หลี่หมิงอวินกลับไปยังเรือนหลั้วเซี๋ยจายพร้อมกับกลิ่นสุราคละคลุ้ง จนป๋ายฮุ่ยและคนอื่นๆ ต่างตกอกตะใจ “เอ้อร์เส้าเหยีย ท่านดื่มอีกแล้วหรือเจ้าคะ”
หลี่หมิงอวินรู้สึกหนักอึ้งไปทั้งตัว เดินโซซัดโซเซแต่กลับรู้สึกอารมณ์ดีอย่างมาก “ไปพบปะสังคมนิดหน่อยเลยเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้น่ะ” เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม
หรูอี้เข้ามาช่วยประคองพานายน้อยเข้าไปข้างใน
หลินหลันซึ่งรอเขาอยู่ตลอด เดิมทีคิดไว้แล้วว่าเรื่องเงินเดือนอะไรนั่นนางไม่ต้องการแล้ว แต่คาดไม่ถึงว่าหลี่หมิงอวินจะกลับมาอย่างเมามายเช่นนี้ ในใจจึงคุกรุ่นไปด้วยไฟแห่งความโมโห ไม่อยากจะสนใจเขาเลยด้วยซ้ำ
ป๋ายฮุ่ยกับหรูอี้ประคองนายน้อยเข้าไปยังห้องน้ำเพื่อล้างหน้าล้างตา
หลินหลันออกไปหาตงจึ “ตงจึ เอ้อร์เส้าเหยียไปดื่มสุราที่แห่งหนใดมา”
ตงจึตอบไปตามความเป็นจริง “ไปจวนเฉินกงจื่อมาขอรับ เอ้อร์เส้าเหยียบอกว่าหลังจากนี้ต้องเข้าสังคมมากขึ้น จึงต้องการฝึกฝนทักษะการดื่มสักหน่อย เอ้อร์เส้าหน่ายนายขอรับ อย่าว่าข้าน้อยละลาบละล้วงเลยนะขอรับ แต่เรื่องสุรานี่ยังไงเอ้อร์เส้าเหยียก็คงต้องเพลาๆ ไว้บ้าง ก่อนหน้านี้ฮูหยินมักพูดอยู่เป็นประจำว่า สุรามีแต่จะพาลเสียผู้เสียคน”
หลินหลันกล่าวอย่างชื่นชม “ตงจึ เจ้าพูดได้ถูกต้องมาก หลังจากนี้เวลาเส้าเหยียออกไปดื่มสุรา เจ้าต้องรีบมารายงานข้าทันที”
การดื่มสุรานิดๆ หน่อยๆ ระหว่างพบปะเข้าสังคมถือเป็นเรื่องปกติ ทว่ากรณีที่ความสามารถในการดื่มไม่ดีนัก เมื่อดื่มเข้าไปก็จะเมามายได้อย่างง่ายดาย ทั้งเป็นการทำลายร่างกายและทำให้เสียการเสียงาน เกิดหลังจากดื่มเข้าไปแล้วดันพูดในสิ่งที่ไม่ควรปริปากพูดออกมา จนถูกคนเขาไปเข้าใจในทางที่ผิดๆ ก็คงเป็นอันซวยจนได้ อีกอย่าง หลังดื่มจนเมามายสติสัมปชัญญะก็ไม่ครบถ้วนอีกต่อไป หากเฉินจื่ออวี้คุณชายจอมเจ้าชู้นั่นสรรหาหญิงสาวมาให้หมิงอวินสักสองคน ก็อาจเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ ดังนั้น หลังจากนี้หากเขาต้องออกไปพบปะสังสรรค์ จะต้องให้ตงจึตื่นตัวและคอยจับตาไว้หน่อยเสียแล้ว
