ซือหยางเหล่ตามองนาง
“ไม่ได้!”
เพราะนิสัยขี้โมโหร้ายของกู้หมิงจูจะทำให้รร่วมกลุ่มต้องลำบาก อีกอย่าง นางดูไม่ออกหรือว่าพี่ใหญ่ไม่ได้มีใจให้นางเลยสักนิด
เมื่อกู้หมิงจูถูกปฏิเสธตรงๆ ก็รู้สึกร้อนที่ใบหน้า
นางมองไปที่ซือถิงอย่างน่าสงสาร แต่กลับพบว่าซือถิงไม่แม้แต่ชายตามองมาที่นาง ทั้งยังเย็นชาราวกับว่าไม่สนใจเลยสักนิด
กู้หมิงจูรู้สึกอึดอัดมากขึ้นเรื่อยๆ ราวกับไฟสุมทรวงที่ทำให้นางรู้สึกแผดเผาทรมานไปทั้งร่าง
นางกัดริมฝีปากล่างเพื่อควบคุมไม่ให้ระเบิดอารมณ์ออกมา
แต่ทว่าความอิจฉาริษยาและความเกลียดชังต่อฉู่หลิวเยว่ที่อยู่ในใจกลับมีมากกว่า
ฉู่หลิวเยว่มีสิทธิ์อะไร พวกเขาถึงได้เอ่ยปากชวนนางก่อน แต่พอนางเป็นฝ่ายเสนอตัวเองบ้างกลับโดนปฏิเสธ
สิ่งที่นางเอ่ยขอแล้วไม่มีวันได้ แต่ฉู่หลิวเยว่กลับทิ้งมันไปอย่างไร้ค่า
นางไม่เชื่อว่าฉู่หลิวเยว่จะได้ดีเช่นนี้ไปตลอด
ในไม่ช้าตงฟังชิงก็มาถึง
การสนทนาภายในห้องเรียนเงียบสนิทในทันที
ตงฟังชิงหัวเราะในลำคอแล้วปรายตามองหน้าทุกคน
“ดูเหมือนพวกเจ้าจะตั้งหน้าตั้งตารอเทศกาลล่าสัตว์อสูรมากทีเดียว! ยังมีเวลาอีกตั้งครึ่งเดือน พวกเจ้าก็พร้อมตั้งศัตรูกันแล้วหรือ”
“อาจารย์ตงฟัง มีข่าวลือว่าจะมีสัตว์อสูรระดับสูงปรากฏตัวในครั้งนี้ด้วยจริงหรือ” มีนักเรียนคนหนึ่งโพล่งถามด้วยความอยากรู้
ตงฟังชิงลูบเคลาของตัวเองไปมา”
“เทศกาลสัตว์อสูรคลุ้มคลั่งนี้มีสัตว์อสูรนับร้อยนับพันรวมตัวกันอยู่ที่เทือกเขาวั่นหลิง หากโชคดี พวกเจ้าก็จะได้เห็นสัตว์อสูรระดับสูงเป็นบุญตาแน่นอน”
เมื่อสิ้นเสียงของผู้เป็นอาจารย์ ดวงตาของนักเรียนหลายคนก็ลุกวาวและปกปิดความตื่นเต้นในแววตาไม่มิด
