บทที่ 113 สถานที่แห่งใหม่

ราชาซากศพ

บทที่ 113
สถานที่แห่งใหม่

*ต่อจากบทนี้ สัตว์อสูรที่มีสติปัญญาพูดคุย จะใช้สรรพนามบุคคลที่สาม ว่า เขา*

“ทราบแล้ว…นายท่าน มังกรเหินพยักหน้าและกล่าวขึ้น
“เอาล่ะ ข้าจะตั้งชื่อให้เจ้า! เรียกเจ้าว่าเสี่ยวเฟย…เป็นชื่อที่จดจำได้ง่าย” หลินเว่ยพูดด้วยรอยยิ้ม

“ขอบคุณ นายท่าน!” เสี่ยวเฟยกลอกตาและมองไปที่หลินเว่ย ด้วยใบหน้าที่ไร้ซึ่งคำพูด แต่เมื่อนึกถึงสถานะของตนเองในปัจจุบัน ก็อดพยักหน้าอย่างช่วยไม่ได้

“เอายานี่ไปใช้…..พยายามฟื้นฟูร่างกายให้ได้มากที่สุด…. จะไม่ทิ้งอาการบาดเจ็บไว้เบื้องหลัง ” หลินเว่ยหยิบยารักษาจำนวนหนึ่งออกมาและโยนให้เสี่ยวเฟย

“ขอบคุณ นายท่าน!” เสี่ยวเฟยได้กลิ่นยา และสามารถรับรู้ได้โดยจิตวิญญาณของเขา จากนั้นก็ตกตะลึง เขาอ้าปากและกลืนมันอย่างรวดเร็ว หลังจากขอบคุณหลินเว่ยแล้ว เขาก็หลับตาและดูดซับยาภายในร่างกาย

เมื่อเห็นเสี่ยวเฟยเริ่มรักษาตนเอง หลินเว่ยก็ไม่รบกวนอีกต่อไป เขากลับตรงมาที่ขอบสระน้ำแทน ในขณะนี้ซากศพสัตว์อสูรที่ลอยอยู่บนผิวน้ำ ได้รับการเก็บกู้โดยโครงกระดูกของหลินเว่ย

เมื่อสัตว์โครงกระดูกกลุ่มสุดท้ายกลับมาหาหลินเว่ย มันยื่นกล่องหยกที่บรรจุผลสวรรค์จิ่วหยูให้เขา หลินเว่ยก็รู้สึกโล่งใจอย่างมาก ใบหน้าของเขานั้นรู้สึกกังวลเป็นอย่างมาก หากไม่ได้ผลสวรรค์จิ่วหยูมาไว้ในครอบครอง เขาไม่คาดคิดว่าจะมีสัตว์อสูรจำนวนมากที่เอาชีวิตมาทิ้งไว้ที่นี่แม้กระทั่งสัตว์อสูรขั้นแปดทั้งสามตัว แต่สุดท้ายเขาก็ได้ร่างของมันมา เพื่อเสริมกองทัพโครงกระดูกที่ทรงพลัง

หลินเว่ยอยู่ในหุบเขามานานกว่าหนึ่งเดือน แน่นอนว่าการบาดเจ็บของเสี่ยวเฟยนั้นร้ายแรงเกินไป และความเสียหายต่อการสังเวยวิญญาณทำให้หลินเว่ยต้องใช้ยาจำนวนมาก ซึ่งสามารถทำให้เสี่ยวเฟยฟื้นตัวมาได้ อย่างไรก็ตาม การฝึกฝนของอีกฝ่ายลดลงหลายระดับเล็กน้อย เนื่องจากอิทธิพลของการบาดเจ็บและการสังเวยวิญญาณ หลังจากใช้ความพยายามมากว่าหนึ่งเดือน เสี่ยวเฟยก็สามารถฟื้นตัวขึ้นมาถึงขั้นแปดได้สำเร็จ

“นายท่าน….เสี่ยวเฟยร้องเรียกหลินเว่ย
“อืม!” หลินเว่ยตอบ แล้วมองหน้าอย่างสงสัย
“สถานที่ที่ข้าอาศัยอยู่ไม่ไกลจากที่นี่มากนัก ท่านสามารถตามข้าไปเอาสมบัติเหล่านั้น เพื่อไม่ให้สัตว์อสูรตนอื่นค้นพบ” เสี่ยวเฟยกล่าวด้วยความเจ็บปวด บนใบหน้าของเขา

“จะรออะไรอีกล่ะ รับไปกันเถอะ! ถ้าเจ้าไม่พูดขึ้นมา ข้าก็คงลืมไปแล้ว และข้าไม่รู้ว่าลูกของข้า(สมบัติ)ยังอยู่ที่นั่นหรือไม่? เมื่อได้ยินคำพูดของเสี่ยวเฟย หลินเว่ยก็ลุกขึ้นยืนทันทีแทบจะกระโดดพลิกตัว

