ตอนที่ 100 บะหมี่สุดโรแมนติก

เดิมพันเสน่หา

หนานกงเยี่ยคลายยิ้มบางๆ “ผมอยากช่วยคุณ” 

 

 

ผู้ชายคนนี้ยิ่งอยู่ก็ยิ่งบ้า เธอจนปัญญากับเขาจริงๆ เหลิ่งรั่วปิงชำเลืองตามองเขาครู่หนึ่งแล้วไม่สนใจเขาอีก เธอหยิบหม้อออกมาจากตู้ แล้วเริ่มต้มน้ำซุปไก่ จากนั้นเตรียมเส้นบะหมี่กับผักต่างๆ อาหารที่เธอจะทำก็คือบะหมี่ซุปไก่ 

 

 

หนานกงเยี่ยไม่เคยเห็นวิธีทำอาหารแบบนี้มาก่อน เขามองหม้อด้วยความสงสัย “นี่คืออะไรครับ” 

 

 

“นี่เป็นวิถีการกินแบบชาวบ้านทั่วไปค่ะ บะหมี่ซุปไก่ คุณเป็นคนอยากจะกินอาหารฝีมือฉันเอง ฉันเป็นประชาชนชนชั้นล่าง ทำเป็นแค่อาหารธรรมดาทั่วไป คนรวยอย่างคุณถ้ากินไม่เป็นอย่ามาโทษฉันนะคะ” 

 

 

หนานกงเยี่ยยิ้มแล้วสวมกอดเธอจากด้านหลัง ริมฝีปากบางพูดกระซิบอยู่ข้างหูเธอ “อาหารที่คุณทำ ผมชอบกินทุกอย่าง” 

 

 

เหลิ่งรั่วปิงเบะปาก แล้วหั่นผักต่อ ทว่าหนานกงเยี่ยไม่มีอะไรให้ทำจริงๆ อีกทั้งเวลานี้กำลังกอดคนสวยๆ อย่างเธอด้วย กลิ่นหอมอ่อนๆ จากตัวเหลิ่งรั่วปิงลอยเตะจมูกเขา ทำให้โสตประสาทในร่างกายของหนานกงเยี่ยไม่สามารถต้านทาน ด้วยเหตุนี้เขาจึงบังคับตนเองไม่ได้ที่จะขยับไปใกล้เธอ หนานกงเยี่ยประทับจูบลงบนแก้ม ใบหูและซอกคอของเธอ 

 

 

ลมหายใจร้อนๆ รดอยู่ตรงใบหน้า เหลิ่งรั่วปิงรู้สึกจั๊กจี้ เธอหันหน้าไปหาเขาด้วยความโมโห “คุณอยากให้ฉันหั่นโดนมือตนเองหรือไงคะ?” 

 

 

หนานกงเยี่ยชำเลืองมองใบหน้าหงุดหงิดของเธอ เขาคลายยิ้ม “ครับๆ ไม่หอมแล้ว คุณอย่าโกรธนะ หื้ม?” 

 

 

เหลิ่งรั่วปิงเบ้ปาก พูดออกคำสั่ง “หยิบเนื้อแกะสไลด์มาให้หน่อยค่ะ” 

 

 

หนานกงเยี่ยหยิบเนื้อแกะสไลด์ออกมาอย่างว่าง่าย เขาที่เพิ่งวางลง เหลิ่งรั่วปิงสั่งให้เขาหยิบอาหารอย่างอื่นให้อีกครั้ง “ไปหยิบเนื้อสไลด์มาให้หน่อยค่ะ” 

 

 

หนานกงเยี่ยเข้าใจแผนการของเธอแล้ว เธอกลัวว่าเขาจะแกล้งเธออีก ก็เลยหาอะไรให้เขาทำไม่หยุด ทั้งๆ ที่เนื้อแกะสไลด์และเนื้อสไลด์สามารถหยิบมาพร้อมกัน แต่เธอกลับแบ่งพูดเป็นสองครั้ง จู่ๆ เขาก็รู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้น่ารักมาก หนานกงเยี่ยยิ้มแล้วเดินไปหยิบเนื้อสไลด์ 

