บทที่ 106 นี่คือจุดจบของแม่พระหรือ

ตื๊อรักแพทย์หญิง ฉบับท่านอ๋อง

เซียวเยี่ยนยกมือขึ้นรวบรวมพละกำลังบนฝ่ามือ ขณะที่มีดสั้นนั้นยังมาไม่ถึงตัว เขาเบี่ยงกายเล็กน้อยยื่นมือไปจับข้อมือของอีกฝ่าย เสียงบิดดังกร๊อบ นางร้องอึกอักขึ้นครั้งหนึ่ง ต่อมาถูกเซียวเยี่ยนซัดฝ่ามือออกไปจึงกระเด็นออกไปล้มลงบนพื้น

ทั้งหมดที่เกิดขึ้นนี้ประดุจเมฆาเคลื่อนวารีไหลริน และเซียวเยี่ยนใช้มือเพียงข้างเดียว

สตรีคนนั้นดิ้นรนคลานลุกขึ้นจากพื้นคิดจะโจมตีอีกครั้ง นางกระอักเลือดเต็มปาก “ทรราช! ขุนนางกังฉิน! ข้าจะสังหารพวกเจ้า! เพื่อแก้แค้นให้กับคนสกุลกู้!”

ที่จริงเซียวเยี่ยนเตรียมจะออกกระบวนท่าปลิดชีพ ทว่ากลับเป็นเพราะได้ยินคำพูดประโยคนี้เขาจึงดึงพลังจากฝ่ามือคืนมา เตะมีดสั้นออกจากอุ้งมือของนางแล้วควบคุมตัวนางเอาไว้พร้อมกับไว้ชีวิตนาง

สตรีคนนั้นยังคงร้องตะโกนไม่หยุด “ข้าจะสังหารพวกเจ้า! พวกเจ้าคืนชีวิตคนในครอบครัวสกุลกู้ของข้ามา! ทรราช! ทรราช!”

หลินชิงเวยนั่งแปะลงกับพื้น หอบหายใจเข้าปอด หัวใจเต้นโครมครามไม่หยุด ดูเหมือนยังไม่ได้สติจากความเป็นความตายเมื่อสักครู่นี้

เวลานี้ไม่ว่าจะเป็นที่ใดล้วนไม่ปลอดภัยทั้งสิ้น อยู่นอกวังถูกคนตามล่าสังหาร อยู่ในวังยังถูกคนลอบเข้ามาตามล่าสังหาร

นางล้วนเป็นผู้ที่ถูกทำให้เดือดร้อนไปด้วย เดือดร้อนไปด้วยก็ช่างเถิด ยังต้องทุ่มเทสุดกำลัง

หลังจากประสบกับเรื่องเหล่านี้ ความกล้าหาญของหลินชิงเวยไม่อาจไม่หนักแน่นขึ้นสองส่วน

ได้ยินสตรีคนนั้นพูดถึงครอบครัวสกุลกู้ย่อมคาดเดาถึงฐานะของนางได้ไม่ยาก คิดดูแล้วต้องเป็นผู้รอดชีวิตของสกุลกู้ เพียงแต่ยามนี้ถูกจับกุมตัวเอาไว้แล้ว ฐานะของนางนั้นแบกรับโทษประหารไหนเลยจะมีเส้นทางให้เดินต่อไป

ครอบครัวสกุลกู้…ในใจของหลินชิงเวยรู้สึกไม่เป็นสุขลึกๆ นางกลัวเหลือเกินว่าความสงสัยของนางเมื่อแรกจะเป็นความจริง

สตรีนางนั้นถูกเซียวเยี่ยนสั่งให้คนนำตัวไปจองจำในคุกหลวง นางเดินไปพร้อมกับด่าทอ เซียวจิ่นได้สติคืนมาจึงมองหลินชิงเวยอย่างเป็นห่วง เขากล่าวอย่างตื่นตระหนกตกใจ “ชิงเวย เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?”