เมื่อหลินหลันกลับเข้าห้องมาก็เห็นหลี่หมิงอวินนอนแผ่บนเตียงนอนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ป๋ายฮุ่ยและคนอื่นๆ ออกไปทันทีอย่างรู้งานและปิดประตูให้มิดชิด
หลี่หมิงอวินมองนางพลางฉีกยิ้มอย่างเอ็นดู “หลินหลัน มานี่…”
หลินหลันถลึงตาใส่เขาหนึ่งทีแล้วหันหน้าหนีเดินเข้าห้องน้ำไป
หลี่หมิงอวินกุมขมับด้วยอาการเวียนหัวที่ถูกพิษสุราโจมตี ตลอดทางกลับมาเขาพยายามเรียบเรียงคำพูดไว้ตั้งมากมาย ท้ายที่สุดถูกนายจ้องเขม็งใส่ทีเดียวก็ถึงกลับไปไม่ถูกเสียแล้ว
กว่าหลินหลันจะออกมา หลี่หมิงอวินก็เข้าสู่ห่วงนิทราไปแล้ว
มองดูใบหน้าแดงก่ำของเขา และจังหวะลมหายใจเข้าออกที่หนักอึ้ง เล่นเมามายสองคืนติด นี่มันออกจะเกินไปแล้ว หลินหลันใช้มืออังหน้าผากของเขาเพื่อตรวจวัดอุณหภูมิร่างกายและนั่นทำให้นางรู้สึกถึงความร้อนที่ปะทุอยู่บนผิวสัมผัส แม้ไม่อยากสนใจเขา แต่ก็ไม่อาจวางใจได้ พรุ่งนี้เข้ายังต้องเข้าวังไปทำงานนี่นะ! หากตื่นไม่ไหวขึ้นมาคงได้เป็นเรื่อง และจะทำให้ใครต่อใครขาดความเคารพนับถือเขาได้ นั่นคงไม่ดีนัก
หลินหลันเรียกหยินหลิ่วมา โดนให้นางไปหยกซุปคลายอาการเมามาให้
นางออกแรงประคองศีรษะของเขาขึ้น “หมิงอวิน ดื่มซุปนี่หน่อย”
วันนี้หลี่หมิงอวินดื่มหนักมากกว่าเมื่อวานอย่างมาก และเป็นการเมามายอย่างแท้จริง แต่อย่างไรก็ตามสติสัมปชัญญะของเขายังคงอยู่ครบถ้วนดี เชื่อฟังคำพูดของหลินหลันโดยดื่มซุปที่หลินหลักตักให้เข้าไปหลายคำทีเดียว
หลินหลันช่วยกระชับผ้าห่มเข้าหาตัวเข้า แล้วเตรียมหอบผ้าห่มอีกผืนไปนอนบนเก้าอี้นวมตัวยาว หลี่หมิงอวินพลิกตัวพลางเอ่ยพึมพำ “หลินหลัน…เจ้าซื่อบื้อชะมัด…”
เอ่อะ! เมาแล้วยังไม่ลืมที่จะด่านางอีกหรือ หลินหลันนึกโมโหขึ้นมาจึงหยิบหมอนแล้วเขวี้ยงใส่เขา “เจ้าสิซื่อบื้อ งี่เง่า เจ้าคนไม่ได้เรื่อง…”
หลี่หมิงอวินไร้ซึ่งการตอบสนองใดๆ หลินหลันเข้าไปหยิบหมอนหนุนกลับคืนอย่างหงุดหงิด “ไว้พรุ่งนี้ข้าค่อยคิดบัญชีกับเจ้า”
ยามรุ่งสร่างมาเยือน เสียงเคาะประตูโดยป๋ายฮุ่ยดังขึ้น
หลินหลันสะดุ้งเฮือกรีบลุกขึ้นมาในทันที นางโยนผ้าห่มกลับขึ้นไปบนเดียงแล้วเขย่าตัวหลี่หมิงอวินที่กำลังหลับใหล “เจ้าขี้เมา ตื่นได้แล้ว เจ้ายังต้องไปราชวังนะ!”
