ตอนที่ 86 เข้าใกล้

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

โจวเสาจิ่นกำลังเป็นกังวลถึงเรื่องที่ว่าไม่อาจหาโอกาสพูดคุยกับเฉิงฉือ เฉิงฉือก็โผล่มาหาฮูหยินผู้เฒ่ากัวที่เรือนหานปี้ซาน โจวเสาจิ่นจึงรู้สึกยินดีอยู่ในใจ

 

 

ไม่ใช่ว่าต่อไปนางอาจจะมีโอกาสได้พบกับท่านน้าฉือที่เรือนหานปี้ซานอีกหรอกหรือ

 

 

โจวเสาจิ่นลุกขึ้นยืนด้วยความเคยชิน เตรียมตัวจะกลับออกไป แต่นางเพิ่งจะลุกขึ้นมา ก็รู้สึกว่าไม่ค่อยเหมาะสมนัก หากทุกครั้งที่ท่านน้าฉือมาแล้วนางก็กลับออกไป เช่นนั้นจะได้คุยกับท่านน้าฉือได้อย่างไร แต่ถ้าไม่กลับออกไป ก็รู้ว่าไม่ค่อยสุภาพเท่าไหร่นัก

 

 

นางรู้สึกลังเลใจอยู่ชั่วขณะหนึ่ง

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกลับไม่ได้คิดอะไรมากขนาดนั้น นางรีบสั่งเฝ่ยชุ่ยว่า “รีบเชิญนายท่านสี่เข้ามา!”

 

 

เฝ่ยชุ่ยยิ้มพลางขานตอบ “เจ้าค่ะ” แล้วออกจากห้องรับแขกไป

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวถอนหายใจยาวครั้งหนึ่ง ตอนนี้ถึงได้สังเกตเห็นว่าโจวเสาจิ่นยังยืนอยู่ข้างๆ ตนเอง

 

 

เดิมทีนางคิดจะให้โจวเสาจิ่นกลับออกไปก่อน แต่เมื่อเห็นท่าทางไม่รู้จะทำอย่างไรดีของโจวเสาจิ่นแล้ว นางก็ตัดสินใจให้โจวเสาจิ่นรั้งอยู่ก่อน อย่างไรเสียก็เป็นเพียงเด็กสาวอายุสิบสองปีผู้หนึ่ง การได้พบกับผู้ใหญ่ที่จู่ๆ ก็เข้ามาเยี่ยมอย่างกะทันหัน และตนเองก็ไม่ได้บอกกล่าวให้ชัดเจน นางไม่รู้จะทำอย่างไรดีก็ถือเป็นเรื่องปกติ ส่วนเรื่องที่ว่าชายหญิงควรเว้นระยะห่างกันนั้น ทั้งสองคนไม่เพียงแตกต่างกันด้วยตำแหน่งลำดับชั้นภายในตระกูลเท่านั้น แต่ยังแตกต่างกันด้วยอายุด้วย อีกทั้งก็เป็นญาติกัน จึงไม่จำเป็นต้องระวังจนเกินเหตุขนาดนั้น

 

 

“นั่งลงมาคุยกันก่อนเถิด!” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเรียกโจวเสาจิ่น พลางกล่าวยิ้มๆ ว่า “คนที่มาก็ไม่ใช่ใครอื่น เป็นน้าฉือของเจ้า ผู้เป็นนายท่านสี่ของจวนหลัก”

 

 

โจวเสาจิ่นโล่งอกไปทีหนึ่ง หัวเราะน้อยๆ และนั่งลงมาอย่างเชื่อฟัง

 

 

หากฮูหยินผู้เฒ่ากัวให้นางกลับออกไปก่อน…นางก็ไม่รู้จริงๆ ว่าจะหาวิธีอะไรให้ตนเองสามารถรั้งอยู่ต่อดี

 

 

ไม่นานนัก เฝ่ยชุ่ยเลิกผ้าม่านขึ้น เฉิงฉือก็เดินเข้ามา

 

