เป็นเพราะว่าตอนนั้นเขามุ่งมั่นใจจริง หรืออาจจะเพราะว่าพระราชวังไม่อยากเห็นเริ่นเสี่ยวซู่ต้องตายลง การขอบคุณเจ็ดครั้งนั้นจึงได้เหรียญคำขอบคุณมา แต่รอบนี้เขาไม่ได้สักกะเหรียญ

เริ่นเสี่ยวซู่คิดว่ามันน่าเสียดายไม่น้อยเลย ถ้ารู้แบบนี้ตอนนั้นคงขอบคุณเพิ่มเสียอีกหลายๆ รอบ!

เริ่นเสี่ยวซู่ไม่ทันสังเกตเลยว่าเหยียนลิ่วหยวนที่อยู่ข้างเขานั้นกำลังงงตาแตก คนอื่นอาจจะไม่ได้ยินเริ่นเสี่ยวซู่ แต่เหยียนลิ่วหยวนได้ยินเต็มสองรูหู

บาดแผลทางจิตใจจากการโดนเริ่นเสี่ยวซู่ขอให้พูดขอบคุณทั้งคืนเขายังจำไม่รู้ลืม ตอนนี้พี่เขาถึงกับขอบคุณตัวเองแล้วด้วย แล้วอะไรคือการขอบคุณตัวเองที่กินองุ่นไม่ปอกเปลือกเนี่ย ขอบคุณได้โคตรปลอม!

จู่ๆ ก็เกิดความวุ่นวายในฝูงชนอีกครั้ง หวังอี้เหิงสั่งให้ผู้อพยพค้นตัวทุกคนที่อยู่นี่ เขาคงคิดจะยึดครองเสบียงของทุกคนไปสิ้น

เดี๋ยวนะ ไม่ใช่แค่อาหารแล้ว!

เริ่นเสี่ยวซู่เห็นพวกผู้อพยพให้ชาวป้อมปราการถอดนาฬิกาข้อมือออก ไหนยังจะมีพวกเครื่องประดับอีก ไม่เหลือสักชิ้นเลย

พวกชาวป้อมปราการที่เพิ่งหนีออกจากป้อมปราการมาช่างน่าเศร้าเสียจริง เมื่อเช้าเสียทั้งครอบครัวเสียทั้งบ้านเรือน ตอนกลางคืนยังมาต้องเสียทรัพย์สินทุกอย่างไปอีก พอไปถึงป้อมปราการ 109 แล้ว พวกเขาคงไม่เหลืออะไรไว้ขายตั้งตัวแล้ว

หวังฟู่กุ้ยเป็นกังวลขึ้นมา “เสี่ยวซู่ พวกเขาคงไม่เข้ามาเอาของพวกเราด้วยใช่ไหม”

ว่าตามตรงแล้ว ตอนนี้หวังฟู่กุ้ยเอาทรัพย์สินที่เก็บทั้งชีวิตมา มียารักษาโรค มีเครื่องทอง และมีเงินสดอยู่กับตัว ของพวกนี้มีค่ามหาศาล ผู้อพยพพวกนั้นไม่กล้าพลาดไปแน่นอน

แต่เริ่นเสี่ยวซู่ส่ายหน้า “ไม่ต้องห่วงไปลุง ไม่มีใครกล้าเอาของพวกเราไปหรอก”

จริงๆ แล้วเริ่นเสี่ยวซู่ไม่คิดจะไปยุ่งเกี่ยวกับหวังอี้เหิงและพรรคพวกเลย เขาแค่อยากไปถึงป้อมปราการ 109 ให้ได้อยากปกติสุข ขอเพียงแค่นั้นเป็นพอ แต่ปัญหาคือว่า แม้เขาจะไม่สร้างปัญหา ปัญหาก็มาเยือนสร้างปัญหาให้เขาอยู่ดีนี่สิ

ตอนนี้ฝูงชนหนีตายไม่ต่างกับฝูงแกะฝูงหนึ่ง คนกว่าสามพันคน โดนผู้อพยพหกร้อยกว่าค้นตัว ไม่มีใครต่อต้านหรือกล้าอาจพูดอะไรแม้แต่นิด ถึงกับไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัวหนีด้วยซ้ำไป

เริ่นเสี่ยวซู่ไม่เข้าใจเรื่องนี้เลย ถ้าคนทั้งสามพันชูมือต่อต้าน มีหรือคนแค่หกร้อยจะทำอะไรได้

พวกผู้อพยพป่าเถื่อนกว่าคนในป้อมปราการก็จริง แต่สองหมัดยากต้านทานสี่ฝ่ามือ จะกลัวอะไรกันนักหนา

เริ่นเสี่ยวซู่มองไปที่กลุ่มคน แล้วเห็นว่าครูสาวกำลังลอบนำนักเรียนถอยหลังไปเรื่อยๆ ดูเหมือนว่าเธอคิดจะพยายามหลบเลี่ยงไม่ให้พวกเธอถูกค้น