หลี่หมิงอวินลืมตาขึ้นอย่างสะลึมสะลือพลางส่งกระแอมในลำคอ “นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้ว”
หลินหลันไปหยิบเสื้อผ้ามาสวมทับเสื้อคลุมตัวใน “ประมาณตีห้า รีบลุกขึ้นมาเถอะ!”
หลี่หมิงอวินลูบคลำศีรษะอันหนักอึ้ง ส่งเสียงครางเล็กน้อยด้วยความทรมาน
หลินหลันกล่าวปนอารมณ์หงุดหงิด “ได้ลิ้มรสอาการเมาที่แท้จริงแล้วสินะ จะคอยดูสิว่าวันหน้าวันหลังเจ้ายังจะดื่มสุรา ยังจะฝึกฝนทักษะการดื่มให้คอแข็งอีกหรือไม่ คิดยังไงถึงทำตัวเองให้เมาหัวราน้ำเช่นนี้ หากดื่มสุราแล้วมันช่วยได้ แล้วยังจะร่ำเรียนตำราไปเพื่ออะไรห๊ะ”
หลี่หมิงอวินหยิบชุดคลุมมาสวมใส่อย่างเชื่องช้า ขณะฟังนางบ่นเป็นหมีกินผึ้ง นั่นทำให้เขาอดอมยิ้มไม่ได้ “สามีอย่างข้าจะจดจำคำสอนของภรรยาให้ขึ้นใจ”
หลินหลันกรอกตาใส่เขาอย่างเอือมระอา “เจ้าช่วยพูดจาทะเล้นให้มันน้อยๆ หน่อย รีบไปล้างหน้าล้างตาเสีย ดึกๆ ดื่นๆ ประเดี๋ยวคอแห้ง ประเดี๋ยวอยากอาเจียน หากเจ้าทำให้ข้าลำบากเช่นนี้อีก วันหลังข้าจะให้ป๋ายฮุ่ยมาคอยปรนนิบัติเจ้าตอนกลางคืน ทำให้เจ้าสมความปรารถนาไปเสียที”
หลี่หมิงอวินตกตะลึงต่อพูดคำเหล่านี้ของนาง เหตุใดเขาถึงไม่รู้ตัวเลยล่ะ แต่เมื่อมองดูขอบตาที่ดำคล้ำของนาง จึงต้องกล่าวออกไปด้วยความรู้สึกละอายแก่ใจ “ขอโทษที่ทำให้เจ้าลำบาก วันหลังข้าจะพยายามไม่ดื่มอีกแล้ว”
“ยังไม่จบนะ! ไว้รอเจ้าเลิกงานกลับมาก่อน ข้าค่อยคิดบัญชีกับเจ้าอีกที” หลินหลันกล่าวด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง
หลี่หมิงอวินกล่าวด้วยความตกใจ “คิดบัญชีอะไรกัน!’