 

วันนี้เขาสวมชุดนักพรตเต้าเผาผ้าป่านเนื้อบางสีขาวพระจันทร์ตัวหนึ่ง ปักเอาไว้ด้วยปิ่นปักผมไม้ไผ่ รองเท้าผ้าฝ้ายสีกรมท่า บนมือห้อยเอาไว้ด้วยสร้อยลูกปัดไม้จันท์สีแดงเส้นหนึ่ง บนตัวมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ของน้ำหอม ‘ดังที่ได้ยินมา’ โชยเข้ามา ด้วยท่วงท่าที่แฝงเอาไว้ด้วยความสูงส่งและสง่างามอย่างเป็นธรรมชาติ

 

 

โจวเสาจิ่นลุกขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้

 

 

เฉิงฉือจึงหันไปยิ้มให้นาง พลางก้าวออกไปคารวะทำความเคารพฮูหยินผู้เฒ่ากัว

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวไม่รอให้เขาได้โค้งตัวก็ก้าวออกไปจับเฉิงฉือเอาไว้ กล่าวเสียงอ่อนโยนว่า “ช่วงนี้อากาศยิ่งร้อนขึ้นมาก เจ้าได้ทานและหลับสบายดีหรือไม่”

 

 

เฉิงฉือเองก็ไม่ได้ฝืนเอาไว้ ใช้โอกาสนี้ยืนขึ้นมา กล่าวยิ้มๆ ว่า “ข้าทางโน้นมีต้นไม้เขียวครึ้มหนาแน่น อีกทั้งยังใกล้กับทะเลสาบชิงซี จึงร่มรื่นเย็นสบายยิ่งนัก เป็นท่านแม่ต่างหาก ตอนเช้าและตอนเย็นควรจะไปเดินเล่นข้างๆ สระบัวให้มาก หนึ่งก็เพื่อให้ได้คลายร้อน และสองยังช่วยให้ร่างกายแข็งแรงอีกด้วย” ขณะที่เขาพูด ก็ครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วกล่าวอีกว่า “หรือไม่ ท่านไปพักอยู่ที่สวนเจ่าหยวนสักสองสามวันดีหรือไม่ ที่นั่นแวดล้อมไปด้วยทะเลสาบและภูเขา มีทิวทัศน์ที่งดงามยิ่งกว่า”

 

 

“ไม่ต้องหรอก” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวหัวเราะร่า นั่งลงข้างๆ โต๊ะกลมกับเฉิงฉือเคียงคู่กันซ้ายและขวา “ออกไปข้างนอกครั้งหนึ่งก็ยุ่งยากยิ่งนัก ข้าอยู่ที่นี่จนเคยชินแล้ว อยากได้อะไรไม่ว่าอยู่มุมไหนก็สามารถหาจนพบ แต่ถ้าไปถึงที่นั่นกลับไม่ค่อยชอบใจนัก ข้าอยู่ที่เรือนหานปี้ซานยังจะดีเสียกว่า อย่างไรก็ตาม อย่างเช่นที่เจ้าว่ามา ช่วงเช้าและเย็นควรจะไปเดินเล่นข้างๆ สระบัวสักหน่อยก็ดีเหมือนกัน”

 

 

สาวใช้ยกน้ำชาและของว่างเข้ามา

 

 

โจวเสาจิ่นรีบช่วยนำของว่างมาขึ้นโต๊ะอย่างรู้ความ

 

 

เฉิงฉือจึงยิ้มพลางมองไปที่นางครั้งหนึ่ง

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเห็นแล้ว ถึงนึกขึ้นมาได้ กล่าวยิ้มๆ ว่า “ข้าแก่แล้ว ยิ่งอยู่ความจำก็ยิ่งไม่ดี นี่คือคุณหนูรองตระกูลโจวจากจวนสี่ ข้าขอให้มาช่วยคัดพระธรรมให้ข้า”

 

 

โจวเสาจิ่นทำเสมือนกับไม่รู้จักเขาอย่างไรอย่างนั้น ย่อเข่าลงทำความเคารพครั้งหนึ่ง

 

 

เฉิงฉือพยักหน้ายิ้มๆ พลางกล่าว “ในเมื่อมาเป็นแขก ข้ากับท่านแม่จะสนทนากันอยู่ที่นี่ เจ้าจึงไม่จำเป็นต้องอยู่คอยรับใช้”

 

 

อา!

