ตอนที่ 60 งานเทศกาลไหว้พระจันทร์

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 60 งานเทศกาลไหว้พระจันทร์

รถม้าของต่งชูหลานมาถึงหลานถิงเมื่องานดำเนินไปกว่าครึ่งแล้ว

แน่นอนว่านางมิได้มาช้าเนื่องจากการแต่งหน้าทำผม หากแต่มัวคิดถึงฟู่เสี่ยวกวน คิดถึงเรื่องกวีหลินเจียงเซียน และกวีจิตใจต่างสื่อสารไปถึงกัน อีกทั้งกวีเพลงแห่งสายน้ำ

ภาพความทรงจำต่าง ๆ ปรากฏอยู่ในหัวของนาง ทำให้นางได้รู้ว่าระยะเวลาที่รู้จักกับฟู่เสี่ยวกวนนั้นไม่นานเท่าไร แต่หัวใจของนางนั้นได้มอบให้แก่เขาจนหมดสิ้นแล้ว

งานกวีหลานถิงนี้ไม่มีความหมายใดๆต่อนางแม้แต่น้อย กวีต่าง ๆ ที่บรรดานักกวีประพันธ์ขึ้นมานั้น ก่อนหน้านี้นางได้ตั้งตารอคอยยิ่ง แต่บัดนี้นางกลับมองว่าเป็นเพียงสิ่งที่เพิ่มสีสันเท่านั้น

จะมีผู้ใดแต่งกวีที่งดงามดังเช่นเพลงแห่งสายน้ำนี้ได้อีกหรือ ? ทั่วใต้หล้านี้หาได้มีอีกไม่

จะยังมีผู้ใดเข้าใจถึงความมีทุกข์ มีสุข มีพบ มีพรากของคนเรา จะมีผู้ใดเข้าใจถึงจันทร์ที่มีมืด มีสว่าง มีเต็ม มีเสี้ยว เป็นเช่นนี้มาแต่โบราณ ซึ่งมิอาจสมบูรณ์พร้อมอีกเยี่ยงนั้นหรือ ?

ยังมีผู้ใดคาดหวังเพียงผู้คนอายุยืนยาวและรอร่วมกันชมจันทร์งามแม้ห่างกันพันลี้อีกหรือ ?

คงมิมีผู้ใดเข้าใจได้ ถึงแม้ว่าพวกเขาจะเป็นผู้มีพรสวรรค์ หากแต่ไม่เคยพบกับเรื่องราวเหล่านี้ก็ไม่สามารถเข้าใจและแต่งกวีที่กินใจเช่นนี้ได้แน่นอน

เขา……จึงจะเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์อย่างแท้จริง !

ส่วนผู้อื่นคงยากที่จะเอาชนะยิ่ง แม้แต่เยี่ยนซีเหวินก็ตาม !

ต่งชูหลานดีใจยิ่งนัก นางรู้สึกว่าในค่ำคืนนี้ดวงจันทร์ช่างกลมส่องสว่างนวลสวยเหลือเกิน

……

……

แน่นอนว่าหลานถิงจี๋มิใช่ตลาด มันตั้งอยู่ ณ สำนักศึกษาจี้เซี่ย ทางด้านตะวันตกแห่งทะเลสาบเว่ยยาง

แน่นอนว่ามิใช่เพียงเรือธรรมดา แต่เป็นเรือนขนาดใหญ่บนทะเลสาบเว่ยยาง

มีศาลา มีภูเขาหิน และธารน้ำ อีกทั้งสะพานเล็ก ๆ หลายแห่งที่เชื่อมต่อระหว่างศาลา

สถานที่แห่งนี้เปรียบเสมือนไข่มุกที่ส่องแสงแวววาวบนทะเลสาบเว่ยยางแห่งนี้ เป็นสถานที่ที่สวยงามที่สุดแห่งเมืองจินหลิงและยังเป็นสถานที่ที่รวบรวมวรรณกรรมและนักกวีเข้าด้วยกัน

ในหอหลานถิงสามชั้นนั้นมีหนังสือจำนวนนับไม่ถ้วน ด้านนอกหอนั้นมีหินที่ถูกแกะสลักด้วยบทกวีอันแสนงดงามของนักกวีในอดีต