“ตอนนี้ขี้เกียจจะเสวนากับเจ้าแล้ว มัวต่อความยาวสาวความยืดเดี๋ยวจะสายไปกันใหญ่ วันนี้ข้ายุ่งมากด้วย! ท่านพ่อเจ้าต้องแต่อนุภรรยาเข้าบ้าน ข้าจำเป็นต้องไปเตรียมตัวเข้าร่วมพิธี” หลินหลันหยิบผ้าห่มที่เขาห่มพับมันจนเรียบร้อยแล้วโยนไว้ฝั่งหนึ่ง ด้วยกลิ่นสุราที่ยังคงหลงเหลือนางจึงต้องให้หรูอี้นำไปซักเสียก่อน หลังจากนั้นถึงไปเปิดประตูออก ตามด้วยป๋ายฮุ่ยและหยินหลิ่วที่ถึงน้ำร้อนเข้ามาด้านใน
หลี่หมิงอวินไปชำระล้างร่างกายอย่างเอื่อยๆ “เมื่อคืนข้าพูดคำหยาบอะไรออกไปหรือเปล่า” เขาเอ่ยถามหยินหลิ่วด้วยเสียงแผ่วเบา
หยินหลิ่วครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะแล้วจึงส่ายหน้า “พอเอ้อร์เส้าเหยียเอนกายนอนหลงก็หลับใหลแล้วเจ้าค่ะ”
หลี่หมิงอวินแอบถอนหายใจอย่างโล่งอก ไม่ได้พูดก็ดีแล้ว มิเช่นนั้นคงนึกภาพไม่ออกเลยว่าจะทำให้หลินหลุนขุ่นเคืองถึงเพียงใด สุรานี่มันไม่ใช่ของที่ดีเลยจริงๆ วันหลังคงต้องแตะต้องให้น้อยที่สุดจะเป็นการดี
ป๋ายฮุ่ยมองดูนายน้อยที่สีหน้าไม่ค่อยสู้ดีนัก จึงกล่าวถามด้วยน้ำเสียงอันนุ่มนวลอย่างห่วงใย “เอ้อร์เส้าเหยียรู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือไม่เจ้าคะ”
หลี่หมิงอวินหาได้สนใจคำถามเมื่อครู่ไม่ “หยินหลิ่ว เจ้าช่วยหูไวตาไวไว้หน่อย หากเอ้อร์เส้าหน่ายนายบ่นด้วยความไม่พึงพอใจอะไรออกมา ทันทีที่เข้ากลับมาเจ้าก็คิดหาวิธีมาบอกกล่าวข้าให้เร็วที่สุด”
หยินหลิ่วถึงกับตกตะลึง ให้นางเป็นสายสืบหรือไร
หลี่หมิงอวินมองเห็นสีหน้าลำบากใจของหยินหลิ่วจึงกล่าวอธิบาย “ดูเหมือนเอ้อร์เส้าหน่ายนายกำลังโกรธ ข้าก็ไม่รู้ว่านางโกรธด้วยเหตุอันใด เจ้าช่วยข้าสืบเสาะดูหน่อยแล้วกัน”
อ่อ เป็นเช่นนี้นี่เอง “ข้าน้อยรับทราบเจ้าค่ะ” หยินหลิ่วและยิ้มเล็กยิ้มน้อยออกมา
ป๋ายฮุ่ยตกอยู่ในภวังค์แห่งความเงียบงัน ก่อนหน้านี้ไม่ว่าจะเรื่องอันใดนายน้อยก็จะเรียกใช้นางเสมอ ทว่าตอนนี้…ดูเหมือนนางจะกลายเป็นคนที่ไร้ตัวตนไปเสียแล้ว