“หากนักเรียนคนใดสามารถล่าสัตว์อสูรสำเร็จ ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันจะช่วยเพิ่มพลังและประสิทธิภาพในการต่อสู้ของพวกเขาอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับปรมาจารย์อย่างพวกเรา ความแข็งแกร่งทางกายภาพค่อนข้างอ่อนแออยู่แล้ว และหากมีสัตว์อสูรมาอยู่เคียงข้าง ก็ไม่มีสิ่งที่ต้องกังวลอีกต่อไป”
แม้ฐานะของปรมาจารย์จะสูงกว่าผู้ฝึกยุทธ์ แต่ก็มีจุดอ่อนนั่นคือไม่เก่งในการต่อสู้ระยะประชิด
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการสร้างค่ายกลต้องใช้เวลาและสมาธิ
คราวนี้นี่เองถ้ามีสัตว์อสูรมาช่วยก็จะยิ่งเพิ่มพละกำลังมากขึ้นไปอีก
ดังนั้นเมื่อเทียบกับผู้ฝึกยุทธ์แล้ว ปรมาจารย์จะสนใจเรื่องสัตว์อสูรมากกว่า
“พวกเจ้าบางคนในที่นี้มีสัตว์อสูรในครอบครองอยู่แล้ว แต่ส่วนใหญ่ก็ยังไม่มี อย่างนั้นก็ดีเลย พวกเจ้าจะได้ใช้โอกาสนี้หาสัตว์อสูรที่เหมาะสม หากรู้สึกถูกชะตาก็ลองดูก็แล้วกัน”
“อาจารย์ตงฟัง ผู้ฝึกฝนหนึ่งคนสามารถครอบครองสัตว์อสูรได้เพียงตัวเดียวเท่านั้นหรือ”
“ถูกต้อง สัตว์อสูรมีนิสัยดุร้ายแต่ก็เย่อหยิ่งทระนง ไม่ยอมมีเจ้านายคนเดียวกันเด็ดขาด หากเจ้าล่าสัตว์อสูรตัวใหม่มาเจ้าก็จะต้องปล่อยหรือไม่ฆ่าสัตว์อสูรตัวเดิมให้ตายเสียก่อน แต่สัตว์อสูรที่เคยมีเจ้านายมาก่อน มันจะมีปราณของมนุษย์ติดตัวไปด้วย พอมันกลับคืนสู่ธรรมชาติ มันก็จะโดนสัตว์ชนิดเดียวกันรังเกียจ ดังนั้นในกรณีส่วนใหญ่ เมื่อมันถูกเจ้าของปล่อยทิ้ง สัตว์อสูรมีทางเดียวเท่านั้นคือต้องตาย”
ทุกคนต่างพยักหน้าด้วยความเข้าใจ
“แม้สัตว์อสูรจะดุร้าย แต่ดูเหมือนพวกมันก็มีความทะนงตัวเหมือนกัน…”
ตงฟังชิงถอนหายใจแล้วเอ่ยขึ้น
“ถูกต้อง เมื่อใดก็ตามที่พวกมันยอมรับในตัวเจ้าของแล้วก็จะจงรักภักดีตลอดไป พร้อมร่วมเป็นร่วมตายกับเจ้าของ ดังนั้นตอนที่พวกเจ้าไปล่าสัตว์อสูรจะต้องระวังแล้วระวังอีกและเลือกตัวที่ดีที่สุดสำหรับตัวเอง”
นักเรียนทุกคนต่างพากันตื่นเต้น
“ขอรับ!”
“เจ้าค่ะ!”
