เล่ม 2 ตอนที่ 116 ติด

ยอดหญิงลิขิตสวรรค์

ซือหยางเหล่ตามองนาง

“ไม่ได้!”

เพราะนิสัยขี้โมโหร้ายของกู้หมิงจูจะทำให้รร่วมกลุ่มต้องลำบาก อีกอย่าง นางดูไม่ออกหรือว่าพี่ใหญ่ไม่ได้มีใจให้นางเลยสักนิด

เมื่อกู้หมิงจูถูกปฏิเสธตรงๆ ก็รู้สึกร้อนที่ใบหน้า

นางมองไปที่ซือถิงอย่างน่าสงสาร แต่กลับพบว่าซือถิงไม่แม้แต่ชายตามองมาที่นาง ทั้งยังเย็นชาราวกับว่าไม่สนใจเลยสักนิด

กู้หมิงจูรู้สึกอึดอัดมากขึ้นเรื่อยๆ ราวกับไฟสุมทรวงที่ทำให้นางรู้สึกแผดเผาทรมานไปทั้งร่าง

นางกัดริมฝีปากล่างเพื่อควบคุมไม่ให้ระเบิดอารมณ์ออกมา

แต่ทว่าความอิจฉาริษยาและความเกลียดชังต่อฉู่หลิวเยว่ที่อยู่ในใจกลับมีมากกว่า

ฉู่หลิวเยว่มีสิทธิ์อะไร พวกเขาถึงได้เอ่ยปากชวนนางก่อน แต่พอนางเป็นฝ่ายเสนอตัวเองบ้างกลับโดนปฏิเสธ

สิ่งที่นางเอ่ยขอแล้วไม่มีวันได้ แต่ฉู่หลิวเยว่กลับทิ้งมันไปอย่างไร้ค่า

นางไม่เชื่อว่าฉู่หลิวเยว่จะได้ดีเช่นนี้ไปตลอด

ในไม่ช้าตงฟังชิงก็มาถึง

การสนทนาภายในห้องเรียนเงียบสนิทในทันที

ตงฟังชิงหัวเราะในลำคอแล้วปรายตามองหน้าทุกคน

“ดูเหมือนพวกเจ้าจะตั้งหน้าตั้งตารอเทศกาลล่าสัตว์อสูรมากทีเดียว! ยังมีเวลาอีกตั้งครึ่งเดือน พวกเจ้าก็พร้อมตั้งศัตรูกันแล้วหรือ”

“อาจารย์ตงฟัง มีข่าวลือว่าจะมีสัตว์อสูรระดับสูงปรากฏตัวในครั้งนี้ด้วยจริงหรือ” มีนักเรียนคนหนึ่งโพล่งถามด้วยความอยากรู้

ตงฟังชิงลูบเคลาของตัวเองไปมา”

“เทศกาลสัตว์อสูรคลุ้มคลั่งนี้มีสัตว์อสูรนับร้อยนับพันรวมตัวกันอยู่ที่เทือกเขาวั่นหลิง หากโชคดี พวกเจ้าก็จะได้เห็นสัตว์อสูรระดับสูงเป็นบุญตาแน่นอน”

เมื่อสิ้นเสียงของผู้เป็นอาจารย์ ดวงตาของนักเรียนหลายคนก็ลุกวาวและปกปิดความตื่นเต้นในแววตาไม่มิด

“หากนักเรียนคนใดสามารถล่าสัตว์อสูรสำเร็จ ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันจะช่วยเพิ่มพลังและประสิทธิภาพในการต่อสู้ของพวกเขาอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับปรมาจารย์อย่างพวกเรา ความแข็งแกร่งทางกายภาพค่อนข้างอ่อนแออยู่แล้ว และหากมีสัตว์อสูรมาอยู่เคียงข้าง ก็ไม่มีสิ่งที่ต้องกังวลอีกต่อไป”