 

 

ราวกับมีสายฟ้าฟาดในวันอากาศแจ่มใส

 

 

โจวเสาจิ่นอ้าปากค้างพูดอะไรไม่ออก

 

 

เดิมทีนางคิดว่าอุปสรรคที่จะกีดขวางไม่ให้นางได้พูดคุยกับเฉิงฉือจะมาจากฮูหยินผู้เฒ่ากัวหรือไม่ก็จากขนบธรรมเนียมปฏิบัติ ทว่ากลับคิดไม่ถึงว่าจะเป็นเฉิงฉือที่ขับไล่นาง

 

 

เช่นนั้นนางจะได้คุยกับเฉิงฉือได้อย่างไร

 

 

โจวเสาจิ่นไร้ปฏิกิริยาตอบสนองไปชั่วขณะ

 

 

เฉิงฉือเห็นนางนิ่งไปอย่างโง่งม ราวกับลูกสุนัขที่ถูกทอดทิ้งขณะที่ดวงตาสีดำเบิกกว้างนั้นรื้นขึ้นด้วยน้ำตาอย่างนั้นแล้ว ก็อดไม่ได้ที่มุมปากจะยกยิ้มขึ้นมา

 

 

ในครั้งแรกเพื่อให้ความช่วยเหลือนาง เขาถึงได้ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ให้นางแสร้งทำเป็นสาวใช้รินน้ำชาให้ตน ครั้งที่สองเป็นเพราะเห็นนางราวกับลูกหนูที่กำลังหลบหนีอย่างลุกลี้ลุกลนด้วยความหวาดกลัว ถึงได้แกล้งสั่งให้นางรินน้ำชาให้ตนเหมือนกับตอนที่พบหน้ากันในครั้งแรก…คิดไม่ถึงว่าเด็กคนนี้จะถือเอามาเป็นจริงเป็นจัง พอได้พบตนเองก็ทำตัวเป็นสาวใช้อย่างเอาจริงเอาจังเช่นนี้

 

 

เขายิ้มขณะที่น้ำเสียงก็เปลี่ยนเป็นอ่อนโยนยิ่งขึ้น “ไปเถิด! ในนี้มีสาวใช้ดูแลอยู่ก็พอแล้ว เจ้ารีบไปคัดพระธรรมเถิด!”

 

 

ใบหน้าของโจวเสาจิ่นพลันแดงก่ำ

 

 

ในเมื่อถูกผู้อื่นขับไล่เช่นนี้แล้ว…นางไหนเลยจะมีหน้าอยู่ที่นี่ต่อไปได้!

 

 

โจวเสาจิ่นรีบคารวะทำความเคารพอย่างรีบร้อน และออกจากห้องรับแขกของฮูหยินผู้เฒ่ากัวไป แต่ดวงตากลับรื้นชื้นขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้

 

 

อย่างที่เฉิงเจียมักจะกล่าวอยู่เสมอว่า ช่างน่าขายหน้าเสียจริงๆ!

 

 

ตอนแรกเฝ่ยชุ่ยยังไม่ได้สังเกตเห็น พอเห็นนางออกมา ก็รีบเข้ามากระซิบถามนางว่า “ฮูหยินผู้เฒ่ากับนายท่านสี่กำลังทำอะไรอยู่หรือ ต้องการให้พวกข้าเข้าไปเติมน้ำชาและของว่างหรือไม่ หรือมีคำสั่งอื่นหรือไม่เจ้าคะ”

 

 

“ไม่มี” โจวเสาจิ่นกระพริบตา พยายามปรับสายตาการมองเห็นให้กลับมาชัดเจนดังเดิม “ฮูหยินผู้เฒ่ากับนายท่านสี่มีเรื่องต้องสนทนากัน…ข้าถึงได้ออกมา!”

