ตอนที่ 95 คุณแม่เฉียน

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

ผู้บัญชาการเฉียนให้ฉินหร่านลองดื่มชา ฉินหร่านจึงยกขึ้นมาจิบหนึ่งคำ

 

 

พอเห็นผู้บัญชาการเฉียนมองตัวเองรอคอยคำตอบ เธอก็พยักหน้าน้อยๆ พูดเสียงเบาว่า “พอใช้ได้”

 

 

ผู้บัญชาการเฉียนโล่งใจ จากนั้นก็ถือวิสาสะนั่งลงข้างฉินหร่าน

 

 

เฉิงเจวี้ยนกับลู่จ้าวอิ่งเคยเห็นภาพครึกครื้นที่ผู้บัญชาการเฉียนกับพวกรุมล้อมฉินหร่านเมื่อหลายวันก่อนเลย เฉิงเจวี้ยนนิ่งเฉยมากทีเดียว นั่งลงโดยไม่ล่อกแล่ก

 

 

ลู่จ้าวอิ่งแม้จะเคยเห็น แต่ก็ยังคงมองพวกผู้บัญชาการเฉียน อุทานในใจไปหลายคำ

 

 

คนมากันครบแล้ว ลู่จ้าวอิ่งจึงให้พนักงานเริ่มเสิร์ฟอาหาร ผู้บัญชาการเฉียนก็เริ่มกระซิบแนะนำกับฉินหร่านว่าที่นี่มีอาหารอะไรอร่อยบ้าง

 

 

แถมยังสั่งซุปหมูต้มพริกเสฉวนถ้วยใหญ่ให้ฉินหร่าน

 

 

เฉิงมู่ “…”

 

 

เขาตัวแข็งทื่ออยู่ในอากาศ

 

 

… ความเย็นชาที่ว่ากันไว้ละ!

 

 

งานเลี้ยงไม่ได้อึดอัดอย่างที่เขาคิด ตั้งแต่แรกจนจบ พวกผู้บัญชาการเฉียนต่างก็คุยกับฉินหร่านกับพวกลู่จ้าวอิ่ง

 

 

โดยเฉพาะลูกน้องของผู้บัญชาการเฉียน ที่ทยอยชนแก้วกับฉินหร่านคนแล้วคนเล่า

 

 

เฉิงเจวี้ยนมองบรรยากาศคึกคักบนโต๊ะอาหาร เอนตัวพิงพนักเก้าอี้ เขาเงียบและจดจ่อมาตลอด เพียงแค่ขมวดคิ้วน้อยๆ เมื่อเห็นฉากนี้

 

 

ยื่นมือไปเคาะโต๊ะ เรียกพนักงานมาแล้วคุยไม่กี่ประโยค

 

 

เขาก้มหัวลงเล็กน้อย ผมหน้าปรกลงมานิดหน่อย นิ้วมือที่วางอยู่บนโต๊ะเรียวยาว

 

 

ผ่านไปไม่กี่นาที เหล้าข้างๆ ฉินหร่านก็ถูกพนักงานเปลี่ยนเป็นน้ำผลไม้

 

 

ซุปหมูต้มพริกเสฉวนที่วางตรงหน้าเธอถูกเลื่อนไปอีกฝั่ง

 

 

ผู้บัญชาการเฉียนชะงัก เขาไม่ค่อยกล้าสบตาเฉิงเจวี้ยน เวลานี้แค่เงยหน้ามองแสดงความงุนงงเท่านั้น

 

 

เฉิงเจวี้ยนเพิ่งหยิบตะเกียบขึ้น เงยหน้าอย่างเกียจคร้าน ชี้แจงว่า “ก่อนหน้านี้มือขวาของเธอเย็บไปหลายเข็ม แผลกำลังสมานตัว”

 

 

ไม่รู้ว่าคำไหนไปกระทบกับสมองของผู้บัญชาการเฉียนเขา เขาดีดตัวลุกขึ้น ราวกับถูกสปริงดีด มองฉินหร่านด้วยความวิตกกังวล เสียงของเขาดังขึ้น “มือขวาเย็บไปหลายเข็มงั้นเหรอ มือของเธอเป็นยังไงบ้างแล้ว”