และ กระโดดขึ้นไปบนหลังของเสี่ยวเฟย และกระตุ้นให้รีบออกเดินทางครั้งแล้วครั้งเล่า
“เอ๋….ลูกของข้า?” เมื่อได้ยินคำพูดของหลินเว่ย เสี่ยวเฟยถามด้วยความสงสัย

“มันคือลูกของข้าต่างหาก! เจ้าเป็นใครและข้าเป็นใคร! ยิ่งไปกว่านั้น เจ้ายกสมบัติทั้งหมดให้ข้าแล้ว หลินเว่ยมองไปที่เสี่ยวเฟยอย่างจริงจัง และพูดอย่างเคร่งขรึม

“ ……”
เสี่ยวเฟยไม่รู้จะพูดอะไร แม้ว่าเสี่ยวเฟยจะรู้ว่าต้องแยกจากลูกของตนเองไป แต่ไม่คาดคิดว่า เขาจะประเมินความไร้ยางอายของหลินเว่ยต่ำไป

“ไปหาสัตว์เลี้ยงของเจ้าเองสิ……ในโลกนี้ไม่มีใครไร้ยางอายได้เท่ากับเจ้าอีกแล้ว” เสี่ยวไป๋มองไปที่หลินเว่ยด้วยความรังเกียจฉายบนใบหน้าของเขา และถอนหายใจ

“เชื่อหรือไม่ว่า ข้าจะหักส่วนแบ่งของเจ้าไปซะ” ดวงตาของหลินเว่ยหรี่ลงและพูดอย่างคุกคาม

“ ……” เสี่ยวไป๋นิ่งเงียบไร้คำพูดใดๆ
“ไปกันเถอะ!” หลินเว่ยกอดอกและพูดเบา ๆ
…………

ในระหว่างทางของการเดินทางไปตามล่าสมบัติของเสี่ยวเฟย

“เจ้าเคยได้ยินหรือไม่ว่า สถานศึกษาเทียนหยูได้เริ่มรับสมัครเหล่าบัณฑิตจากภายนอก” ชายวัยกลางคนเช็ดคราบเหล้าที่มุมปาก พลางกล่าวกับสหายที่นั่งฝั่งตรงข้าม

“แน่นอน…ท่านเจ้าเมืองได้ออกประกาศ เมื่อสองสามวันก่อน แต่น้อยคนนักที่จะรู้เรื่องนี้ แม้แต่ข้าเองก็เถอะ” เมื่อได้ยินการซักถามของสหาย เขาก็เข้าใจว่าอีกฝ่ายต้องการโอ้อวด

“โอ้! ข่าวนี้เป็นเรื่องจริงหรือ? สถานศึกษาเทียนหยูจะเปิดรับศิษย์นอก เจ้ามิอาจพูดพร่ำเพรื่อ”

เมื่อได้ฟังคำพูดของสหายร่วมทางก็รู้สึกเบื่อหน่าย

“พี่ชายทั้งสอง เหตุใดเพียงแค่เปิดรับศิษย์จึงพูดไม่ได้เล่า?” เสียงนี้ ถ้าไม่ใช่หลินเว่ยก็ไม่อาจเป็นใครอื่นได้อีก

ไม่กี่เดือนที่ผ่านมา เสี่ยวเฟยพาหลินเว่ยกลับไปที่รัง และทำให้หลินเว่ยมีโชคลาภก้อนใหญ่ ของสะสมของเสี่ยวเฟย ล้วนแต่เป็นอัญมณีเงาวับจับตา เพราะเนื่องจากเสี่ยวเฟยเป็นมังกร มันจึงชื่นชอบสิ่งสวยงามโดยธรรมชาติ แม้ว่าบางส่วนจะไร้ค่าและถูกส่งคืน แต่สิ่งของส่วนใหญ่นั้นเป็นของสิ่งที่มีค่า ส่วนใหญ่เป็นแก่นคริสตัล และหินหยวน ซึ่งถูกหลินเว่ยยึดครองไป

ด้วยเหตุนี้ ทักษะการคืนชีพโครงกระดูกของหลินเว่ย ด้วยระดับพื้นที่มิติ จึงได้รับการเลื่อนระดับเป็นขั้นเจ็ด

อย่างไรก็ตามความแข็งแกร่งทางจิตใจของหลินเว่ยก็ยังคงแน่นิ่งในระดับเดิม

ในท้ายที่สุดเขา สามารถเรียกโครงกระดูกขั้นเจ็ดออกมาได้ และสัตว์โครงกระดูกดั้งเดิมของเขา ยังคงมีเพียงขั้นหกเท่านั้น นี่คือขีดจำกัดที่เขาสามารถอัญเชิญได้ในตอนนี้

