กู้ชูหน่วนปล่อยมือ กล่าวว่า“ระฆังวิญญาณสะบั้นมีเพียงอันเดียว แต่ทว่าพวกเจ้ากลับมีสองคน ไม่ว่าข้าจะมอบแก่ใคร คนอีกผู้หนึ่งก็ไม่มีทางปล่อยข้า แล้วนี่จะทำอย่างไรกัน?”

คนชุดดำทั้งสองคนได้ยิน ต่างได้ทยอยชี้ยกกริชไปที่ฝ่ายตรงข้ามเพื่อสังหารกัน

กู้ชูหน่วนส่ายศีรษะ

“เห้อ ความฉลาดเฉลียวนี้ ข้าก็มึนเมาแล้ว ไปเถิดพวกเราไปที่หอไร้กังวลกัน”

เซี่ยวอวี่เซวียนมองกู้ชูหน่วนกับอี้เฉินเฟยที่เดินเคียงบ่าเคียงไหล่กัน และมองไปทางคนสวมชุดดำด้านหลังสองคนที่ต่อสู้กัน จนมึนงงเลยทีเดียว

“แบบนี้ก็ได้หรือ?”มิน่าเล่าแม่สาวอัปลักษณ์นั่นถึงได้บอกว่าพวกเขาฉลาดน้อย

“นี่ พวกเจ้ารอข้าด้วย”

หอไร้กังวล ที่นี่เป็นที่ซ่องสุมชุมนุมที่ใหญ่สุดของนครหลวง

ที่แห่งนี้ไม่เพียงแต่รวบรวมสาวงามชั้นนำทั้งเมืองไว้เท่านั้น แต่ยังมีคณิกาที่หล่อเหลาและหลากหลายอีกด้วย

นี่เพิ่งจะเข้าสู่ค่ำคืน ที่นี่ก็เต็มไปด้วยเสียงผู้คนจอแจวุ่นวายแล้ว คนที่มาล้วนเป็นพ่อค้าร่ำรวยมั่งคั่ง ด้านหน้าประตูหอไร้กังวลมีหญิงงามยืนอยู่จำนวนไม่น้อย และกำลังทุ่มสุดตัวในการเรียกแขกกันอยู่

การมาของพวกกู้ชูหน่วนสามคนนั้น ดึงดูดผู้คนอย่างมาก

มันล้วนไม่มีเหตุผลอื่น

ข้างกายของนางมีผู้ชายสองคน รูปร่างหน้าตาหล่อเหลา บวกกับนางแม้ว่าจะสวมใส่ผ้าคลุมหน้า ก็แสดงออกถึงความเป็นชนชั้นสูงโดยกำเนิดในท่าทางของนาง

พวกเขาทั้งสามคน แม้ว่าจะอยู่ท่ามกลางผู้คนก็ยังเป็นจุดที่สว่างไสวน่าสนใจ

อีกอย่างพวกเขาทั้งหมดสวมใส่แต่งกายด้วยผ้าไหมคุณภาพสูง และดวงตาของคนหอไร้กังวลนั้นเป็นพิษเป็นภัยมากกว่าใครกัน จะดูไม่ออกไม่รู้ได้อย่างไร

สาวสวยจำนวนหนึ่งรีบเข้ามาล้อมรอบ ร่างกายอรชรอ้อนแอ้นอิงแอบเซี่ยวอวี่เซวียนอยู่เป็นนิจ

“ไอ๋หย๋า นี่ไม่ใช่คุณชายเซี่ยวหรือ นานเท่าไหร่แล้วที่ท่านไม่ได้มา คิดถึงข้าแล้วสิ”

“คุณชายเซี่ยว ครั้งก่อนท่านยังบอกว่าจะพาข้าไปลอยกระทง ผลสรุปพอหันมา ท่านก็ไปโปรดปรานพี่มู่ตานเสียแล้ว ท่านลืมข้าแล้วใช่หรือไม่เจ้าคะ”

กู้ชูหน่วนเอามือกอดอกมอง หัวเราะเย้ยหยันกล่าวว่า“เสี่ยวเซวียนเซวียน ดูเหมือนว่าเจ้าก็มีเรื่องรักๆใคร่ๆนะ”