 

 

“เช่นนั้นก็ดีเจ้าค่ะ” เฝ่ยชุ่ยยิ้ม แต่ก็อดสงสัยอยู่ในใจไม่ได้

 

 

ดวงตาของคุณหนูรองรื้นชื้น ราวกับจะร้องไห้อย่างไรอย่างนั้น อาจจะถูกฮูหยินผู้เฒ่ากัวหรือไม่ก็นายท่านสี่ตำหนิมาก็เป็นได้

 

 

นางไม่ได้ใกล้ชิดกับโจวเสาจิ่นมากเหมือนปี้อวี้ จึงแสร้งทำเหมือนกับว่ามองไม่เห็น และยืนอยู่ด้านนอกผ้าม่านคอยเงี่ยหูฟังความเคลื่อนไหวของด้านในห้องอย่างตั้งใจต่อไป

 

 

โจวเสาจิ่นไปที่ห้องพระ

 

 

ซือเซียงกำลังฝนหมึก ส่วนเสี่ยวถานกำลังจุดธูปหอม

 

 

โจวเสาจิ่นคัดได้หนึ่งหน้ากระดาษ อารมณ์ถึงได้ค่อยๆ สงบลงมา

 

 

การกระทำของท่านน้าฉือเมื่อสักครู่นี้ถือว่าธรรมดาสามัญยิ่งนัก เพียงแต่ว่าตนเองนั้นไม่เคยต้องก้มหัวขอร้องผู้ใดมาก่อน เมื่อถูกปฏิเสธอย่างกะทันหัน จึงค่อนข้างจะรับไม่ค่อยได้…หากว่าเป็นยามปกติ ตอนที่ทุกอย่างราบรื่น นี่ก็คงไม่ถือว่าเป็นอะไร อย่างมากนับจากนี้ก็แค่ไม่ต้องไปสนใจท่านน้าฉืออีกก็ได้แล้ว แต่อีกสิบปีต่อจากนี้ ตระกูลเฉิงอาจจะถูกกำจัดทั้งตระกูล ตอนที่ตนเองกลับมาเกิดใหม่นั้นก็เคยสาบานเอาไว้แล้วว่า จะต้องเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตของชาติก่อนให้ได้ เช่นนั้นจึงไม่อาจเป็นเหมือนเมื่อก่อนอีก ที่ความทุกข์เพียงเล็กน้อยก็รับไม่ได้เสียแล้ว คิดถึงพี่สาว คนที่โดดเด่นเช่นนั้น ตอนที่แต่งเข้าไปที่ตระกูลเลี่ยวใหม่ๆ ก็ค่อนข้างไม่ราบรื่นเท่าไหร่นัก แต่ต่อมา พี่เขยก็ค่อยๆ เข้าใจว่าพี่สาวเป็นคนเช่นไร จึงเคารพและให้เกียรติพี่สาวเป็นอย่างยิ่ง พี่สาวจึงได้รับการยอมรับจากคนตระกูลเลี่ยว และสามารถเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลเลี่ยวได้ในที่สุด ตนเองก็ควรจะเรียนรู้จากพี่สาวถึงจะถูก ยามเมื่อพานพบกับปัญหาจึงไม่อาจจะคิดถึงแต่ความรู้สึกของตัวเอง ยังต้องคิดด้วยว่าแท้จริงแล้วตนเองต้องการอะไรกันแน่

 

 

ในหนังสือก็กล่าวเอาไว้ไม่ใช่หรือว่า สวรรค์จะยอมประทานภาระอันยิ่งใหญ่ให้ผู้ใด ก็ต้องทดสอบความแข็งแรงและความเด็ดเดี่ยวของผู้นั้นก่อน…ตนก็คิดเสียว่าสวรรค์ต้องการจะทดสอบตนเอง ไม่เช่นนั้นจะให้ตนกลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้งเพื่ออะไร

