บทที่ 93: ประกายความหวังอันริบหรี่ (2)

ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗]

บทที่ 93: ประกายความหวังอันริบหรี่ (2)

ฟึ่บ…ฉินเย่ยังคงตกลงไปในโพรงด้านล่างที่ดูเหมือนจะไร้ที่สิ้นสุด ยิ่งเขาตกลงไปลึกเท่าไหร่ ร่างกายของเขาก็ยิ่งเบาลงเท่านั้น และหลังจากที่ตกลงมานานกว่า 20 นาที เขาก็พบว่า…ร่างของเขาในยามนี้นั้นเบาราวกับขนนก แทบจะเหมือนกับว่าเขาสามารถยืนบนก้อนพลังหยินที่ลอยอยู่ในอากาศได้

นี่มันไม่ใช่แค่ความรู้สึก…

เด็กหนุ่มรีบลองดูทันที เขาปรับท่าทางของตัวอยู่ให้ตั้งตรงและร่างของเขาก็ค่อย ๆ ลอยลงไปด้านล่างราวกับขนนก

“มันเกิดอะไรขึ้นที่นี่?” ฉินเย่ค่อนข้างประหลาดใจ หลังจากที่ตกลงมาหลายสิบนาที ความตื่นเต้นภายในใจของเขาได้ลดลงจนแทบไม่เหลือแล้ว

“ขอบนรก” น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาของอาร์ทิสเจือไปด้วยความเหลือเชื่อ “มันคือช่องว่างเล็ก ๆ ระหว่างโลกมนุษย์กับยมโลก หรือจะเรียกมันว่าลิมโบก็ได้ มันคือมิติที่แยกออกจากกันอย่างสิ้นเชิง แต่มันก็สามารถถือได้ว่าเป็นทั้งส่วนหนึ่งของโลกใต้พิภพและเป็นส่วนหนึ่งของแดนมนุษย์ในเวลาเดียวกัน ยกตัวอย่างเช่น อาจมีใครบางคนค้นพบถนนหรือทางเข้าที่ไม่เคยปรากฏหรือถูกเขียนไว้บนแผนที่โดยนักทำแผนที่มาก่อน นั่นจะเป็นประตูไปสู่ลิมโบ”

นางสูดหายใจเข้าช้า ๆ “เหมือนอย่างที่ข้าเคยพูดไปก่อนหน้านี้ ในโลกมนุษย์นั้นมีประตูไปสู่นรกอยู่จำนวนมากนับไม่ถ้วน แต่ส่วนใหญ่แล้วพวกมันจะไม่มีทางถูกค้นพบได้โดยมนุษย์ และเหตุผลที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าทางเข้าเหล่านี้ล้วนนำไปสู่ลิมโบไม่ว่าทางใดก็ทางหนึ่ง!”

ลูกบอลผนึกมองไปรอบ ๆ อย่างระแวดระวังขณะที่เอ่ยต่อ “จุดเชื่อมต่อระหว่างยมโลกและโลกมนุษย์นั้นเป็นความลับสุดยอด แม้แต่ในหมู่พวกระดับสูงของนรกเองก็ตาม ข้าเองก็ไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับทางเข้าที่ใหญ่ขนาดนี้มาก่อน”

ฉินเย่ที่ได้ยินเช่นนั้นจึงพยักหน้า ทว่าทันใดนั้นเขาก็ถามขึ้นว่า “แล้วมันหมายความว่าอย่างไร?”

“หึหึ หมายความอย่างไรน่ะหรือ?” อาร์ทิสหัวเราะเสียงเย็น “มันก็หมายความว่า หากควาฟู่เข้ามายังมิตินี้อย่างเจตนา มันก็อาจจะเป็นหนึ่งในเจ้าหน้าที่ระดับสูงของนรกที่สามารถเข้าถึงข้อมูลที่เป็นความลับสุดยอดเช่นนี้ได้! ซึ่งมันจะต้องอยู่ขั้นฝู่จวินเป็นอย่างต่ำ! หากพูดอีกอย่างก็คือ มันจะต้องเป็นกลุ่มคนวงในของนรก!”