ฉู่หลิวเยว่ที่กำลังมองกระดานหมากรุกตรงหน้าถึงกับหยุดชะงักการเคลื่อนไหว
ร่วมเป็นร่วมตายกับผู้เป็นนาย…
ดังนั้น หลังจากที่นางตาย…
“เอาล่ะ ยังเหลือเวลาอีกสิบกว่าวัน พวกเจ้าก็ขยันฝึกฝนกันหน่อย เมื่อพลังเพิ่มขึ้นถึงจะสามารถล่าสัตว์อสูรระดับสูงได้ วันนี้อาจารย์จะสอบค่ายกลแหล่งน้ำ…”
เมื่อตงฟังชิงโบกมือตัวหมากรุกก็ลอยออกมาแล้ววางเรียงลงบนกระดานหมากด้วยแผนที่ค่ายกลผืนใหม่
ฉู่หลิวเยว่ก้มหน้าลงไปเหมือนเดิมและขจัดความคิดในใจของนาง
…
คาบเรียนครั้งนี้ ฉู่หลิวเยว่ค่อนข้างใจลอยและไม่ตั้งใจมากนัก
แม้ว่าดวงตาจะจ้องมองไปที่กระดานหมากรุก กลับมีภาพมากมายลอยวนเวียนอยู่ในหัวของนาง
ในอดีตชาติ นางเป็นถึงองค์หญิงฟ้าลิขิตอันสูงศักดิ์ แน่นอนว่านางก็มีสัตว์อสูรของตนเอง
แต่ตอนที่นางเกิดเรื่อง มันกำลังอยู่ในธรณีประตูแห่งการบรรลุ จึงเข้าสู่การหลับใหล
ในเวลานั้น นางถูกหักหลังและตกอยู่ในสถานการณ์ที่สิ้นหวัง ดังนั้นนางจึงทำได้เพียงเลือกที่จะจุดไฟเผาตัวเอง
แต่ก่อนที่นางจะกระทำสิ่งนั้น นางได้พามันไปอยู่ในที่ที่ปลอดภัยแล้ว
นางไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น…ตอนนี้คง…
แคว้นเย่าเฉินอยู่ห่างไกลจากราชวงศ์เทียนลิ่งมากโข และด้วยฐานะและความแข็งแกร่งในปัจจุบันของนาง อย่าว่าแต่ได้กลับไปเลย แม้กระทั่งคงจะเป็นเรื่องยากที่จะได้ข่าวคราวจากที่นั่น
เกรงว่า อาจทำได้แค่รอราชทูตคนนั้นที่ว่ามาก่อนถึงจะสืบเรื่องนี้ได้…
“เอ๋ ฉู่หลิวเยว่ เจ้ายังแก้ค่ายกลไม่ได้อีกหรือ”
หลังจากผ่านไปกว่าหนึ่งชั่วยาม ซือหยางสามารถแก้ค่ายกลได้และหันหน้ามาดูก็เห็นว่าฉู่หลิวเยว่ยังคงจ้องมองที่กระดานหมากรุกที่อยู่ข้างหน้าโดยไม่ขยับเขยื้อน
ก่อนหน้านี้หลายครั้งนางมักจะทำเสร็จทีหลังซือถิงได้ไม่นาน ตอนแรกทุกคนต่างพากันตกตะลึง แต่ตอนนี้เห็นจนชินสายตากันหมดแล้ว
คิดไม่ถึงว่าคราวนี้เขาจะคว้าอันดับสองมาได้แล้วนำหน้าฉู่หลิวเยว่
ฉู่หลิวเยว่ได้สติกลับมา
คราวนี้กู้หมิงจูก็สามารถแก้ค่ายกลได้เหมือนกัน ตัวหมากตกลงไปในโถหมากรุกเสียงดังกุกกัก
นางเหลือบมองฉู่หลิวเยว่แล้วหัวเราะเยาะเย้ย
“เชอะ! ระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน คนเราจะมีความสามารถจริงๆ หรือไม่ เดี๋ยวเวลาผ่านไปก็จะรู้เองนั่นแหละ!”