ตอนที่ผู้อพยพเริ่มค้นตัวชาวป้อมปราการนั้น พวกเขายังรีๆ รอๆ ด้วยความกลัวอยู่บ้าง อย่างไรเสีย ในมุมมองของพวกเขา บุคคลในป้อมปราการเป็นชนชั้นที่ไม่อาจเอื้อมมาตลอด

แต่หลังจากเห็นว่าคนจากในป้อมปราการไม่กล้าหืออืออะไรแม้แต่น้อย พวกเขาก็มีความกล้าขึ้นเรื่อยๆ บางคนยามค้นตัวผู้หญิงนั้นมือถึงกับอยู่ไม่สุข!

ตอนนี้เอง ครูสาวก็พานักเรียนมาอยู่ข้างหลังกลุ่มของเริ่นเสี่ยวซู่แล้ว เธอคงกำลังดูสถานการณ์อยู่ว่าควรถอยไปมากกว่านี้ไหม

แต่ว่ามีผู้อพยพกลุ่มหนึ่งเดินมาทางนี้แล้ว

เริ่นเสี่ยวซู่มองไปแล้วอดสงสัยไม่ได้ว่าพวกเขาจะจำตนได้ไหม แต่พวกเขาเปลี่ยนผ้าผ่อน ทั้งลอบเร้นอยู่ท่ามกลางผู้คน ตนคงไม่ถูกจำได้ง่ายขนาดนั้นแหละมั้ง?

ผู้อพยพนับสิบเดินมาพร้อมกับกระเป๋าน้อยใหญ่ ในมือสวมนาฬิกาที่ชิงมาจากชาวป้อมปราการ

ทั้งในเมืองและป้อมปราการ นาฬิกาข้อมือนั้นต่างเป็นของมีค่าสูงยิ่ง ตอนที่เมืองน้อยยังอยู่ มีแต่เหลาหลี่แห่งร้านขายของชำเท่านั้นที่มี ขนาดหวังฟู่กุ้ยยังไม่มีเลย!

ดูเหมือนว่ากลุ่มคนที่หนีมา จะมีคหบดีชนชั้นสูงอยู่บ้าง แต่ตอนนี้อำนงอำนาจใดที่เคยเถลิงใช้ ล้วนหายไปหมดสิ้นแล้ว

เริ่นเสี่ยวซู่มองดูผู้อพยพหลายสิบนั่นเดินเข้ามาโดยไม่พูดอะไรออกไป ทว่าพอพวกผู้อพยพเห็นเริ่นเสี่ยวซู่ พวกเขาก็แข็งค้างไปทันที เริ่นเสี่ยวซู่ได้แต่ลอบถอนหายใจ

ไหงเขาแม่*โดนจำง่ายจังวะ

การปลอมตัวของเขาหาความสำเร็จไม่ได้เลย

ขณะที่เริ่นเสี่ยวซู่กำลังคิดอยู่ว่าจะจัดการพวกผู้อพยพอย่างไรดี คนที่เป็นผู้นำการค้นตัวริบทรัพย์ผู้อื่นก็เดินอ้อมกลุ่มเริ่นเสี่ยวซู่ไปยังกลุ่มอื่นแล้ว

คนที่อยู่ใกล้เริ่นเสี่ยวซู่หันมามองอย่างประหลาด เกิดอะไรขึ้นกันหนอ ไฉนผู้อพยพผู้ดุร้ายถึงอ้อมเด็กหนุ่มคนนี้ไปล่ะ

ทำไมถึงทำเช่นนั้นกัน เขาแค่เด็กอายุย่างสิบหกสิบเจ็ดเองไม่ใช่หรือ

ว่าตามตรงแล้วพวกเขาเห็นเต็มสองตา ตอนที่พวกผู้อพยพพวกนั้นเห็นเริ่นเสี่ยวซู่ ใบหน้าของพวกเขาก็ปรากฏความหวาดกลัวขลาดเขลา ราวกับว่าพวกเขาโดนเริ่นเสี่ยวซู่ทำให้ขวัญหนีดีฝ่อไปเสียแล้วอย่างไรอย่างนั้น

แต่พวกเขานั้นไม่อาจเข้าใจได้ว่าทำไมพวกผู้อพยพถึงกลัวเริ่นเสี่ยวซู่นัก

พวกเขาไม่รู้เลยว่าแม้กระทั่งตอนอยู่ในเมือง ยังไม่มีใครกล้าหาเรื่องเริ่นเสี่ยวซู่ ยิ่งเวลากำลังหลบหนีแบบนี้ยิ่งไม่กล้าเข้าไปใหญ่ คนผู้นี้ขึ้นชื่อเรื่องความดุร้ายอำมหิต แถมยังมีปืนติดตัวอีก!