รายชื่อที่สามารถสลักไว้ยังหินนี้ ล้วนเป็นนักกวีที่เลื่องชื่อลือนาม ซึ่งนักกวีทุกคนล้วนใฝ่ฝันสิ่งนี้

ในค่ำคืนแห่งเทศกาลไหว้พระจันทร์นี้ จี๋หลานซื่อช่างคึกคักยิ่งนัก

จางเหวินฮั่นอยู่ที่นี่ด้วยในขณะนี้ แต่เขามิได้ไปยังหอหลานถิงเพื่อเขียนบทกวี หากแต่กำลังยืนอยู่ที่ท่าเรือและสอดส่องสายตามองไปยังทะเลสาบ คล้ายกับกำลังรอคอยการมาถึงของเรือลำใดลำหนึ่ง

เขากำลังรอแม่นางต่งชูหลานนั่นเอง

แต่มิได้ยืนรอนางเพื่อตนเอง เขารออยู่ที่นี่เพื่อเยี่ยนซีเหวิน

เมื่อเขาได้รับรู้ว่าเยี่ยนซีเหวินรู้สึกชอบพอแม่นางต่งชูหลาน เขาก็ถอดใจในทันที เขามีเหตุผลใดที่ต้องต่อสู้กับเยี่ยนซีเหวินกัน ?

เมื่อเดินทางมายังเมืองหลวง เขาจึงได้รู้ว่าหลินเจียงนั้นเล็กเพียงใด เขาเพิ่งเข้าใจว่าแท้จริงแล้วตำแหน่งผู้มีพรสวรรค์ทั้งสี่แห่งเมืองหลินเจียงนั้นไม่ได้ยิ่งใหญ่อันใดเลย เขาได้รู้จักกับเยี่ยนซีเหวิน เนื่องจากเป็นตระกูลเยี่ยนที่มีชื่อเสียงยิ่งในเมืองหลวง อีกทั้งเรื่องราวตำนานตระกูลเยี่ยนสามรุ่นสืบต่อมานั่นด้วย

งานชิวเหวยกำลังจะจัดขึ้นในเดือนเก้านี้ จางเหวินฮั่นเชื่อมั่นว่าตนนั้นจะได้ขึ้นตำแหน่งป้ายทอง เยี่ยนซีเหวินเองก็เชื่อเช่นนั้นเนื่องจากจางเหวินฮั่นเป็นผู้มีความสามารถ หากแต่หลังจบงานแล้วจะทำได้สำเร็จหรือไม่ คงต้องการผู้สนับสนุน หากตระกูลเยี่ยนเพียงเอ่ยวาจา อนาคตของเขาก็มองเห็นทางสว่าง

ดังนั้นการที่คอยเอาใจเยี่ยนซีเหวิน สำหรับจางเหวินฮั่นแล้ว เขามองว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าเสียจริง

เรือของต่งชูหลานและเสี่ยวฉีเข้าเทียบท่าจอดบริเวณหลานถิงจี๋ จางเหวินฮั่นเข้าไปต้อนรับด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม แล้วกล่าวว่า “ได้รับคำไหว้วานจากคุณชายเยี่ยน ข้า จางเหวินฮั่น จึงเดินทางมาเพื่อรอคุณหนู ขณะนี้งานได้เริ่มขึ้นและกำลังครึกครื้น นักกวีต่าง ๆ ล้วนอยู่ด้านใน เชิญแม่นางเถิด”

“ขอบพระคุณคุณชายมากเช่นกัน เชิญเจ้าค่ะ”

เมื่อครั้นอยู่ในเมืองหลินเจียง จางเหวินฮั่นได้ดูแลนางเสียส่วนมาก ยามเดินทางกลับมายังจินหลิงก็เดินทางพร้อมกับจางเหวินฮั่นเช่นเดียวกัน หากแต่ถึงเมืองจินหลิงแล้ว จางเหวินฮั่นมิได้เดินทางมาเยี่ยมเยียนนางที่จวนแม้แต่ครั้งเดียว ถึงต่งชูหลานจะมิได้ต้องการพบหน้าเขา แต่นางก็มิควรแสดงออกมาทางสีหน้าในยามนี้ นางแสดงท่าทีให้เกียรติและพูดคุยกับเขาถึงเรื่องราวต่าง ๆ ในจินหลิงตลอดทาง