ทันทีที่หลี่หมิงอวินออกไป หลินหลันก็ปีนขึ้นเตียงนอนเพื่อหลับเอาแรงอีกสักหน่อย การพักผ่อนที่เพียงพอเป็นการรักษาและบำรุงผิวพรรณได้อย่างมีประสิทธิผลมากที่สุด ผิวพรรณที่ดีของหลินหลัน หนึ่งเป็นเพราะได้มาแต่กำเนิด สองคือการพึ่งพาการดูแลรักษา ข้าวปลาอาหารจะกินให้น้อยหน่อยก็ไม่เป็นไร แต่เรื่องนอนหลับพักผ่อนจะให้ขาดไม่ได้เชียว เมื่อคืนนางถูกรบกวนตลอดทั้งคืนจนไม่เป็นอันได้นอนหลับสนิท ตอนนี้จึงง่วงจนฝืนไม่ไหว ไม่สนใจกลิ่นอ่อนๆ ของสุราที่ยังติดอยู่บนเตียงนอนอีกต่อไป หลินหลันปิดเปลือกตาลง ไม่ครุ่นคิดอะไรทั้งสิ้น ชั่วพริบตานางก็เข้าสู่ห้วงนิทราไปอย่างสนิท
เพราะวันนี้เป็นวันดีของพ่อหลี่ผู้ไร้ยางอายเขาจึงดูสดชื่นและมีความสุขเป็นพิเศษ บวกกับเสื้อคลุมสีแดงเลือดหมูตัวใหม่ ทำให้ดูเป็นเจ้าบ่าวจริงๆ คนใหม่ขึ้นมาจริงๆ ภายใต้อายุสี่สิบเศษๆ ด้วยพื้นฐานร่างกายที่ดีเป็นทุนเดิม และยังได้รับการดูแลเป็นอย่างดี จึงทำให้ยังดูเป็นหนุ่มเป็นแน่น หลินหลันมองดูสีหน้าค่าตาของเขาที่เปี่ยมไปด้วยความสุข ก็อดรำพึงรำพันขึ้นมาในใจมิได้ มันคงไม่ง่ายเหมือนกันสำหรับพ่อหลี่ผู้ไร้ยางอายเพื่อตำแหน่งหน้าที่การงานในอนาคต แม้แต่นางรำเรอก็ไม่กล้ามี จนในที่สุดตอนนี้ก็ได้สมหวังดั่งปรารถนา ไม่อยากจะนึกว่าเมื่อคืนคงจะเพลิดเพลินกันจนไม่ได้หลับได้นอนเลยกระมัง
หลังจากนั้นก็หันไปมองดูแม่มดชราที่อยู่ข้างๆ ซึ่งแต่งหน้าแต่งตัวมาอย่างครบองค์ทรงเครื่องไม่แพ้กัน นางสวมใส่ชุดผ้าทอลายทแยงสีแดงเหลื่อม บนตัวเต็มไปด้วยเครื่องประดับล้ำค่าไม่ว่าจะเป็นปิ่นทองเอย ทับทิมเม็ดโตเอย ไข่มุกเอย น่าเสียดายก็แต่ ต่อให้แต่งหน้าแต่งตัวสักเพียงใด ก็เป็นได้แค่หญิงวัยกลางคนที่นั่งอยู่ข้างกายพ่อหลี่ผู้ไร้ยางอายเท่านั้นเอง
ติงหลั้วเหยียนสองสามีภรรยาล้วนไม่มาเข้าร่วมพิธีนี้ด้วย ส่วนหมิงจูคาดเดาได้ว่าแม่มดชราคงจะไม่ให้มาร่วมด้วยเช่นกัน ดังนั้น ผู้ร่วมพิธีจึงมีเพียงสามคนเท่านั้น มันช่างเงียบเหงาเสียจริง ยังดีที่ภายในห้องยังมีสาวใช้มาด้วยอีกจำนวนหนึ่ง
เดิมทีหลินหลันอยากเห็นละครศึกบ้านใหญ่คุกคามบ้านเล็กอย่างจริงๆ จังๆ สักฉาก แต่สุดท้ายก็ไม่เห็นอะไรนอกจากภาพบรรกาศอันแสนกลมกลืน ต่างจากตอนที่นางพ้นประตูเข้ามาในบ้านหลังนี้ อย่างจะไปว่าแล้วก็คงไม่แปลก ด้วยพ่อหลี่ผู้ไร้ยางอายนั่งอยู่ข้างๆ แม่มดชราเช่นนี้ แล้วมีหรือที่นางจะกล้าเล่นกลอุบายอะไรได้อีก