 

 

“ช่วยหยิบถ้วยมาให้หนึ่งใบค่ะ” 

 

 

“ช่วยหยิบจานมาให้หนึ่งใบค่ะ” 

 

 

“ช่วยหยิบตะเกียบมาให้หน่อยค่ะ” 

 

 

… 

 

 

เป็นเช่นนี้ เหลิ่งรั่วปิงเอาแต่พูดออกคำสั่งไม่หยุด ทางด้านหนานกงเยี่ยก็ทำตามอย่างว่าง่าย ใช้เวลาไม่นาน เค้าท์เตอร์ตรงหน้ามีของวางเรียงรายเอาไว้มากมาย ทั้งๆ ที่ส่วนมากเธอไม่ได้ใช้มันเลยด้วยซ้ำ ถ้ายังหยิบอะไรมาวางอีกเกรงว่าจะไม่พอวางแล้ว 

 

 

หนานกงเยี่ยคลายยิ้ม ก้มหน้าลงมองเธอ เขาถามด้วยความตลก “ยังมีอะไรให้หยิบอีกไหมครับ” 

 

 

เหลิ่งรั่วปิงคิดไม่ออกว่าจะให้เขาหยิบอะไรอีก เธอชำเลืองมองเขา หนานกงเยี่ยไม่หลบสายตาของเธอ เขามองหน้าเธอแล้วยิ้มตอบ แววตาของเขากำลังบอกกับเธอว่าเขามองออกทุกอย่างตั้งแต่แรกแล้ว 

 

 

“ฮ่าๆๆ…” หลังจากมองตากันครู่หนึ่ง ทั้งสองหัวเราะออกมาพร้อมกัน ภายในห้องครัวดูอบอุ่นขึ้นมาทันที 

 

 

เวลานี้ ซุปไก่ตุ๋นได้พอประมาณแล้ว เหลิ่งรั่วปิงเอาเส้นบะหมี่ เนื้อสไลด์และผักลงไปต้ม ใช้เวลาไม่นาน บะหมี่ซุปไก่ก็ทำเสร็จ 

 

 

ตั้งแต่เหลิ่งรั่วปิงออกไปกับลั่วเฮิ่ง หนานกงเยี่ยหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก เขาไม่ยอมกินอะไรเลย ทำให้เวลานี้ตอนได้กลิ่นหอมของบะหมี่ เขารู้สึกหิวขึ้นมาทันที บะหมี่ตั้งบนโต๊ะ เขาก็รีบไปนั่งอย่างไม่รอช้า “ร้อนขนาดนี้ จะกินยังไงครับ” 

 

 

เหลิ่งรั่วปิงกรอกตามองบนให้กับคุณชายที่ใช้ชีวิตสุขสบายตั้งแต่เด็ก เธอเดินไปหยิบถ้วยมาสองใบ ตักให้เขาและตนเอง ตอนที่เธอออกไปกับลั่วเฮิ่ง เธอเองก็ไม่ได้กินอะไรเท่าไหร่ เวลานี้เริ่มรู้สึกหิวแล้ว 

 

 

หนานกงเยี่ยรับถ้วยมาจากเหลิ่งรั่วปิง เขาก้มหน้าลงแล้วเริ่มกิน เอาแต่ชมไม่หยุดปาก “อื้ม รสชาติไม่เลวเลยนะ” 

 

 

เหลิ่งรั่วปิงยิ้มบางๆ ไม่ได้พูดอะไร เธอเติมน้ำส้มสายชูและพริกป่นในถ้วยของตนเองเล็กน้อย หนานกงเยี่ยมองดูด้วยความสงสัย “คุณปรุงอะไรลงไป แบบนี้จะอร่อยหรอ” 

 

 

“คุณลองชิมดูก็ได้คำตอบแล้วค่ะ” 

 

 

“ครับ”หนานกงเยี่ยเติมน้ำส้มสายชูและพริกป่นตามเหลิ่งรั่วปิง เขากินเข้าปากหนึ่งอม “ผมรู้สึกว่าไม่ต้องปรุงเพิ่มอร่อยกว่า พอปรุงของพวกนี้ลงไป ทั้งเปรี้ยวทั้งเผ็ดอร่อยตรงไหน เปลี่ยนถ้วยใหม่ให้ผม!” 