กระทั่งมาถึงหอหลานถิง ในที่แห่งนี้มีหนังสือมากมาย ทุกโต๊ะจะมีสาวงามคอยจัดเตรียมหมึก พู่กันและกระดาษอยู่ด้านข้าง

บรรดาผู้มีความสามารถมากมายเขียนกวีลงไป อีกทั้งผู้มีความสามารถจำนวนไม่น้อยกำลังเงยหน้าขึ้นมองดวงจันทร์ เพื่อให้ได้ความคิดความรู้สึกสำหรับแต่งกวีอันงดงาม เพื่อให้ชื่อเสียงของตนแพร่หลายไปทั่ว หากรายชื่อของพวกเขาได้สลักลงบนหินนั้น คาดว่าบรรพบุรุษและลูกหลานคงภูมิใจยิ่ง

หลายปีก่อนนี้งานกวีหลานถิงมักใช้หัวข้อเกี่ยวข้องกับดวงจันทร์ในการแต่งกวี หลายปีมานี้ ผู้คนมากมายนำดวงจันทร์มาแต่งกวีแย่เสียจนไม่เป็นท่า

จางเหวินฮั่นพาต่งชูหลานมายังศาลาไม้ด้านนอกแห่งหนึ่ง เยี่ยนซีเหวินอีกทั้งผู้เล่าเรียนอันมีชื่อเสียงสองสามคนก็นั่งอยู่ที่นั่นด้วย

เยี่ยนซีเหวินและคนอื่น ๆ เมื่อพบต่งชูหลานจึงได้ลุกขึ้นยืนให้ความเคารพ ต่งชูหลานส่งยิ้มกลับตามมารยาท

เมื่อทุกคนนั่งลงเรียบร้อยแล้ว ต่งชูหลานได้เอ่ยขึ้นว่า “ข้ามีธุระนิดหน่อยจึงทำให้เดินทางมาถึงช้า ไม่ทราบว่าพวกท่านได้ส่งกวีเข้าประกวดแล้วหรือไม่ ? ”

เรื่องการส่งเข้าประกวดนั้นคือนักกวีทุกท่านนำผลงานที่เขียนเสร็จเรียบร้อย ส่งไปยังหอหลานถิงที่ชั้นหนึ่ง พวกเขาจะทำการคัดเลือก จากนั้นก็ส่งไปยังที่ชั้นสองให้ผู้ดูแลกั๋วจื่อเจี้ยน บรรดากั๋วจื่อเจี้ยนคัดเลือกกวีที่มีความงดงาม จากนั้นก็ส่งขึ้นไปยังชั้นสาม ซึ่งมีปราชญ์ราชบัณฑิตกั๋วจื่อเจี้ยน[1] จิ่วทั้งสิ้น 5 คนเป็นผู้คัดเลือก ซึ่งฉินปิ่งจงเป็นหนึ่งในห้าคนนี้ด้วย

ผลงานกวีที่ถูกส่งขึ้นไปยังชั้นสามนั้นล้วนเป็นผลงานชั้นเลิศ อีกทั้งกวีที่ได้รับการคัดเลือกจากทั้งห้าคนนี้ จะได้ถูกสลักรายชื่อไว้ในป้ายหินเชียนเปยสือ

ที่หินเชียนเปยสือนี้แต่ละปีจะมีกวีหนึ่งถึงสองบทสลักไว้ แต่หัวข้อเกี่ยวกับดวงจันทร์นั้น ไม่มีกวีปรากฏเป็นเวลานานหลายปีแล้ว

เยี่ยนซีเหวินนั่งด้วยท่าทางสง่างาม เขาเอ่ยกับต่งชูหลานว่า “พวกข้าทั้งหกคนได้ส่งผลงานไปเรียบร้อยแล้ว บัดนี้มีผลงาน 5 บทถูกส่งขึ้นไปยังชั้นสอง”