 

 

เจ้าหน้าที่ไอทีที่ผู้บัญชาการเฉียนพามาก็ต่างพากันวางตะเกียบลง มองฉินหร่านด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม

 

 

ตะเกียบในมือของฉินหร่านยังไม่ทันได้แตะซุปหมูต้มพริกเสฉวนเลยก็หมดซะแล้ว เธอโยนตะเกียบทิ้ง เงยหน้าปรายตามองผู้บัญชาการเฉียนแวบหนึ่ง ใบหน้าไร้อารมณ์ “หายแล้ว”

 

 

“จะเป็นไปได้ยังไง เย็บตั้งหลายเข็มหายง่ายๆ ที่ไหนกัน!” ผู้บัญชาการเฉียนเหมือนแมลงหัวขาด

 

 

ฉินหร่านรำคาญใจ ไม่อยากอธิบาย จึงยื่นมือให้เขาดู

 

 

บนมือมีแค่รอยแผลเป็นสีชมพูกับรอยเย็บเท่านั้น แต่แค่มองจากพวกนี้ก็ดูออกว่าตอนนั้นบาดเจ็บรุนแรงถึงขั้นไหน

 

 

คิ้วที่ขมวดเป็นปมของผู้บัญชาการเฉียนยังไม่คลายออก

 

 

เขาไม่ถามฉินหร่าน แต่โยนตะเกียบในมือทิ้งดังแกรก

 

 

เงยหน้ามองเฉิงเจวี้ยนที่อยู่ข้างๆ เธอ ท่าทางวิตกกังวล “มือของเธอเป็นยังไงบ้าง มีอาการอะไรที่แสดงภายหลังไหม จะมีผลกระทบอะไรหรือเปล่า”

 

 

ตอนที่เพิ่งมาถึงเมืองอวิ๋นเฉิง เฉิงมู่เคยไปหาผู้บัญชาการเฉียนกับผู้บัญชาการห่าว ย่อมรู้ถึงความเย็นชาเข้าใกล้ได้ยากของอีกฝ่าย แถมยังพูดน้อยอีกด้วย

 

 

แต่ตอนนี้ผู้บัญชาการเฉียนกลับมีท่าทางจู้จี้เหมือนแม่คนหนึ่ง เป็นคนที่เงียบขรึมพูดน้อยที่ไหนกัน

 

 

ก็แค่มือขวาบาดเจ็บไม่ใช่หรือไง

 

 

จำเป็นต้องใส่ใจขนาดนี้เลยเหรอ เหมือนกับว่าต่อไปเธอจะใช้มือไม่ได้อีกแล้วอย่างนั้นแหละ

 

 

บนโต๊ะมีเฉิงเจวี้ยนอยู่ ต่อให้พูดเบาแค่ไหนเขาก็ยังได้ยิน เฉิงมู่เลยหยิบมือถือส่งข้อความให้ผู้บัญชาการห่าว…

 

 

‘เธอถนัดซ้ายไม่ใช่เหรอ มือขวาบาดเจ็บแล้วยังไง ไม่ใช่เรื่องใหญ่ซะหน่อย ตอนนั้นเทพธิดาของผมซี่โครงหักไปท่อนหนึ่ง ยังไปสืบคดีกับผมอยู่เลย ไม่เหมือนเธอซะหน่อย’

 

 

เวลาที่เหลือของมื้ออาหารนี้ ส่วนใหญ่จะเป็นผู้บัญชาการเฉียนที่คุยเรื่องสภาพบาดแผลของฉินหร่านกับเฉิงเจวี้ยน

 

 

เขาสอบถามเฉิงเจวี้ยนอย่างละเอียด จนกระทั่งแน่ใจแล้วว่ามือของเธอจะไม่มีอาการอะไรตามมาทีหลังแม้แต่นิด เขาถึงโล่งใจ

 

 