หลินชิงเวยส่ายหน้าก้มหน้าลงมองแขนของตน อาภรณ์ของนางถูกย้อมเป็นสีแดงทั้งตัวแต่ยังคงตอบว่า “ไม่เป็นไรเพคะ”

เซียวจิ่นย่อมมองเห็นเช่นกัน จึงร้องตะโกนเสียงหลง “หมอหลวง! รีบเชิญหมอหลวงให้เจิ้นโดยเร็ว!”

อุทยานหลวงซึ่งเดิมทีกำลังครึกครื้น ยามนี้เหลือเพียงร่องรอยความวุ่นวาย เหล่านางสนมเห็นเหตุการณ์วุ่นวายเบื้องหน้าต่างกรีดร้องเสียงแหลมแล้วหาหนทางหลบหนีเอาตัวรอด สถานที่แห่งนี้จึงเหลือเพียงองครักษ์และขันที

เพียงแต่องครักษ์เหล่านี้ยังสู้หลินชิงเวยซึ่งเป็นสตรีคนหนึ่งไม่ได้ รอกระทั่งพวกเขารู้ตัวและเข้ามาโอบล้อมไว้ หากมิใช่ด้วยหลินชิงเวยทุ่มเทกำลังสุดความสามารถเพื่อช่วยเหลือ มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าเซียวจิ่นอาจจะถูกแทงจนพรุนเป็นเม่นไปแล้วก็ได้ ถึงเวลานั้นที่พวกเขาจับกุมได้ก็เป็นเพียงผู้ที่ภารกิจสำเร็จ เป็นผู้บุกรุกที่ตายก็ไม่เสียดายชีวิตคนหนึ่งเท่านั้น

ด้วยเหตุนี้เซียวเยี่ยนจึงมีสีหน้าบูดบึ้ง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะโกรธแค้นผู้บุกรุกหรือองครักษ์เหล่านี้ ยามบ่ายวันนี้เขาได้เดินตรวจตราทุกกองกำลังได้รายงานว่าป้องกันเต็มกำลัง คิดไม่ถึงว่ากลับมีผู้บุกรุกเร้นกายเข้ามาได้

เซียวเยี่ยนกล่าว “ไม่ต้องเรียกหมอหลวงมา ส่งหลินเจาอี๋ไปสำนักหมอหลวงเถิด” พูดแล้วก็เรียกขันทีสองคนและองครักษ์กลุ่มหนึ่ง ประคองหลินชิงเวยขึ้นมาแล้วเดินผ่านร่างของเซียวเยี่ยนไป

หลินชิงเวยก้มหน้าต่ำ อาภรณ์สีเขียวอ่อนที่อยู่บนหัวไหล่นั้นยุ่งเหยิงคล้ายปรากฏให้เห็นลำคอขาวระหงส่วนหนึ่ง

เซียวจิ่นคิดว่าส่งหลินชิงเวยไปยังสำนักหมอหลวงจะเป็นการดีกว่า โอสถอันใดล้วนมีพร้อม ไม่ต้องให้หมอหลวงเสียเวลาเดินไปเดินมา

หลินชิงเวยเดินผ่านร่างของเซียวจิ่น นางหยุดเดินแล้วหันมาคลี่ยิ้มบางๆ และกล่าวว่า “ฝ่าบาทไม่เป็นไรกระมัง”

เซียวจิ่นจับมือของนางเอาไว้ “เจิ้นไม่เป็นไร ชิงเวย…” แววตาของเขาตกอยู่บนแขนของหลินชิงเวย แววตาคู่นั้นเปี่ยมไปด้วยความเป็นห่วงและเจ็บปวด ลูกนัยน์ตาสีดำและตาขาวของเขาตัดกันชัดเจน ซ้ำยังมีน้ำฉาบอยู่เป็นประกาย เหมือนสัตว์ตัวน้อยที่น่าสงสาร ทำให้คนที่พบเห็นล้วนอดไม่ได้ที่จะต้องใจอ่อน