จางเหวินฮั่นเอ่ยออกมาว่า “น่าเสียดายจริงที่ฟู่เสี่ยวกวนมิได้เดินทางมาเมืองหลวง หากเขาอยู่ที่นี่ คาดว่ากวีของเขาคงได้ถูกส่งขึ้นไปยังชั้นสามเป็นแน่”

“ฟู่เสี่ยวกวน ผู้แต่งหนังสือความฝันในหอแดงงั้นหรือ ? ”

“ถูกต้องแล้ว พวกเจ้าไม่รู้หรือว่าฟู่เสี่ยวกวนนั้นมีชื่อเสียงเพียงใดในเมืองหลินเจียง เขาเคยประพันธ์กวีอยู่ 2 บท ในเมืองจินหลิงนี้ยังได้นำมาร้องกันอย่างแพร่หลาย พวกท่านเองก็คงเคยได้ยินมาบ้าง บัดนี้ชื่อเสียงของฟู่เสี่ยวกวนเป็นที่รู้จักกันดีในเมืองจินหลิง สตรีจำนวนไม่น้อยยกย่องเขาว่าเป็นผู้มีความสามารถที่สุด ! ”

เยี่ยนซีเหวินเลิกคิ้วขึ้น “คำพูดของสตรีเชื่อได้งั้นหรือ ? ข้าเองก็เคยได้อ่านหนังสือเล่มนั้นแล้ว แต่ข้าไม่เห็นว่ามันจะน่าสนใจเท่าใดนัก อีกทั้งเขียนเรื่องราวของหญิงชายได้น่าอับอายยิ่ง เรียกว่าไม่อาจทนมองได้เลยทีเดียว หนังสือเล่มนี้ถึงแม้จะได้รับความนิยมอย่างสูงในหมู่ชาวบ้านทั่วไป หากแต่ไม่สามารถได้รับการยกย่องเชิดชูอย่างเป็นทางการแน่นอน”

 “คุณชายเยี่ยนกล่าวถูกต้องแล้ว พวกข้าเองร่ำเรียนมารยาทและหลักการปฏิบัติของขงจื่อและเมิ่งจื่อ หนังสือที่ฟู่เสี่ยวกวนแต่งนั้นมิใช่หนังสือทางการที่ได้รับการยกย่อง อ้างใช้เรื่องราวสกปรกของจวนเจี๋ยที่หยิบยกมาเขียนนั้นดึงดูดผู้คน อันตรายยิ่ง”

โจวเทียนโย่ว หนึ่งในบรรดาผู้มีความสามารถเอ่ยขึ้น คนอื่น ๆ จึงได้พยักหน้าเห็นด้วยหลังจากครุ่นคิดชั่วครู่

ต่งชูหลานขมวดคิ้วขึ้น นางมิได้เอ่ยคำใดออกมา

เมื่อโจวเทียนโย่วได้รับการยอมรับในความคิดเห็นของตนจากผู้อื่นก็ได้ใจและเอ่ยต่อไปว่า “คุณชายจางคงทราบเรื่องนี้ดี ข้าเองเคยได้ยินมาจากบุตรชายของท่านลุงว่า ฟู่เสี่ยวกวนก่อนหน้านี้มีนิสัยแย่ทีเดียว เพียงแต่หลังจากแม่นางต่งชูหลานเดินทางไปยังเมืองหลินเจียง จึงได้เปลี่ยนแปลงไปราวกับหน้ามือเป็นหลังมือ แต่พวกเขากลับรู้สึกประหลาดใจ เนื่องจากฟู่เสี่ยวกวนเป็นเพียงซิ่วไฉเท่านั้น เหตุใดก่อนหน้านี้มิเคยได้ยินบทกวีของเขาแม้แต่ครึ่งประโยคเดียว แต่จู่ ๆ เขากลับเขียนกวีอีกทั้งหนังสือ ? ข้าเกรงว่าเรื่องนี้ไม่ธรรมดาแน่นอน พวกท่านมีความเห็นว่าอย่างไร ?”