อาหารมื้อหนึ่งผ่านไป คนที่พูดมากที่สุดบนโต๊ะอาหารกลับเป็นผู้บัญชาการเฉียน ก่อนไปยังกำชับฉินหร่านอีกหลายประโยค

 

 

กระทั่งเฉิงเจวี้ยนยกกำปั้นวางข้างปากแล้วกระแอมทีหนึ่ง พวกผู้บัญชาการเฉียนถึงยอมขึ้นรถไปอย่างอาลัย

 

 

เฉิงมู่มองผู้บัญชาการเฉียนขึ้นรถตัวชา

 

 

พอรถของผู้บัญชาการเฉียนไป เฉิงมู่ก็อดมองฉินหร่านไม่ได้ ราวกับว่าไม่เข้าใจ ทำไมผู้บัญชาการเฉียนถึงคุ้นเคยกับฉินหร่านขนาดนี้ เหตุการณ์อึดอัดเขาจินตนาการไว้ไม่โผล่มาเลยแม้แต่นิด

 

 

กลับกันเป็นเขากับผู้บัญชาการห่าวแทน ที่แทบจะไม่เคยพูดประโยคที่สมบูรณ์ตลอดระยะเวลาที่ทานข้าวเลย

 

 

เฉิงมู่นั่งลงบนที่นั่งข้างคนขับในรถของผู้บัญชาการห่าว ใจไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว

 

 

ผู้บัญชาการห่าวสตาร์ทรถ เอียงหัวน้อยๆ เหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ “ท่าทางของผู้บัญชาการเฉียนผิดปกติ เขากับฉินหร่านคนนั้น…พูดยาก”

 

 

ข้อนี้ ไม่ต้องรอให้ผู้บัญชาการห่าวพูด เฉิงมู่ก็รู้สึกเหมือนกัน

 

 

ทั้งสองคนไม่พูดอะไรเลยครู่หนึ่ง

 

 

ผ่านไปนานสองนาน ผู้บัญชาการห่าวถึงพูดเชิงหยอกล้อว่า “แต่ถ้าเทียบฉินหร่านคนนี้กับเทพธิดาของนายแล้วเป็นยังไง ความสามารถด้านไอทีของฉินหร่าน ไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะสู้ได้นะ”

 

 

ผู้บัญชาการห่าวไม่ค่อยรู้เรื่องคอมพิวเตอร์มากนัก แต่ท่าทางที่ฉินหร่านใช้คอมพิวเตอร์เมื่อหลายวันก่อนเขาไม่เคยลืม

 

 

โดยเฉพาะเมื่อพูดถึงท่าทีที่ผู้บัญชาการเฉียนมีต่อพวกเขา

 

 

แต่เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ เฉิงมู่ก็ตื่นตัวขึ้นมา “เธอเก่งมากก็จริง แต่จะสู้กับเทพธิดาของผมได้ยังไง!”

 

 

ผู้บัญชาการห่าวคิดๆ ดูแล้ว ลองเปรียบเทียบอย่างจริงจังแล้วก็พยักหน้า “เรื่องนี้มันแหงอยู่แล้ว”

 

 

 

 

อีกด้านหนึ่ง ฉินหร่านลงจากรถบริเวณถนนเส้นหนึ่งที่อยู่ห่างไกลจากโรงเรียน

 

 

เธอจะไปที่ห้องเรียน

 

 

แต่คิดไม่ถึงว่าจะเห็นบีเอ็มดับเบิลยูสีดำคันหนึ่งตรงหน้าทางเข้าโรงเรียน

 

 

ห้านาทีต่อมา

 

 

ฉินหร่านนั่งลงบนที่นั่งข้างคนขับ

 

 

เธอเอนหลังพิงพนัก ดวงตาหรี่ลง ไม่มีพิธีรีตองอะไร แต่ก็เก็บอารมณ์ไว้ แค่เสียงที่พูดออกมาห้วนมากทีเดียว “มีเรื่องอะไร ว่ามา”

 

 