ถึงพวกผู้อพยพจะรู้ว่าในกระเป๋าของหวังฟู่กุ้ยและหวังต้าหลงน่าจะมีของมีค่าไม่น้อย แต่พวกเขาก็ไม่กล้าเสี่ยงชีวิตอยู่ดี!

กลุ่มนักเรียนและครูสาวที่อยู่หลังเริ่นเสี่ยวซู่ลอบสังเกตการณ์ ครูสาวผู้นั้นมองหลังเริ่นเสี่ยวซู่ และดูราวกับกำลังตกอยู่ในภวังค์ความคิดอะไรบางอย่าง ริมฝีปากเธอเม้มแน่น

ขณะที่พวกผู้อพยพกำลังหันไปค้นตัวผู้อื่นนั้น เริ่นเสี่ยวซู่ก็พูด “อะแฮ่ม พวกนาย มาหาฉันหน่อยสิ”

พวกผู้อพยพแข็งค้างไปทันที พวกเขาค่อยๆ หันไปมองเริ่นเสี่ยวซู่ และพูดเสียงอึกอัก “อะไรเหรอ…”

“นาฬิกาข้อมือพวกนั้นไม่เลวเลยนี่” เริ่นเสี่ยวซู่พูด

พวกผู้อพยพหันมามองกันเอง ตอนนี้พวกเขาปล้นคนมามากกว่าพันคนแล้ว แต่ตอนนี้พวกเขาต้องมาโดนเริ่นเสี่ยวซู่ปล้นต่อเนี่ยนะ!

ฉิบหายแล้วไง!

ตอนนี้คนรอบๆ เกิดอาการพูดไม่ออกบอกไม่ถูกกันเลยทีเดียว มีคนที่ดุร้ายยิ่งกว่า!

จากนั้นผู้อพยพคนหนึ่งก็ค่อยๆ ถอดนาฬิกาข้อมือตัวเองออก แล้วยื่นให้เริ่นเสี่ยวซู่ด้วยสีหน้าอับอาย เขาบังเอิญได้เห็นเริ่นเสี่ยวซู่ฆ่าคนพวกนั้นที่อยู่ที่โรงเรียนน่ะสิ…

จากนั้นพวกผู้อพยพก็พลันคิดจะหันตัวจากไป พวกเขาอยากถอยไปให้ไกลจากเริ่นเสี่ยวซู่ให้มากที่สุด ทว่าเสียงเขากลับดังขึ้นมาอีกครา “นาย นาย นาย นาย! นาฬิกาข้อมือพวกนายสวยไม่เลวเลยนี่!”

คนทั้งสี่ที่ถูกเริ่นเสี่ยวซู่ชี้ใส่หน้าบิดเบี้ยว ยังไม่จบอีกเหรอวะ!

แต่พวกเขาจะพูดอะไรได้ล่ะ ได้แต่ก้มหัวยื่นนาฬิกาให้เริ่นเสี่ยวซู่อย่างไรเล่า! คนรอบๆ ตะลึงพรึงเพริดไป เจ้าหนุ่มนี่ร้ายกาจถึงขนาดไหนกันเนี่ย!

เริ่นเสี่ยวซู่ไม่ปล้นของอย่างอื่นต่อ อย่างไรก็ไม่อยากมีเรื่องกับพวกผู้อพยพมาก ให้ต่างคนต่างอยู่แบบนี้ดีกว่า เขาโบกมือ “ทำอะไรก็ทำต่อเถอะ”

พวกผู้อพยพหนีไปอย่างเร็วรี่ ความฮึกเหิมก่อนหน้าดับวูบ

เริ่นเสี่ยวซู่ยื่นนาฬิกาข้อมือสี่เรือนที่ชิงมาให้เสี่ยวอวี้และคนอื่นๆ เขาพูดอย่างภาคภูมิว่า “เอาล่ะ ต่อไปนี้พวกเราดูเวลาได้แล้ว”

เป็นครั้งแรกเลยที่หวังฟู่กุ้ยได้สวมนาฬิกาข้อมือ เขารับนาฬิกาข้อมือที่จะให้หวังต้าหลงมา จากนั้นก็พูดพร้อมยิ้มกว้าง “เร็ว รีบขอบคุณลุงเสี่ยวซู่เร็ว!”

หวังต้าหลงแทบน้ำตาไหลพรากแล้ว ทำไมจู่ๆ เขาก็โดนดันไปอยู่รุ่นต่ำกว่าเริ่นเสี่ยวซู่ได้ล่ะ!

เริ่นเสี่ยวซู่เริ่มฝันหวาน ปกติเขาไม่ค่อยชอบการปล้นคนอื่นหรอกนะ แต่ปล้นโจรผู้ร้ายก็ไม่เลวเหมือนกันนะเนี่ย เนอะ!?