 

 

หนานกเงเยี่ยทำตัวเหมือนคุณชาย เขาเลื่อนถ้วยที่ใส่น้ำส้มสายชูและพริกป่นมาตรงหน้าเหลิ่งรั่วปิง บอกให้เธอเปลี่ยนถ้วยใหม่ให้เขา เหลิ่งรั่วปิงไม่มีแรงมาคิดเล็กคิดน้อยกับเขาแล้ว เธอแค่อยากจะกินบะหมี่ในถ้วยเท่านั้น ด้วยเหตุนี้เธอจึงลุกขึ้นไปหยิบถ้วยแล้วตักให้เขาใหม่ 

 

 

ครั้งนี้ หนานกงเยี่ยไม่เรื่องมากอีกแล้ว เขากินบะหมี่ในถ้วยเงียบๆ จากนั้นตักเพิ่มอีกถ้วยด้วยตนเอง เขากินจนเหงื่อแตก จนสุดท้ายเขาก็หยิบกระดาษทิชชู่มาเช็ดปากด้วยความพอใจ “เหลิ่งรั่วปิง ฝีมือคุณไม่เลวเลย” 

 

 

เหลิ่งรั่วปิงวางถ้วยในมือลง หยิบกระดาษทิชชู่มาเช็ดปาก “ได้รับการยอมรับจากคุณหนานกง ถือเป็นโชคดีของฉัน” 

 

 

หนานกงเยี่ยคลายยิ้มอ่อนโยน ส่วนมากเธอมักจะเรียกเขาว่าคุณหนานกง เวลาที่เธอเรียกชื่อเต็มของเขา ตอนนั้นหมายความว่าเธอกำลังโกรธหรือไม่ก็ซาบซึ้งใจ เขาชินกับการเดาอารมณ์เธอผ่านการเรียกชื่อแล้ว 

 

 

เขารู้สึกชีวิตของเขาค่อยๆ มีรสชาติขึ้นมา เมื่อเทียบกลับวันเวลาที่ผ่านมาในอดีต มันช่างเหงาเหลือเกิน 

 

 

***** 

 

 

ฤดูใบไม้ผลิใกล้เข้ามา ลมในฤดูใบไม้ผลิเหมือนมือที่อ่อนโยน ทำให้โลกทั้งใบอบอุ่น 

 

 

แลนด์มาร์คเมืองหลงได้เริ่มทำการก่อสร้งาแล้ว หนานกงเยี่ยดูไว้ใจลั่วเฮิ่งมาก เขามอบอำนาจให้บริษัทรัับเหมาก่อสร้างหงเฉินเป็นคนดูแลโปรเจคนี้ทั้งหมด นอกจากเร่งก่อสร้างให้เสร็จทันเวลาแล้ว หนานกงเยี่ยไม่มีคำสั่งอะไรอีก สิ่งนี้ทำให้ลั่วเฮิ่งคิดว่าเป็นเพราะเหลิ่งรั่วปิง ด้วยเหตุนี้เขาจึงยิ่งอยู่ยิ่งใจกล้ามากยิ่งขึ้น 

 

 