ที่นั่งข้างหลังคนขับคือหนิงฉิง หลังคนขับรถขับรถมาจอดหน้าโรงเรียนแล้ว ก็ลงจากรถอย่างรู้ตัวดี

 

 

“เรื่องในเวยป๋อฉันดุอวี่เอ่อร์ไปแล้ว แกอย่าโมโหเลย” พูดแค่ประโยคเดียว เธอก็เปลี่ยนประเด็น น้ำเสียงอ่อนลง “หรานหร่าน ทำไมไม่บอกแม่เลยว่าแกรู้จักคุณเฟิงน่ะ เรื่องในเวยป๋อคุณเฟิงช่วยจัดการให้แกใช่ไหม คนเขาใจดีช่วยเหลือ แกเชิญเขากินข้าวหรือยัง”

 

 

แม้เมืองอวิ๋นเฉิงจะเล็ก แต่ก็เป็นเสือซ่อนเล็บเหมือนกัน

 

 

แม้ดูภายนอกตระกูลหลินจะเป็นตระกูลร่ำรวย แต่แท้จริงแล้วศักยภาพต่ำ ตระกูลที่เก็บตัวไม่โอ้อวดก็มีถมไป บางตระกูลถึงขั้นว่ามีถิ่นฐานในเมืองหลวง

 

 

แม้แต่หนิงฉิงก็ตระหนักได้แล้วว่า เมื่อตระกูลหลินอยู่ต่อหน้าบางตระกูล…

 

 

อย่างเช่นตระกูลเสิ่นในเมืองหลวงที่หลินหว่านแต่งงานด้วย ไม่ควรค่าให้พูดถึงเลยสักนิด

 

 

“ไม่ล่ะ หนูไม่สนิทกับคุณเฟิง” นิ้วของฉินหร่านเคาะบนหน้าผากอย่างไม่รู้ตัว น้ำเสียงเข้มมากทีเดียว

 

 

“แกจะไม่สนิทได้ยังไง คนเขาช่วยแกแล้ว เชิญกินข้าวเป็นเรื่องที่ควร…” หนิงฉิงพูด

 

 

ฉินหร่านแทรกเธอทันที “สามปีก่อนหนูโทรหาแม่ แม่ไม่รับไม่ใช่หรือไง แล้วคุณเฟิงก็เลยให้หนูติดรถกลับไปด้วย เขาคงแค่รู้สึกว่าหนูน่าสงสาร หนูไม่มีแม้แต่เบอร์เขาด้วยซ้ำ”

 

 

คนอย่างเฟิงโหลวเฉิงเป็นที่จับตามองในเมืองอวิ๋นเฉิงอย่างมาก ฉินอวี่แค่รู้จักกับคุณหญิงเฟิงนิดเดียว ท่าทีของหลินหว่านที่มีต่อหนิงฉิงก็เปลี่ยนไปมากแล้ว

 

 

แต่คิดไม่ถึงว่าฉินหร่านจะไม่มีแม้แต่เบอร์โทรของเฟิงโหลวเฉิง

 

 

หนิงฉิงรู้สึกผิดหวังขึ้นมาทันที ถ้าฉินหร่านเป็นฉินอวี่ งั้นพวกเขาก็คงรู้เบอร์โทรของเฟิงโหลวเฉิงตั้งแต่เมื่อสามปีก่อนแล้ว ไม่เหมือนฉินหร่าน โตป่านนี้แล้ว โลกแคบ ไม่รู้อะไรเลย สนใจแต่ตัวเองเท่านั้น

 

 

ฉินหร่านบีบนิ้วมือของตัวเอง ดันประตูแล้วลงจากรถทันที

 

 

คนขับรถจอดรถตรงทางโค้ง ตรงนี้มีที่ว่าง

 

 

ฉินหร่านเพิ่งลงจากรถ

 

 

ตรงข้ามก็มีซูเปอร์คาร์เฟอร์รารี่คันหนึ่งแล่นเข้ามา ดริฟต์อย่างสวยงามเข้ามาจอดข้างฝ่าเท้าฉินหร่านอย่างแม่นยำไร้ข้อผิดพลาด