เซี่ยวอวี่เซวียนหน้าอึมครึม

มาท่องเที่ยวหอนางโลมสถานที่เยี่ยงนี้ มองอย่างไรก็ไม่สบอารมณ์อย่างนั้น

อีกทั้งนครหลวง ยังไม่มีหญิงคนไหนกล้าที่จะมาท่องเที่ยวหอไร้กังวลอย่างเปิดเผยหรอกกระมัง

เซี่ยวอวี่เซวียนผลักสาวงามเหล่านั้นออกอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก จากนั้นได้หยิบตั๋วเงินออกมาทิ้งโยนให้แก่พวกนาง ปากกล่าวออกมาอย่างไม่พึงพอใจว่า“วันนี้ข้าไม่ได้ต้องการมาหาผู้หญิง ออกไปกันได้แล้ว”

“คุณชายเซี่ยว ไม่รู้ว่าทั้งสองท่านนี้คือ…..มองแล้วดูไม่คุ้นหน้าคุ้นตาเลย มิสู้ให้ข้ามาอยู่เป็นเพื่อนพวกเขาเถิด”

พูดแล้ว หญิงนางหนึ่งจึงเฉไฉเข้าหา

เซี่ยวอวี่เซวียนรั้งไว้ กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “บอกแล้วว่าวันนี้ไม่ได้ต้องการมาหาผู้หญิง ออกไปกันเสียให้หมด”

โอบกอดสาวงามนั่น กระตุกยกกรามขึ้นเย้ย ทอดถอนลมหายใจอย่างแผ่วเบาอยู่ข้างกกหูนาง ยิ้มแล้วกล่าวขึ้นว่า“สาวงามบอบบาง อารมณ์อ่อนไหว ต้องทะนุถนอม พวกท่านที่เป็นชายหยาบโลน

เซี่ยวอวี่เซวียนกระทืบเท้าด้วยความโมโหอย่างสุดขีด กล่าวฟ้องอี้เฉินเฟยว่า“ท่านดู ดสิว่านางมีความสงบเสงี่ยมสักนิดหนึ่งหรือไม่?เหตุใดท่านถึงได้ยอมให้นางเลอะเทอะมาหอไร้กังวลสถานที่สกปรกเยี่ยงนี้ได้?”

อี้เฉินเฟยยิ้มเจื่อน กล่าวขึ้นว่า“ข้าแพ้ให้นาง เจ็ดวันนี้ทำได้เพียงกินเที่ยวกับนางแล้ว แม้แต่อิสระล้วนไม่มี นางต้องการมา ข้ามีวิธีอะไรเล่า?”

“ท่านเกลี้ยกล่อมไม่ได้เชียวหรือ?”

“คนที่พ่ายแพ้มีสิทธิ์ตักเตือนเกลี้ยกล่อมหรือ?”

น่าตื่นตะลึง

อี้เฉินเฟยไม่ใช่ว่าแทบอยากจะให้ชื่อเสียงนางยุ่งเหยิงหรอก?

เซี่ยวอวี่เซวียนยิ่งคิดยิ่งว่าอาจจะใช่

“ข้าขอสั่งท่าน พานางออกมา คืนนี้นางอยากจะไปไหนได้หมด จะมีเพียงแค่ไม่สามารถอยู่ที่ซ่องหอนางโลมเท่านั้น”

หอไร้กังวลเสียงดังมาก เซี่ยวอวี่เซวียนฟังไม่ค่อยชัดว่าอี้เฉินเฟยพูดสิ่งใด

ช่วงที่ในภวังค์ฟังไม่ชัด ดูเหมือนเขาจะได้ยินอี้ เฉินเฟยทอดถอนหายใจออกมาอย่างจนปัญญา และพูดเบา ๆ ว่า “นางเหนื่อยมาหลายปีแล้ว เป็นการดีที่จะปล่อยให้นางได้ผ่อนคลายบ้าง”

อะ…อะไรนะ?

หูของเขาเกิดความหลอนแล้วหรือนี่?

เมื่อครู่นี้อี้เฉินเฟยกล่าวพูดสิ่งใดกัน?