แม้ฐานะของปรมาจารย์จะสูงกว่าผู้ฝึกยุทธ์ แต่ก็มีจุดอ่อนนั่นคือไม่เก่งในการต่อสู้ระยะประชิด

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการสร้างค่ายกลต้องใช้เวลาและสมาธิ

คราวนี้นี่เองถ้ามีสัตว์อสูรมาช่วยก็จะยิ่งเพิ่มพละกำลังมากขึ้นไปอีก

ดังนั้นเมื่อเทียบกับผู้ฝึกยุทธ์แล้ว ปรมาจารย์จะสนใจเรื่องสัตว์อสูรมากกว่า

“พวกเจ้าบางคนในที่นี้มีสัตว์อสูรในครอบครองอยู่แล้ว แต่ส่วนใหญ่ก็ยังไม่มี อย่างนั้นก็ดีเลย พวกเจ้าจะได้ใช้โอกาสนี้หาสัตว์อสูรที่เหมาะสม หากรู้สึกถูกชะตาก็ลองดูก็แล้วกัน”

“อาจารย์ตงฟัง ผู้ฝึกฝนหนึ่งคนสามารถครอบครองสัตว์อสูรได้เพียงตัวเดียวเท่านั้นหรือ”

“ถูกต้อง สัตว์อสูรมีนิสัยดุร้ายแต่ก็เย่อหยิ่งทระนง ไม่ยอมมีเจ้านายคนเดียวกันเด็ดขาด หากเจ้าล่าสัตว์อสูรตัวใหม่มาเจ้าก็จะต้องปล่อยหรือไม่ฆ่าสัตว์อสูรตัวเดิมให้ตายเสียก่อน แต่สัตว์อสูรที่เคยมีเจ้านายมาก่อน มันจะมีปราณของมนุษย์ติดตัวไปด้วย พอมันกลับคืนสู่ธรรมชาติ มันก็จะโดนสัตว์ชนิดเดียวกันรังเกียจ ดังนั้นในกรณีส่วนใหญ่ เมื่อมันถูกเจ้าของปล่อยทิ้ง สัตว์อสูรมีทางเดียวเท่านั้นคือต้องตาย”

ทุกคนต่างพยักหน้าด้วยความเข้าใจ

“แม้สัตว์อสูรจะดุร้าย แต่ดูเหมือนพวกมันก็มีความทะนงตัวเหมือนกัน…”

ตงฟังชิงถอนหายใจแล้วเอ่ยขึ้น

“ถูกต้อง เมื่อใดก็ตามที่พวกมันยอมรับในตัวเจ้าของแล้วก็จะจงรักภักดีตลอดไป พร้อมร่วมเป็นร่วมตายกับเจ้าของ ดังนั้นตอนที่พวกเจ้าไปล่าสัตว์อสูรจะต้องระวังแล้วระวังอีกและเลือกตัวที่ดีที่สุดสำหรับตัวเอง”

นักเรียนทุกคนต่างพากันตื่นเต้น

“ขอรับ!”

“เจ้าค่ะ!”

ฉู่หลิวเยว่ที่กำลังมองกระดานหมากรุกตรงหน้าถึงกับหยุดชะงักการเคลื่อนไหว

ร่วมเป็นร่วมตายกับผู้เป็นนาย…

ดังนั้น หลังจากที่นางตาย…

“เอาล่ะ ยังเหลือเวลาอีกสิบกว่าวัน พวกเจ้าก็ขยันฝึกฝนกันหน่อย เมื่อพลังเพิ่มขึ้นถึงจะสามารถล่าสัตว์อสูรระดับสูงได้ วันนี้อาจารย์จะสอบค่ายกลแหล่งน้ำ…”

เมื่อตงฟังชิงโบกมือตัวหมากรุกก็ลอยออกมาแล้ววางเรียงลงบนกระดานหมากด้วยแผนที่ค่ายกลผืนใหม่