เหลิ่งรั่วปิงเคยคำนวนด้วยหลักความแม่นยำ การก่อสร้างโดยปรับลดขนาดจากภาพร่างให้เล็กลงห้ามิลลิเมตร ตอนก่อสร้างแรกๆ จะไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้น แต่เมื่อสร้างไปจนถึงชั้นสามสิบ เสาชั้นร่างจะไม่สามารถรองรับน้ำหนักได้ ส่งผลให้อาคารทั้งหลังพังทลายลงมา ถึงเวลานั้นบริษัทของเขาต้องล้มละลาย เป็นเวลาตกนรกของลั่วเฮิ่ง คิดคำนวนจากการก่อสร้างในตอนนี้ น่าจะเกิดประมาณช่วงปลายฤดูร้อนถึงต้นฤดูใบไม้ผลิ 

 

 

เธอเหลือเวลาอีกประมาณครึ่งปีในเมืองหลง 

 

 

หลังจากจบการออกแบบแลนด์มาร์คเมืองหลง หนานกงเยี่ยไม่ได้มอบหมายโปรเจคอะไรให้เธอทำอีก เธอเองก็ไม่ได้ร้องขอทำโปรเจคอื่นเช่นเดียวกัน เหลิ่งรั่วปิงใช้เวลาส่วนมากไปกับการดูงานก่อสร้างที่โรงแรมอิมพีเรียลและแลนด์มาร์คเมืองหลง มีบ้างบางครั้งที่เธอจะไปที่ไซต์งานเพื่อให้คำแนะนำด้านต่างๆ 

 

 

วันเวลาค่อยๆ ผ่านไปแบบนี้ทีละวันๆ ชั่วพริบตาดอกไม้ก็บานสะพรั่ง ทุกอย่างดูสดใสขึ้นมาทันที 

 

 

วันนี้ เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ เหลิ่งรั่วปิงตัดสินใจไปหาเวินอี๋ ช่วงสิ้นปีที่ผ่านมาเธอมัวแต่ยุ่งกับโปรเจคโรงแรมอิมพีเรียลและแลนด์มาร์คเมืองหลง เธอไม่ได้เจอเวินอี๋มานานแล้ว ตอนที่เหลิ่งรั่วปิงโทรศัพท์ไปหาเวินอี๋ ทำให้เธอรู้ว่าสุขภาพของเวินจี๋ไห่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ช่วงนี้เวินอี๋ไม่ได้ไปทำงานเลย เธออยู่บ้านคอยดูแลพ่อที่ป่วย 

 

 

ก่อนหน้านี้ เวินอี๋ได้เอาเงินที่เหลิ่งรั่วปิงให้ไปซื้อบ้านหลังหนึ่งที่หมู่บ้านเวินเฉวียน บ้านที่เธอซื้อเป็นบ้านขนาดเล็กสองห้องนอน เวินอี๋กับเวินจี๋ไห่พักอยู่ที่นั่น มู่เฉิงซีชวนเธอย้ายไปอยู่กับเขาที่วิลล่าหลายครั้ง แล้วจะให้แม่บ้านมาคอยดูแลเวินจี๋ไห่ แต่เวินอี๋เป็นเด็กกตัญญู เธอจึงไม่ยอมไป 

 

 

เหลิ่งรั่วปิงนั่งรถมาจนถึงหมู่บ้านเวินเฉวียน เธอเดินเข้าไปในบ้านของเวินอี๋พร้อมกับซื้อผลิตภัณฑ์บำรุงร่างกายมาให้ เมื่อเดินเข้าไป เหลิ่งรั่วปิงได้กลิ่นยาสมุนไพรฟุ้งไปทั่ว เธอเห็นเวินจี๋ไห่นอนซมอยู่บนเตียง เทียบกับที่เจอกันเมื่อคราวที่แล้ว เขาดูซูบผอมลงไปมาก 

 

 

“ลุงเวิน” เหลิ่งรั่วปิงร้องเรียกเสียงเบา ภายในใจของเธอรู้สึกเจ็บปวด 

 

 