ด้วยเหตุนี้เขาจึงละทิ้งการล่าและสังหารสัตว์อสูรชั่วคราว และเริ่มมองหาสิ่งที่สามารถเพิ่มความแข็งแกร่งทางจิตใจของเขาได้ ในตอนแรกเขาสามารถพึ่งพาความแข็งแกร่งของเสี่ยวเฟย เพื่อให้แข็งแกร่งกว่าสัตว์อสูรระดับขั้นแปด

เมื่อเขาเห็นว่าสัตว์อสูรที่พึงพอใจในสายตาของเขา เขาก็ตรงไปสังหาร ถ้าเห็นอะไรมีค่าก็บุกปล้นแย่งชิงซึ่งหน้า

หลังจากนั้นไม่นาน หลินเว่ยก็เตะถูกแผ่นเหล็ก ภายใต้การแนะนำของเสี่ยวไป๋ เขาบุกเข้าไปในถ้ำ และขุดถ้ำลึกลงไปสามฟุต หลินเว่ยลอบขุดถ้ำที่อยู่อาศัยของผู้อื่นอยู่หลายครั้ง และได้ผลประโยชน์บางอย่างกลับมา เป็นผลทำให้เจ้าของถ้ำกลับมาและเกรี้ยวกราดอย่างหนัก

เดิมทีหลินเว่ยมีแผนที่จะแอบขโมยสิ่งของออกไปและสังหารเจ้าของถ้ำซะ แต่เมื่อเห็นว่าทั้งเสี่ยวไป๋และเสี่ยวเฟย บอกเขาด้วยใบหน้าที่เรียบเฉยว่า อีกฝ่ายเป็นสัตว์อสูรขั้นเก้า หลินเว่ยก็รีบหาโอกาสเหมาะ และรีบจากไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ โชคดีที่สัตว์อสูรขั้นเก้าไม่สามารถบินได้ หลังจากนั้นไม่นาน เสี่ยวเฟยก็สามารถสลัดมันทิ้งไปได้
ผลสุดท้ายหลินเว่ยพบว่า การบินแบบสุ่มๆของเสี่ยวเฟย พาเขาออกจากหุบเขาม่อเทียนหลิง และปรากฏตัวบนภูเขาลูกใหญ่ที่เชิงเขามีเมืองใหญ่มาก

เมื่อครั้งที่เขาเข้ามาในเมือง หลินเว่ยก็เอ่ยถามข้อมูล และซื้อแผนที่ปรากฏว่า เมืองที่เขาอยู่ตอนนี้ ชื่อว่า เมืองกู่เยว่ เป็นดินแดนพื้นที่ของอาณาจักรเฟิงหยู เทือกเขาที่หลินเว่ยผ่านมา คือเทือกเขากู่เยว่ ซึ่งเชื่อมต่อกับหุบเขาม่อเทียนหลิงและเทือกเขาหงเย่

ในตอนนี้หลินเว่ยอยู่ภายในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งในเมืองกู่เยว่ เหตุผลที่หลินเว่ยมาที่นี่คือเพื่อแสวงหาข้อมูลที่เป็นประโยชน์ หลินเว่ยกำลังนั่งอยู่ในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง และนั่งฟังชายทั้งสองคนโต้ตอบอยู่นาน

หลังจากได้จังหวะจึงเอ่ยถามขึ้น

“เด็กน้อย เจ้าไม่รู้จักสถานศึกษาเทียนหยู เจ้าคงไม่เคยออกมาจากเมืองใช่หรือไม่?” ชายผู้แข็งแกร่งกล่าวด้วยความประหลาดใจ
“ตามที่พี่ชายคิด….ข้าเพิ่งออกจากเมืองมา และติดตามอาจารย์ของข้ามาที่เมืองกู่เยว่ เพื่อฝึกฝนประสบการณ์”

เมื่อได้ยินคำพูดของหลินเว่ย ใบหน้าของชายตรงหน้าแสดงให้เห็นถึงความประหลาดใจ และแสดงความยินดีออกมา

“นั่นสิ…เอาล่ะ ข้าจะบอกเจ้า! อย่าว่าแต่เมืองกู่เยว่เลย อาณาจักรเฟิ่งหยูทั้งหมด คนที่รู้จักสถานศึกษาเทียนหยู มีไม่กี่คนจริง ๆ ” ชายผู้แข็งแกร่งแสดงสีหน้าเช่นนั้น เขาพยักหน้าและกล่าวขึ้น

เพื่อที่จะมีเล่าเรื่องได้สนุกสนานมากยิ่งขึ้น หลินเว่ยจึงหันไปหาเจ้าของร้านและร้องเรียก: “เถ้าแก่! นำเหล้าและอาหารดี ๆ มาให้ข้าที”

จากนั้นหลินเว่ยก็หันไปหาชายที่แข็งแกร่ง และพูดกับสหายของเขาว่า “พี่ใหญ่ทั้งสอง ข้าน้องชายผู้นี้ขอเป็นเจ้ามือเลี้ยงข้าวท่านด้วยเถอะ”