หลินหลันมองดูอย่างเบื่อหน่าย หลังดื่มน้ำชาของหลิวอี๋เหนี่ยงแล้ว มอบของขวัญแสดงความยินดีแล้ว ก็เป็นอันเสร็จสิ้น
นี่มันไม่สนุกเอาเสียเลย หลินหลันจึงกลับเรือนหลั้วเซี๋ยจายไปอย่างจิตใจเลื่อนลอย
“เรื่องที่เอ้อร์เส้าหน่ายนายให้สอบถาม ทางด้านท่านลุงตอบกลับมาแล้วเจ้าค่ะ” แม่โจวเข้ามารายงาน
หลินหลันดึงสติกลับคืนมาทันทีทันใด “อ่อ? ว่าอย่างไรบ้างหรือ”
แม่โจวกล่าว “คำพูดนั้นเป็นข้ารับใช้ในตระกูลเยี่ยล่ำลือกันออกไปจริงๆ เจ้าค่ะ แล้วยังไปพูดกันต่อๆ ที่ร้านผ้าไหม จนฮูหยินตระกูลเว่ยไปได้ยินเข้า ตอนนี้ท่านลุงได้สั่งจับตัวการปล่อยคำล่ำลือนั้นเอาไว้แล้วลงโทษสถานหนักก่อนจะส่งกลับไปยังเฟิงอานแล้วเจ้าค่ะ”
“แล้วคนในร้านผ้าไหมรู้เรื่องนี้กันได้อย่างไรหรือ” หลินหลันกล่าวอย่างข้องใจ
แม่โจวกล่าว “จะเป็นผู้ใดไปได้เจ้าคะหากมิใช่คนข้างกายต้าเสี่ยวเจี่ยะ แม่ติงผู้นั้นปากคอเราะร้ายใช่ย่อย ท่านลุงเห็นแก่หน้าต้าเสี่ยวเจี่ยะจึงไม่ลงโทษสถานหนัก และสั่งให้นางกลับไปกินเงินบำนาญแล้วเจ้าค่ะ”
แม่ติงกัดนางไม่ยอมปล่อยเช่นนี้ จะเป็นเพราะอะไรไปได้หากมิใช่การออกหน้าเพื่อเยี่ยซินเอ๋อร์
หลินหลันเอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง “ต้าเสี่ยวเจี่ยะอายุก็ไม่ใช่น้อยๆ แล้ว เหตุใดถึงยังไม่แต่งงานอีกหรือ”
“กำลังเจรจาอยู่เจ้าค่ะ ครอบครัวฝ่ายชายไม่เลวทีเดียว ท่านลุงค่อนข้างฝากความหวังไว้ไม่น้อย แต่อย่างไรก็ตาม บ่าวได้ยินมาว่าต้าเสี่ยวเจี่ยะไม่ยินยอมแต่ง ขนาดที่ว่าอดอาหารไปหลายวันหลายคืน จนท่านลุงและฮูหยินทรมานใจ เรื่องนี้ก็เลยถูกพักไว้ก่อนชั่วคราวเจ้าค่ะ” แม่โจวเอ่ย
ไม่ยอมแต่งงาน เพราะในใจยังคงปล่อยวางหลี่หมิงอวินไม่ได้งั้นหรือ
“แม่โจว เรื่องบางเรื่อง ท่านไม่พูดข้าไม่พูด ทว่าเราต่างก็รู้กันดีอยู่แก่ใจ ในใจของต้าเสี่ยวเจี่ยะคิดอย่างไร แล้วเหตุใดแม่ติงต้องแต่งเรื่องให้ร้ายข้าด้วย เกรงก็แต่ว่าตราบใดที่ต้าเสี่ยวเจี่ยะยังไม่ออกเรือน นางก็คงไม่มีวันถอดใจอย่างแน่นอน” หลินหลันกล่าวอย่างเคร่งขรึม มิใช่นางเกรงกลัวการพูดให้ร้ายของเยี่ยซินเอ๋อร์ แต่นางรู้สึกรังเกียจวิธีการที่เยี่ยซินเอ๋อร์ใช้ หลี่หมิงอวินมีภรรยาเป็นตัวเป็นตนแล้วแท้ๆ แต่นางยังคงไม่ยอมปล่อยวางเสียที