ก่อนหน้านี้เหลิ่งรั่วปิงได้คุยกับคุณหมอแล้ว คุณหมอบอกว่าเวินจี๋ไห่เหลือเวลาอีกไม่มาก เมื่อหลายปีก่อนร่างกายของเขาได้รับบาดเจ็บ ส่งผลต่ออวัยวะภายใน แต่เพราะไม่ได้เข้ารับการรักษาอย่างทันท่วงที จึงทำให้ล้มป่วยจนไม่สามารถหายขาดได้ เขาสามารถมีชีวิตอยู่รอดจนถึงทุกวันนี้ได้ ล้วนเป็นเพราะความแรงสู้ของเขา เหลิ่งรั่วปิงรู้ดี ลุงเวินอดทนเพื่อรอฟังข่าวคราวของเธอ ตอนนี้พอเห็นเธอกลับมาอย่างปลอดภัย เรี่ยวแรงในการสู้กับโรคร้ายจึงลดลง 

 

 

เรื่องเศร้าที่สุดบนโลกใบนี้ก็คือตอนที่บุตรหลานมีกำลังในการเลี้ยงดูพ่อแม่ ทว่าพ่อแม่กลับตายจาก เหลิ่งรั่วปิงมองเวินจี๋ไห่เป็นญาติของตนเอง 

 

 

เหลิ่งรั่วปิงน้ำตาไหลอย่างห้ามไม่ได้ หลายปีที่ผ่านมานี้ เธอเฝ้าฝันมาโดยตลอดว่าจะกลับเมืองหลง เธอจะกลับมาแก้แค้นเอาพวกมันลงนรกและจะกลับมาตอบแทนบุญคุณเวินจี๋ไห่ แต่เธอยังไม่ทันได้ตอบแทนบุญคุณเขา เขาก็กำลังจะจากโลกนี้ไปแล้ว เธอไม่รู้จะอธิบายความเศร้าในใจเธอยังไง 

 

 

เวินจี๋ไห่ลืมตาขึ้น ใบหน้าซีดขาวและซูบผอมคลายยิ้ม “คุณหนู คุณหนูมาแล้วหรอครับ” 

 

 

“ค่ะ” เหลิ่งรั่วปิงเดินไปนั่งข้างๆ เตียง เธอจับมือเวินจี๋ไห่เอาไว้ “ลุงเวิน ลุงเวินต้องดีขึ้นให้ได้นะคะ หนูยังไม่ได้ตอบแทนบุญคุณของลุงเลย” 

 

 

“ฮ่าๆๆ…” เวินจี๋ไห่หัวเราะ ตามด้วยไอแห้งๆ “เด็กโง่ คนเรามีเกิดแก่เจ็บตาย อย่าเสียใจไปเลยนะครับ แค่เห็นคุณหนูกลับมาอย่างปลอดภัย ผมก็ไม่มีอะไรต้องเสียใจแล้ว วันข้างหน้าเวินอี๋สามารถอยู่เป็นเพื่อนคุณหนูได้ คุณหนูไม่ต้องเหงาอีกต่อไปแล้ว ผมเองก็ไม่มีอะไรให้ต้องเป็นห่วง” เวินจี๋ไห่ไออีกสองครั้ง “ผมแก่มากแล้ว ฝืนสังขารต่อไปแบบนี้ก็มีแต่จะทรมานเปล่าๆ สู้ตายไปเสียยังดีกว่า จะได้ไม่ต้องทรมาน” 

 

 

ถึงแม้เหลิ่งรั่วปิงจะเข้าใจหลักการนี้ แต่ตอนที่ตรงเผชิญหน้ากับมัน เธอยังคงรู้สึกเจ็บปวด เหลิ่งรั่วปิงคิดเรื่องอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ หลังจากนี้อีกครึ่งปีถ้าเธอไปจากเมืองหลง แล้วเวินอี๋จะทำยังไง เมื่อกี้เวินจี๋ไห่บอกให้พวกเธอคอยอยู่ดูแลกัน แต่ถ้าเธอไปจากที่นี่ เวินอี๋ก็จะไม่เหลือญาติแม้แต่คนเดียว ถึงแม้ตอนนี้มู่เฉิงซีจะรักเธอมาก แต่ใครจะไปรู้ว่าหัวใจของเขาจะรักเธออีกนานแค่ไหน 