ฉู่หลิวเยว่ก้มหน้าลงไปเหมือนเดิมและขจัดความคิดในใจของนาง

คาบเรียนครั้งนี้ ฉู่หลิวเยว่ค่อนข้างใจลอยและไม่ตั้งใจมากนัก

แม้ว่าดวงตาจะจ้องมองไปที่กระดานหมากรุก กลับมีภาพมากมายลอยวนเวียนอยู่ในหัวของนาง

ในอดีตชาติ นางเป็นถึงองค์หญิงฟ้าลิขิตอันสูงศักดิ์ แน่นอนว่านางก็มีสัตว์อสูรของตนเอง

แต่ตอนที่นางเกิดเรื่อง มันกำลังอยู่ในธรณีประตูแห่งการบรรลุ จึงเข้าสู่การหลับใหล

ในเวลานั้น นางถูกหักหลังและตกอยู่ในสถานการณ์ที่สิ้นหวัง ดังนั้นนางจึงทำได้เพียงเลือกที่จะจุดไฟเผาตัวเอง

แต่ก่อนที่นางจะกระทำสิ่งนั้น นางได้พามันไปอยู่ในที่ที่ปลอดภัยแล้ว

นางไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น…ตอนนี้คง…

แคว้นเย่าเฉินอยู่ห่างไกลจากราชวงศ์เทียนลิ่งมากโข และด้วยฐานะและความแข็งแกร่งในปัจจุบันของนาง อย่าว่าแต่ได้กลับไปเลย แม้กระทั่งคงจะเป็นเรื่องยากที่จะได้ข่าวคราวจากที่นั่น

เกรงว่า อาจทำได้แค่รอราชทูตคนนั้นที่ว่ามาก่อนถึงจะสืบเรื่องนี้ได้…

“เอ๋ ฉู่หลิวเยว่ เจ้ายังแก้ค่ายกลไม่ได้อีกหรือ”

หลังจากผ่านไปกว่าหนึ่งชั่วยาม ซือหยางสามารถแก้ค่ายกลได้และหันหน้ามาดูก็เห็นว่าฉู่หลิวเยว่ยังคงจ้องมองที่กระดานหมากรุกที่อยู่ข้างหน้าโดยไม่ขยับเขยื้อน

ก่อนหน้านี้หลายครั้งนางมักจะทำเสร็จทีหลังซือถิงได้ไม่นาน ตอนแรกทุกคนต่างพากันตกตะลึง แต่ตอนนี้เห็นจนชินสายตากันหมดแล้ว

คิดไม่ถึงว่าคราวนี้เขาจะคว้าอันดับสองมาได้แล้วนำหน้าฉู่หลิวเยว่

ฉู่หลิวเยว่ได้สติกลับมา

คราวนี้กู้หมิงจูก็สามารถแก้ค่ายกลได้เหมือนกัน ตัวหมากตกลงไปในโถหมากรุกเสียงดังกุกกัก

นางเหลือบมองฉู่หลิวเยว่แล้วหัวเราะเยาะเย้ย

“เชอะ! ระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน คนเราจะมีความสามารถจริงๆ หรือไม่ เดี๋ยวเวลาผ่านไปก็จะรู้เองนั่นแหละ!”

ฉู่หลิวเยว่ขี้เกียจสนใจกับนิสัยแย่ๆ ของนาง จากนั้นจึงก้มหน้าก้มตาเพื่อเริ่มเดินหมาก

เธอเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วและคล่องแคล่ว ราวกับว่าเธอแทบไม่ต้องใช้ความคิดมากมียเลย

ดังนั้นหลังจากที่เดินหมากไม่กี่ก้าวก็ได้ยินเสียงผ่านด่านค่ายกลดังขึ้น

จากนั้นนางไม่สนใจสายตารอบข้างที่มองมาด้วยความประหลาด แล้วลุกขึ้นทันที

“อาจารย์ตงฟัง ข้าเลิกเรียนได้หรือยัง”

“ได้สิ แน่นอนว่าได้! พรุ่งนี้วันหยุด เจ้าจะได้กลับบ้านเร็วๆ หน่อย”