ฉู่หลิวเยว่ขี้เกียจสนใจกับนิสัยแย่ๆ ของนาง จากนั้นจึงก้มหน้าก้มตาเพื่อเริ่มเดินหมาก
เธอเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วและคล่องแคล่ว ราวกับว่าเธอแทบไม่ต้องใช้ความคิดมากมียเลย
ดังนั้นหลังจากที่เดินหมากไม่กี่ก้าวก็ได้ยินเสียงผ่านด่านค่ายกลดังขึ้น
จากนั้นนางไม่สนใจสายตารอบข้างที่มองมาด้วยความประหลาด แล้วลุกขึ้นทันที
“อาจารย์ตงฟัง ข้าเลิกเรียนได้หรือยัง”
“ได้สิ แน่นอนว่าได้! พรุ่งนี้วันหยุด เจ้าจะได้กลับบ้านเร็วๆ หน่อย”
ตงฟังชิงมองออกว่าฉู่หลิวเยว่มีบางอย่างผิดปกติ เขาจึงรีบอนุญาต
ฉู่หลิวเยว่เอ่ยขอบคุณอาจารย์ และกำลังจะก้าวเท้าออกไป
ทว่าเสียงอันเย็นชาของกู้หมิงจูกลับดังขึ้น
“มีอะไรน่าภูมิใจกัน”
ซือถิงมองฉู่หลิวเยว่แวบหนึ่ง แต่เขาก็เห็นเพียงเสื้อผ้าของนางที่โบกสะบัดไปตามลมเท่านั้น
นี่นาง…เป็นอะไรไปหรือ
ในความทรงจำของเขา ฉู่หลิวเยว่มักจะเป็นคนสุขมเงียบนิ่ง ราวกับว่าไม่มีสิ่งใดมาทำให้นางหวั่นไหวได้
สามารถตัดขาดกับตระกูลฉู่ได้อย่างไร้เยื่อใย และยืนได้ด้วยลำแข้งของตนเอง ฉู่หลิวเยว่จะต้องแข็งแกร่งกว่าที่เห็นจากรูปลักษณ์ภายนอกแน่นอน
เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นนางเสียอาการเช่นนี้
ซือถิงหันหน้ากลับมาและก้มหน้ามองบนกระดานหมากรุกที่จัดเรียงไว้แล้วขมวดคิ้วมุ่น
ถ้าจำไม่ผิด…เมื่อครู่นี้ดูเหมือนฉู่หลิวเยว่มองปราดเดียวก็สามารถเดินหมากได้ทันที ใช่หรือไม่!
…
สำนักเทียนลู่มีวันหยุดพักร้อนให้ทุกๆ ห้าวัน ฉู่หลิวเยว่จึงเก็บของลวกๆ แล้วกลับบ้านทันที
ฉู่หนิงยังไม่กลับมา ฉู่หลิวเยว่จึงกินข้าวเย็นคนเดียว จากนั้นก็เข้าห้องเพื่อพักผ่อน
ทันทีที่นางล้มตัวลงนอนลงบนเก้าอี้ไม้ก็มีเสียงแปลกๆ ดังมาจากด้านนอกหน้าต่าง
เมื่อฉู่หลิวเยว่พินิจมองก็เห็นขนสีขาวหัวโตๆ เปิดหน้าต่างและดันตัวเข้ามา ดวงตาสีฟ้าน้ำแข็งคู่หนึ่งก็มองมาทางนี้ตาละห้อย
เป็นเสวียเสวี่ยจริงๆ ด้วย
ฉู่หลิวเยว่มองมันแล้วหัวเราะเจื่อนๆ หน้าต่างนั้นบานไม่ใหญ่มาก เมื่อมันโผล่หัวเข้ามาจึงเข้ามาได้แค่ครึ่งเดียวเท่านั้น
“เสวียเสวี่ย เจ้ามาได้อย่างไร”
ฉู่หลิวเยว่พูดพลางเดินเข้าไปหามัน
เสวียเสวี่ยวางอุ้งเท้าบนมือนาง แล้วส่งสายตาน่าสงสารให้นาง
สวรรค์รู้ว่าช่วงนี้มันทำงานหนักอยู่ข้างนอก มันคิดถึงนางใจจะขาดอยู่แล้ว
“รีบเข้ามาสิ”
ฉู่หลิวเยว่ลูบหัวมันเบาๆ แล้วถอยหลังมาหนึ่งก้าว
เสวียเสวี่ยพยายามมุดเข้ามา ก่อนที่เสียงไม้ปริแตกจะดังขึ้นมาทันที
มันหยุดเคลื่อนไหวทันทีและแสดงสีหน้านิ่งค้าง
ฉู่หลิวเยว่หันไปมองก็เห็นว่าขอบหน้าต่างแตกหมดแล้ว
นางหางตากระตุก
“ติด…ติดคาหน้าต่างหรือ”