 

 

เวินจี๋ไห่พูดอีกหนึ่งประโยค แล้วนอนหลับไป เวินอี๋จึงพาเหลิ่งรั่วปิงมานานพูดคุยที่ห้องรับแขก 

 

 

ตอนอยู่ต่อหน้าเวินจี๋ไห่ เวินอี๋ไม่กล้าร้องไห้ เวลานี้เธอไม่แคร์อะไรทั้งนั้น น้ำตาเม็ดใหญ่รินไหลลงมา “พี่รั่วปิง ฉันจินตนาการไม่ได้จริงๆ ค่ะ ฉันจะอยู่ยังไงหลังจากที่พ่อจากไป” 

 

 

เหลิ่งรั่วปิงตบหัวไหล่เวินอี๋เบาๆ ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ตอนนี้เธอกับมู่เฉิงซีเป็นยังไงกันบ้าง” 

 

 

พูดถึงมู่เฉิงซี เวินอี่เงียบทันที นอกจากเรื่องที่มู่เฉิงซีไม่กล้าให้คนในครอบครัวของเขารู้ว่าเขากำลังคบกับเธอ เรื่องอื่นเขาก็ดีกับเธอหมด ช่วงที่เวินจี๋ไห่ล้มป่วย เขาดูแลเธอดีมาก คุณหมอที่มารักษาเวินจี๋ไห่ก็เป็นหมอที่เขาเชิญมารักษา ค่ายาต่างๆ มู่เฉิงซีก็เป็นคนคอยช่วยจ่าย 

 

 

เวินอี๋เงียบไปพักหนึ่ง เธอเม้มกัดริมฝีปากแล้วพูดขึ้น “ฉันกลายเป็นของเขาแล้วค่ะ” 

 

 

หัวใจของเหลิ่งรั่วปิงดิ่งลงเหว รู้สึกเหมือนลูกสาวสุดที่รักของตนเองถูกพรากเอาของล้ำค่าไป หัวใจของเธอรู้สึกเจ็บปวด แต่เธอรู้ดีว่าเวินอี๋ยินดีให้เขา เพราะเธอรักมู่เฉิงซี “เขาดีกับเธอไหม” 

 

 

เวินอี๋พยักหน้า “ดีมากค่ะ” 

 

 

เหลิ่งรั่วปิงเงียบ จากนิสัยของเวินอี๋ เธอมอบความบริสุทธิ์ของตนเองให้มู่เฉิงซีไปแล้ว เธอไม่มีวันไปจากเขาง่ายๆ นอกจากเขาจะทิ้งเธอไป ดังนั้นการตัดสินใจทุกอย่างอยู่ในมือของมู่เฉิงซี เธออยากให้มู่เฉิงซีทำไม่ดีกับเวินอี๋เสียยังดีกว่า เพราะแบบนี้เวินอี๋จะได้ไม่ต้องยุ่งกับเขาอีกและไม่ต้องกดดันเวลาที่ต้องเผชิญหน้ากับครอบครัวของเขา หลังจากการแก้แค้นจบลงเธอจะได้พาเวินอี๋ไปจากที่นี่ 

 

 

แต่ตอนนี้ควรจะทำอย่างไรดี หรือเธอต้องอยู่เมืองหลงไปตลอดชีวิต? อยู่เมืองหลง เท่ากับว่าเธอต้องข้องเกี่ยวกับหนานกงเยี่ยไม่จบไม่สิ้น นอกจากจะถึงวันที่เขาเบื่อเธอแล้ว เธอต้องใช้ชีวิตแบบนั้นจริงๆ หรอ เขาเคยบอกว่าไม่มีวันแต่งงานกับเธอ หรือเธอต้องเป็นนางบำเรอของเขาไปตลอดชีวิต? 

 

 

แล้วเธอจะทำยังไงกับอิสระที่เธอต้องการ