ตงฟังชิงมองออกว่าฉู่หลิวเยว่มีบางอย่างผิดปกติ เขาจึงรีบอนุญาต

ฉู่หลิวเยว่เอ่ยขอบคุณอาจารย์ และกำลังจะก้าวเท้าออกไป

ทว่าเสียงอันเย็นชาของกู้หมิงจูกลับดังขึ้น

“มีอะไรน่าภูมิใจกัน”

ซือถิงมองฉู่หลิวเยว่แวบหนึ่ง แต่เขาก็เห็นเพียงเสื้อผ้าของนางที่โบกสะบัดไปตามลมเท่านั้น

นี่นาง…เป็นอะไรไปหรือ

ในความทรงจำของเขา ฉู่หลิวเยว่มักจะเป็นคนสุขมเงียบนิ่ง ราวกับว่าไม่มีสิ่งใดมาทำให้นางหวั่นไหวได้

สามารถตัดขาดกับตระกูลฉู่ได้อย่างไร้เยื่อใย และยืนได้ด้วยลำแข้งของตนเอง ฉู่หลิวเยว่จะต้องแข็งแกร่งกว่าที่เห็นจากรูปลักษณ์ภายนอกแน่นอน

เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นนางเสียอาการเช่นนี้

ซือถิงหันหน้ากลับมาและก้มหน้ามองบนกระดานหมากรุกที่จัดเรียงไว้แล้วขมวดคิ้วมุ่น

ถ้าจำไม่ผิด…เมื่อครู่นี้ดูเหมือนฉู่หลิวเยว่มองปราดเดียวก็สามารถเดินหมากได้ทันที ใช่หรือไม่!

สำนักเทียนลู่มีวันหยุดพักร้อนให้ทุกๆ ห้าวัน ฉู่หลิวเยว่จึงเก็บของลวกๆ แล้วกลับบ้านทันที

ฉู่หนิงยังไม่กลับมา ฉู่หลิวเยว่จึงกินข้าวเย็นคนเดียว จากนั้นก็เข้าห้องเพื่อพักผ่อน

ทันทีที่นางล้มตัวลงนอนลงบนเก้าอี้ไม้ก็มีเสียงแปลกๆ ดังมาจากด้านนอกหน้าต่าง

เมื่อฉู่หลิวเยว่พินิจมองก็เห็นขนสีขาวหัวโตๆ เปิดหน้าต่างและดันตัวเข้ามา ดวงตาสีฟ้าน้ำแข็งคู่หนึ่งก็มองมาทางนี้ตาละห้อย

เป็นเสวียเสวี่ยจริงๆ ด้วย

ฉู่หลิวเยว่มองมันแล้วหัวเราะเจื่อนๆ หน้าต่างนั้นบานไม่ใหญ่มาก เมื่อมันโผล่หัวเข้ามาจึงเข้ามาได้แค่ครึ่งเดียวเท่านั้น

“เสวียเสวี่ย เจ้ามาได้อย่างไร”

ฉู่หลิวเยว่พูดพลางเดินเข้าไปหามัน

เสวียเสวี่ยวางอุ้งเท้าบนมือนาง แล้วส่งสายตาน่าสงสารให้นาง

สวรรค์รู้ว่าช่วงนี้มันทำงานหนักอยู่ข้างนอก มันคิดถึงนางใจจะขาดอยู่แล้ว

“รีบเข้ามาสิ”

ฉู่หลิวเยว่ลูบหัวมันเบาๆ แล้วถอยหลังมาหนึ่งก้าว

เสวียเสวี่ยพยายามมุดเข้ามา ก่อนที่เสียงไม้ปริแตกจะดังขึ้นมาทันที

มันหยุดเคลื่อนไหวทันทีและแสดงสีหน้านิ่งค้าง

ฉู่หลิวเยว่หันไปมองก็เห็นว่าขอบหน้าต่างแตกหมดแล้ว

นางหางตากระตุก

“ติด…ติดคาหน้าต่างหรือ”