 

 

เมื่อคิดเช่นนี้แล้ว อารมณ์ของโจวเสาจิ่นก็ดีขึ้นมา และรู้สึกว่าอนาคตคงจะไม่มืดมนอย่างที่ตนเองคิดก็เป็นได้

 

 

นางตะโกนเรียกเสี่ยวถาน กระซิบกล่าวกับนางว่า “เจ้าช่วยข้าไปดูสักหน่อยว่าท่านน้าฉือไปแล้วหรือยัง และเขามาหาฮูหยินผู้เฒ่าทำอะไรบ้าง”

 

 

เสี่ยวถานตะลึงงัน ละล้าละลัง ด้วยท่าทางที่ไม่กล้าไปสืบความให้

 

 

โจวเสาจิ่นอดถอนหายใจไม่ได้

 

 

เนื่องจากเป็นคนของเรือนหานปี้ซาน การที่ให้นางไปทำเรื่องพวกนี้จึงค่อนข้างเป็นการสร้างความลำบากใจให้กับนาง แต่นอกจากเสี่ยวถานแล้ว การให้ผู้อื่นไปสืบความยิ่งไม่เหมาะสมเข้าไปใหญ่

 

 

นางยิ้มพลางกล่าว “ข้าเพียงแต่อยากรู้เท่านั้น และก็ไม่จำเป็นต้องไปสอบถามละเอียดอะไรมากมาย เจ้าเพียงไปถามดูสักหน่อยก็พอ เดิมทีข้าคิดว่าจะมาคัดพระธรรมที่เรือนหานปี้ซานอย่างมากที่สุดก็ประมาณสามถึงสี่เดือนก็น่าจะได้แล้ว แต่ฮูหยินผู้เฒ่ากล่าวว่า ต้องการนำพระธรรมนี้ไปถวายถึงที่วัดผู่เสียน และยังอาจจะพาข้าติดตามไปด้วย ข้าจึงอยากจะคัดพระธรรม ‘อมิตาพุทธสูตร’ ให้ตัวเองสักบทหนึ่งไปถวายแด่องค์พระโพธิสัตว์ด้วย จึงอยากจะพูดเรื่องนี้กับฮูหยินผู้เฒ่าสักหน่อย หากข้าทราบเรื่องของเรือนหลัก ข้าก็จะได้รอจังหวะดีๆ ก่อนแล้วค่อยไปคุยกับฮูหยินผู้เฒ่า”

 

 

โจวเสาจิ่นเข้ามาที่เรือนหานปี้ซานก็ด้วยเรื่องคัดลอกพระธรรมให้กับฮูหยินผู้เฒ่ากัว

 

 

นอกจากนี้การที่คนๆ หนึ่งมาถึงสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยตัวคนเดียว ก็มักจะชอบสอบถามเรื่องต่างๆ รอบตัวให้ชัดเจน ซึ่งไม่จำเป็นว่าต้องการจะเอาไปซุบซิบนินทาอะไร ส่วนมากเป็นการทำให้คนรู้สึกวางใจลงได้ก็เท่านั้น

 

 

เมื่อเสี่ยวถานเข้าใจความหมายของโจวเสาจิ่นแล้ว ก็ขานรับด้วยรอยยิ้มตาหยี แล้วเดินไปที่เรือนหลัก

 

 

ซือเซียงกล่าวขึ้นอย่างแปลกใจว่า “คุณหนู เนื่องจากเป็นของที่ท่านต้องการใช้เอง ท่านสามารถกลับไปแล้วค่อยคัดก็ได้นี่เจ้าคะ! พอถึงฤดูใบไม้ร่วง อากาศก็เริ่มเย็นลงแล้ว การไปๆ กลับๆ เช่นนี้ทุกวัน อากาศหนาวเย็นยิ่งนักเจ้าค่ะ”

 

 