หลินชิงเวยเอ่ยขัดคำพูดของเขา “ฝ่าบาทไม่ต้องกังวลเพคะ บาดแผลภายนอกฟื้นตัวเร็ว อีกทั้งหม่อมฉันเป็นหมอเช่นกัน”

พูดแล้วนางก็เดินผ่านร่างของเซียวจิ่น เซียวจิ่นมองส่งนางจนเดินไปไกล

หลินชิงเวยเดินไประยะหนึ่งก็งอท้องลง ให้ตายเถอะทำไมถึงเจ็บขนาดนี้ นางกลายเป็นแม่พระตั้งแต่เมื่อใดกัน แม้กระทั่งดาบของผู้อื่นนางก็ไม่เกรงกลัวเพื่อช่วยเด็กน้อยคนนั้น ผู้ใดบอกว่าบาดแผลภายนอกฟื้นตัวเร็ว ต่อให้เป็นหมอที่เก่งกาจกว่านี้ เมื่อพบว่าตนเองเจ็บป่วยล้วนต้องรีบทำการรักษาทั้งนั้น! เหตุใดนางจึงไม่รีบหลบหนีอย่างรวดเร็วเหมือนผู้อื่นเล่า วังหลวงแห่งนี้มีความผิดพลาดเรื่องความปลอดภัย ไม่ใช่ความผิดของนางเสียหน่อย เป็นความผิดพลาดของเซียวเยี่ยนกระมัง ผู้ใดใช้ให้เขาหาเงาไม่เจอแค่เพียงชั่วพริบตาเล่า

เชอะ นี่เป็นจุดจบของคนดี! หลินชิงเวยสำรวจตรวจตราบาดแผลของตนเอง ได้แต่บ่นกับตนเองว่า สมน้ำหน้า! เจ็บแทบตาย!

ทางด้านนี้หลินชิงเวยไปสำนักหมอหลวง ทางด้านนั้นเซียวเยี่ยนเข็นเก้าอี้ของเซียวจิ่น “ไปเถิด หม่อมฉันส่งฝ่าบาทกลับไปก่อน”

หลังจากกลับมาถึงตำหนักซวี่หยาง นางกำนัลปรนนิบัติเซียวจิ่นล้างหน้าบ้วนปากแล้วส่งเขาขึ้นนอนบนเตียง เซียวจิ่นไม่ได้รบเร้าเซียวเยี่ยน เซียวเยี่ยนรั้งอยู่ที่นั่นไม่นานก็จากไป

เซียวจิ่นรู้ว่าเขายังมีเรื่องอื่นต้องไปทำ ฐานะของผู้บุกรุกยังต้องหาเบาะแสเพื่อตรวจสอบให้ชัดเจน ยังมีบาดแผลของหลินชิงเวยที่ไม่รู้ว่าเป็นอย่างไรบ้าง

ขณะที่เซียวเยี่ยนกำลังจะเดินออกประตูห้องไป เซียวจิ่นพลันร้องเรียกขึ้น “เสด็จอา หากท่านมีเวลาว่าง ช่วยไปดูชิงเวยที่สำนักหมอหลวงแทนเจิ้นด้วยเถิด นางอยู่ที่สำนักหมอหลวงเพียงคนเดียวเจิ้นไม่วางใจ”

เซียวเยี่ยนผินกายมาพยักหน้าเบาๆ แล้วเดินออกไป

เซียวจิ่นก้มหน้าลงอย่างสลดหดหู่ เขาแทบจะทนรอไม่ไหวที่จะยืนขึ้นมาให้ได้ เมื่อเป็นเช่นนี้เขาก็ไม่ต้องเป็นภาระของผู้อื่นและไปดูหลินชิงเวยที่สำนักหมอหลวงด้วยตนเองได้

