจะคิดว่าเฉินฉีกลับคร่ำเคร่งไม่ผ่อนปรน “นายท่านอวี้ ตั๋วเงินนี้นายท่านสามมอบให้มากับมือ คนทั้งหลายในห้องบัญชีต่างก็เป็นพยานตอนใส่ลงในกล่อง ทั้งข้าถือกล่องนี้มาเพียงผู้เดียว ขอให้ท่านตรวจนับเสียสักรอบ หากว่าไม่มีอันใดผิดพลาด พวกเราค่อยว่ากันเรื่องอื่นต่อ”

อวี้เหวินหัวเราะอย่างไม่ใส่ใจ “ท่านเฉินเป็นถึงนายบัญชีของสกุลเผย ยังมีอะไรเชื่อถือไม่ได้อีก? ไม่มีทางผิดพลาดแน่…”

“ขอนายท่านอวี้ตรวจนับก่อนหนึ่งรอบ” เฉินฉีไม่เกรงใจอวี้เหวินเลยสักนิด ยืนกรานจะตรวจสอบเงินทองต่อหน้าทุกคนให้ครบถ้วน

อวี้เหวินเริ่มไม่ชอบใจ คิดว่าเฉินฉีไม่เชื่อถือน้ำใจคนอย่างเขา

อวี้ถังลอบถอนหายใจเฮือก ได้แต่พูดกล่อมบิดาว่า “ท่านพ่อเชื่อใจสกุลเผย นั่นคือความไว้วางใจที่ท่านมีต่อสกุลเผย แต่ท่านเฉินเป็นนายบัญชี ย่อมมีขั้นตอนที่ห้องบัญชีต้องปฏิบัติตาม เงินก้อนใหญ่ขนาดนี้ ท่านไม่ยอมตรวจนับต่อหน้า แล้วเขาจะกลับไปลงบัญชีได้อย่างไร ท่านยังคงเชื่อท่านเฉินจะดีกว่า ตรวจนับตั๋วเงินตรงนี้ให้เรียบร้อยเถอะเจ้าค่ะ!”

เช่นนี้แล้วอวี้เหวินกับอวี้หย่วนจึงได้เริ่มตรวจนับตั๋วเงินไปพร้อมๆ กับเฉินฉี

สิ่งที่สกุลเผยส่งมา ทั้งยังเป็นเผยเยี่ยนที่ส่งต่อให้เฉินฉีด้วยมือตนเอง ย่อมไม่มีทางผิดพลาดได้

อวี้เหวินคิด ครานี้เฉินฉีสามารถไปดื่มกินกับเขาได้อย่างสบายใจแล้วกระมัง?

เฉินฉียังคงบอกปฏิเสธ “ข้านั่งรถม้าของนายท่านสามมาขอรับ ยังต้องรีบกลับไปรายงานผลอีก ท่านหากว่าต้องการขอบคุณ ก็ต้องขอบคุณนายท่านสามแล้ว! ข้าก็แค่ทำตามหน้าที่เท่านั้น”

เขาไม่ไว้หน้าอวี้เหวินสักนิด ทำเอาอวี้เหวินโมโหจนแทบสำลัก ทั้งไม่ยอมเดินไปส่งเฉินฉีที่หน้าประตูด้วย กลับสั่งให้อวี้หย่วนไปส่งแขกแทนตน

เฉินฉีก็ไม่รู้สึกว่าตนได้รับความไม่สะดวก เขาประสานมือคารวะอวี้เหวิน ก่อนจะเดินตามอวี้หย่วนออกจากห้องหนังสือไป