โจวเสาจิ่นยิ้มพลางกล่าว “เพราะเป็นพระธรรมที่จะถวายแด่องค์พระโพธิสัตว์ รูปลักษณ์ก็เป็นเรื่องที่สำคัญยิ่ง กระดาษที่เรือนหานปี้ซานใช้นี้เป็นกระดาษที่มีลายเส้นจำเพาะ ข้าเคยสอบถามดูแล้ว กระดาษชนิดนี้เป็นของเมื่อสิบปีก่อน ทุกวันนี้ไม่สามารถหากระดาษที่มีลายเส้นแบบเดียวกันนี้ได้อีกแล้ว หากฮูหยินผู้เฒ่ากัวอนุญาตให้ข้าใช้กระดาษชนิดนี้คัดพระธรรมสักบทก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีไม่ใช่หรือ ถึงเวลานั้นข้าค่อยนำกระดาษอื่นมาคืนให้กับฮูหยินผู้เฒ่ากัวสักเล็กน้อยก็ได้แล้ว”

 

 

ซือเซียงรู้สึกว่าคำพูดของโจวเสาจิ่นไม่ค่อยน่าเชื่อถือสักเท่าไหร่ แต่นางเห็นท่าทางทำนองว่าข้าได้ตัดสินใจแล้วของโจวเสาจิ่น นางจึงทำได้เพียงกลืนคำที่จะเกลี้ยกล่อมนั้นลงไป

 

 

เวลาผ่านไปประมาณสองก้านธูป เสี่ยวถานก็กลับมารายงานว่า “ฮูหยินผู้เฒ่าเรียกนายท่านสี่มาหา เพราะต้องการสอบถามถึงเรื่องการสมรสหลังความตายของตระกูลกู้ คิดไม่ถึงว่าคุณหนูเองก็ทราบเรื่อง ดังนั้นฮูหยินผู้เฒ่ากับนายท่านสี่ก็เลยสนทนากันครู่หนึ่ง จากนั้นก็เล่นหมากรุกกับนายท่านสี่ จนถึงตอนนี้ก็ยังเล่นหมากรุกไม่เสร็จเลยเจ้าค่ะ! ฮูหยินผู้เฒ่าจึงรั้งให้นายท่านสี่อยู่รับมื้อเที่ยงด้วยเจ้าค่ะ”

 

 

เล่นหมากรุกอีกแล้ว…

 

 

โจวเสาจิ่นก็เลยไม่รู้สึกว่าเป็นเรื่องแปลกอีก

 

 

บางทีการใช้เวลาร่วมกันระหว่างมารดาและบุตรชายของผู้อื่น อาจจะเป็นการเล่นหมากรุกด้วยกันก็เป็นไปได้

 

 

ก็เหมือนกับท่านยายและท่านลุงใหญ่เหมี่ยน ทุกครั้งที่พบหน้ากันก็มักจะเป็นการพูดคุยกันถึงเรื่องต่างๆ ภายในจวนอยู่เสมอๆ…

 

 

นางยิ้มพลางกล่าวขอบคุณเสี่ยวถาน จากนั้นก็คัดพระธรรมด้วยความสบายใจ

 

 

ซือเซียงกับเสี่ยวถานที่นั่งอยู่บริเวณประตูห้องพระซึ่งใกล้กับลำแสงแดดของด้านนอกนั้นก็เริ่มที่จะคัดแยกเส้นด้ายกัน

 

 

เนื่องจากพอกลับไปถึงในช่วงเย็น โจวเสาจิ่นยังต้องทำงานเย็บปักต่ออีกครู่หนึ่ง

 

 

เมื่อเห็นดวงอาทิตย์เริ่มจะคล้อยต่ำลงตรงหุบเขา ก้อนเมฆทางด้านตะวันตกเริ่มถูกแผดเผา หากเป็นวันก่อนหน้านี้ ตอนนี้พวกนางคงจะกำลังอยู่ระหว่างเดินทางกลับจวนแล้ว แต่วันนี้ โจวเสาจิ่นยังไม่หยุดพู่กันในมือ