แม่โจวกล่าวภายใต้ท่าทีกระดากใจอยู่เล็กน้อย “บ่าวจะคิดหาวิธีย้ำเตือนท่านลุงไว้หน่อยเจ้าค่ะ เอ้อร์เส้าหน่ายนายท่านคงยังมิรู้ว่าท่านลุงของนายน้อยเป็นผู้ที่นิสัยใจร้อน หากรับรู้ความนึกคิดของต้าเสี่ยวเจี่ยะเข้า เกรงก็แต่ว่า…”
“ถึงอย่างไรก็ดีกว่าต้องขายหน้าในวันข้างหน้า” หลินหลันเอ่ยเพียงประโยคเดียวอย่างสั้นง่ายได้ใจความ เดาว่าเยี่ยซินเอ๋อร์วันๆ คงเอาแต่คิดว่าจะทำอย่างไรดีถึงสามารถแต่งงานกับหลี่หมิงอวินได้ อย่าได้รอจนถึงเวลานางทำเรื่องให้ขายหน้าขึ้นมา จนใครต่อใครพากันมองไม่ดีไปหมด
แม่โจวคิดว่าที่พูดมาถูก ทันใดนั้นนัยน์ตาของนางก็เผยให้เห็นถึงความเฉียบขาด “บ่าวรู้แล้วเจ้าค่ะว่าควรทำเช่นไร”
หลังจากแม่โจวออกไปหลินหลันก็มุ่งตรงไปยังห้องปรุงยา หลายวันมานี้นางมีแต่เรื่องชวนอัดอั้นตันใจ ได้เวลาทำงานทำการเพื่อระบายความอัดอั้นออกมาเสียหน่อย
ขณะที่หยินหลิ่วกำลังช่วยบดยาอยู่นั้นก็นึกถึงคำสั่งการของนายน้อยขึ้นมาได้ ทว่านายหญิงน้อยเอาแต่นิ่งเงียบไม่พูดไม่จา นางจึงเริ่มเปิดบทสนทนาสักถาม “เอ้อร์เส้าหน่ายนายเจ้าคะ ที่ท่านเอ่ยว่าหลังจากนี้เอ้อร์เส้าเหยียต้องเข้าสังคมพบปะผู้คนมากขึ้น แล้วเช่นนี้จะเมามายกลับมาบ่อยครั้งหรือไม่เจ้าคะ”
หลินหลันสบถฮึอย่างเย็นชา “เขากล้าหรือ”
“เอ้อร์เส้าหน่ายนายท่านคงโกรธมากเลยสินะเจ้าคะ”
หลินหลันใช้มีดสับสมุนไพรจนเกิดเสียงดัง “ทำไมวันนี้เจ้าถึงได้พูดมากนัก ตั้งหน้าตั้งตาทำงานไปเสีย”
หยินหลิ่วรู้สึกลำบากใจ ได้แต่รำพึงรำพันภายในใจ เอ้อร์เส้าเหยีย มิใช่ข้าน้อยไม่ช่วยท่าน แต่ข้าน้อยจนปัญญาแล้วจริงๆ
เมื่อหลินหลันนึกถึงเรื่องเมื่อคืนที่หลี่หมิงอวินดื่มจนเมามายแล้วยังด่านางว่าซื่อบื้ออีก ยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห นางซื่อบื้อยังไงหรือ นางซื่อบื้อตรงไหนล่ะ คืนนี้ต้องจัดการให้เขาพูดออกมาให้ชัดเจน
ทันทีที่หยินหลิ่วหันหน้าไปมองนายหญิงอีกทีก็เป็นอันต้องตกใจ นายหญิงของนางถือมีดไว้ในมือภายใต้สายตาที่ฉายแสงแห่งความดุดัน ราวกับต้องการไปรบรันฟันแทงกับผู้ใด เอ้อร์เส้าเหยียเจ้าคะ ขอให้ท่านแคล้วคลาดปลอดภัยนะเจ้าคะ!