เมื่อย้อนคิดถึงหลินชิงเวยที่ปกป้องเขาโดยไม่คิดชีวิต เปลือกนอกอันเย็นชาที่ห่อหุ้มหัวใจของเขาเอาไว้เริ่มถูกกะเทาะออก ค่อยๆ รับรู้ได้ถึงความอบอุ่นที่เอ่อท้นกลางใจ

หลินชิงเวยได้รับบาดเจ็บที่แขนข้างหนึ่ง ไม่อาจใส่ยาให้ตนเองได้ ดังนั้นจึงได้แต่อยู่ในสำนักหมอหลวงอย่างเชื่อฟัง ให้หมอหลวงวุ่นวายกับการทายาและพันแผลให้กับนาง

เนื้อผ้าที่แนบติดไปกับบาดแผลนั้นจำเป็นต้องได้รับการทำความสะอาดอย่างพิถีพิถัน หมอหลวงรู้ว่าหลินชิงเวยแตกฉานในวิชาแพทย์ จึงไม่กล้าทำแบบสุกเอาเผากิน ขอเพียงมีส่วนที่ไม่ถูกต้อง หลินชิงเวยก็จะสั่งสอนอย่างไม่เกรงใจ

“อย่างไรท่านก็เป็นหมอแผนจีนมาหลายสิบปีกระมัง เหตุใดก่อนเย็บแผลให้ข้าจึงไม่รู้ว่าต้องฆ่าเชื้อเล่า?”

“ให้ตายเถอะ วิธีการเย็บแผลไม่ถูกต้อง ท่านเย็บแผลเช่นนี้จะหายเร็วได้อย่างไร!”

“ท่านเป็นหมอได้อย่างไรกัน มีใบประกอบโรคศิลป์หรือไม่? แล้วท่านมาเป็นหมอหลวงในวังหลวงได้อย่างไร?”

หมอหลวงถูกนางพูดเสียจนเหงื่อตก คนเราเมื่ออายุมากแล้วยังต้องการการนับหน้าถือตา หมอหลวงเพิ่งจะทิ้งเข็มและด้ายที่เต็มไปด้วยเลือดทิ้งก็พ่นลมหายใจและถลึงตาใส่ “เจาอี๋เหนียงเหนียงเก่งกาจถึงเพียงนั้น เช่นนั้นท่านก็ทำเองเถิด!”

ใครเล่าจะคิดว่าทันทีที่หมอหลวงหันกลับไปก็พบว่าหน้าประตูมีพระองค์ใหญ่ยืนอยู่อย่างไร้สุ้มเสียง ขาเกือบจะอ่อนยวบจนคุกเข่าลงไป “กระหม่อมถวายพระพรเซ่อเจิ้งอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”

เซียวเยี่ยนกล่าว “บาดแผลของหลินเจาอี๋จัดการเรียบร้อยแล้วหรือไม่?”

หมอหลวงกล่าว “บาดแผลค่อนข้างลึกพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมกำลังจะเย็บแผลและไปหยิบยาจินชวงมาใส่ให้เจาอี๋เหนียงเหนียงแล้วจึงพันแผล”

หลินชิงเวยหันกลับมาเปิดโปงอย่างไม่เกรงใจแม้สักกระผีก “นี่ ท่านผู้เฒ่า เมื่อสักครู่ท่านยังพูดอย่างมีน้ำโหให้ข้าทำแผลเองมิใช่หรือ ข้าทำเองก็ทำเองสิ เหตุใดท่านต้องฝืนใจตนเองด้วย”

“นี่…ฮ่า ฮ่าๆ” หมอหลวงหัวเราะแห้งๆ “เมื่อสักครู่กระหม่อมล้อเล่นพ่ะย่ะค่ะ เจาอี๋เหนียงเหนียงได้รับบาดเจ็บ กระหม่อมไหนเลยจะให้ท่านทำเองได้”