 

 

ดวงตาของซือเซียงค่อนข้างจะเหนื่อยล้าแล้วเล็กน้อย ทำได้เพียงค่อยๆ เก็บเส้นด้ายต่างๆ ให้เสร็จเรียบร้อยก่อนอย่างเบามือเบาเท้า

 

 

เฝ่ยชุ่ยเข้ามาแจ้งว่า “ฮูหยินผู้เฒ่าบอกว่า ให้คุณหนูรองอยู่รับมื้อเย็นแล้วกลับออกไปเจ้าค่ะ”

 

 

ถ้าเป็นเมื่อก่อน โจวเสาจิ่นมักจะรู้สึกว่าไม่ค่อยสะดวกใจเท่าไหร่นัก และจะกลับไปทานมื้อเย็นที่จวนสี่

 

 

ซือเซียงกำลังจะช่วยโจวเสาจิ่นปฏิเสธไปอย่างสุภาพ แต่ใครจะรู้ว่าโจวเสาจิ่นกลับกล่าวยิ้มๆ ขึ้นว่า “ได้สิ” และถามเฝ่ยชุ่ยว่า “ไม่ทราบว่าการทานมื้อเย็นของที่นี่มีอะไรที่ต้องระวังเป็นพิเศษหรือไม่”

 

 

เห็นได้ชัดว่าเฝ่ยชุ่ยเองก็คิดไม่ถึงว่าโจวเสาจิ่นจะตอบรับคำเชิญ เงียบงันไปครู่หนึ่งกว่าจะกล่าวขึ้มาอย่างยิ้มๆ ว่า “ก็ไม่มีอะไรมากเป็นพิเศษ เพียงแต่ว่าฮูหยินผู้เฒ่าไม่ทานเนื้อ ส่วนนายท่านสี่ไม่ทานปลาเท่านั้นเจ้าค่ะ”

 

 

คนหนึ่งไม่ทานเนื้อ ส่วนอีกคนหนึ่งไม่ทานปลา…นี่ยังไม่นับว่าเป็นเรื่องพิเศษอีกหรือ

 

 

โจวเสาจิ่นเปล่งเสียง “เฮ้อ” ออกมาคำหนึ่ง จากนั้นขอให้เฝ่ยชุ่ยส่งคนไปแจ้งจวนสี่ให้ทราบสักหน่อย จะได้หลีกเลี่ยงไม่ให้ทางโน้นต้องรอตนเองทานมื้อเย็นด้วย

 

 

เฝ่ยชุ่ยยิ้มพลางเดินออกจากห้องพระไป

 

 

ซือเซียงกล่าวเสียงเบาว่า “พวกเราอยู่รับมื้อเย็นที่เรือนหานปี้ซานเช่นนี้ จะดีหรือเจ้าคะ”

 

 

เมื่อก่อนเป็นโจวเสาจิ่นเองที่บอกว่าไม่ค่อยดีนัก

 

 

“หากเป็นการอยู่รับมื้อเย็นด้วยบ่อยๆ ก็ไม่ดี” โจวเสาจิ่นกล่าวขึ้นอย่างสำรวม “แต่นานๆ อยู่สักครั้งหนึ่งไม่ถือว่าเป็นอะไร” ยังกล่าวอีกว่า “การปฏิเสธฮูหยินผู้เฒ่าบ่อยๆ ก็ไม่ดีเหมือนกัน”

 

 

ซือเซียงคิดตามแล้วก็เห็นว่ามีเหตุผล

 

 

หลังจากที่ช่วยโจวเสาจิ่นเก็บพู่กันและหมึกต่างๆ แล้ว ก็ปรนนิบัติช่วยนางล้างมือและทำความสะอาดใบหน้า จัดระเบียบทรงผมและเสื้อผ้าอย่างง่ายๆ จากนั้นติดตามนางไปที่เรือนหลัก

 

 

…………………………………………………….