ฉินเย่พยักหน้าเข้าใจ สีหน้าของทั้งคู่เคร่งขรึมมากกว่าเดิม หลังจากผ่านไปประมาณสิบนาที ในที่สุดเขาก็หยุดลง

และไม่มีคำเตือนล่วงหน้าเลยสักนิด

ตอนนี้เขากำลังอยู่ในมิติที่แปลกประหลาดมาก ๆ ท้องฟ้าด้านบนเป็นสีขาวโพลน มันไม่ได้เกิดจากการที่ท้องฟ้าปลอดโปร่ง แต่มันเป็นผลมาจากทะเลหมอกสีขาวล้วนที่ลอยอยู่ด้านบน อากาศโดยรอบไม่ค่อยสอดคล้องกับพลังหยินเท่าไหร่นัก ทะเลหมอกสีเขียวลอยปกคลุมอยู่บริเวณเท้า นอกจากนี้ยังมีความรู้สึกที่เหมือนเหยียบลงบนพื้นดิน แต่เมื่อเขายืนมือออกไปเพื่อสัมผัสกับหมอกนั้น มันกลับไม่ให้ความรู้สึกของของแข็งเลยสักนิด

เมื่อมองไกลออกไป เขาก็เห็นดอกไม้สีดำจำนวนหนึ่งงอกขึ้นมาจากกลุ่มหมอกด้านล่าง ดอกไม้ดังกล่าวมีขนาดเท่าฝ่ามือและมีสีดำสนิท กลีบดอกของมันซ้อนทั้งกันห้าชั้นและมันเบ่งบานราวกับดอกบัว

กลุ่มเมฆที่เคลื่อนที่ไปมาและหมอกที่ปกคลุมไปทั่ว นอกจากนี้ยังมีความรู้สึกไร้น้ำหนักของการเป็นอมตะ

“ที่นี่คือลิมโบจริง ๆ พลังหยางลอยอยู่ด้านบน และพลังหยินปกคลุมอยู่ด้านล่าง ดอกไม้พวกนี้เรียกว่า ดอกกลิ่นวิญญาณ และพวกมันมีอยู่แค่ในลิมโบเท่านั้น ข้าได้ยินมาว่าทันทีที่ดวงวิญญาณมาถึงที่ลิมโบและดึงดอกไม้เหล่านี้ด้วยความโลภ ดวงวิญญาณของพวกเขาจะติดอยู่ในที่แห่งนี้ตลอดกาล”

ฉินเย่หรี่ตาเล็กลงและมองไปรอบ ๆ ก้อนพลังหยินสีดำสลายไปจนหมดแล้ว และเขาก็สามารถมองเห็นดวงวิญญาณหยินจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังเดินวนเวียนอยู่ภายในทุ่งดอกไม้สีดำอย่างเหม่อลอย

มีทั้งผู้ชาย ผู้หญิง และเด็ก มีบางกลุ่มที่ดูโบราณอย่างน่าเหลือเชื่อ ในขณะที่คนอื่น ๆแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสมัยใหม่

และห่างออกไป มีวัตถุสีทองขนาดใหญ่ตั้งอยู่

ครอกกกก…ฟี้….เสียงกรนดังสนั่นไปทั่วไปขณะที่ร่างสีทองขยับขึ้นลงช้า ๆ และทุกครั้งที่เป็นเช่นนั้น ดินแดนทั้งหมดจะสั่นสะเทือน ขยายออกและหดตัวไปตามจังหวะลมหายใจของร่างสีทอง

ฟึ่บ!!!

ทันใดนั้นเอง สายลมกรรโชกแรงก็พัดร่างของฉินเย่จนแทบจะหลุดลอยไป! และกว่าที่เขาจะได้สติขึ้นมาอีกครั้ง เขาก็ต้องก้าวเท้าถอยกลับไปหนึ่งก้าว!

“แค่ลมหายใจเท่านั้น…แต่กลับสามารถทำให้นักล่าวิญญาณทรงตัวไม่อยู่….” ฉินเย่อ้าปากค้าง อาร์ทิสที่ได้ยินเช่นนั้นจึงเอ่ยว่า “เด็ดดอกกลิ่นวิญญาณขึ้นมาเสีย มันยังเป็นที่รู้จักกันในชื่อของดอกไม้แห่งสายลม เจ้าลองมองดูดวงวิญญาณหยินที่อยู่โดยรอบสิ… ไม่มีผู้ใดถูกพัดจนปลิวเลยสักคน”

ฉินเย่จึงมองไปรอบ ๆ และพบว่ามันเป็นความจริง

“เจ้าคือยมทูต และโดยธรรมชาติแล้วลิมโบนั้นไม่มีอำนาจเหนือเจ้า ตราบใดที่เจ้าถือดอกไม้แห่งสายลมเอาไว้ เจ้าจะสามารถเดินเข้าไปใกล้มันได้”

ฉินเย่กระชับมือที่ถือกระบี่ปีศาจแน่นขึ้น ตัดก้านดอกไม้ดอกหนึ่งและหยิบมันขึ้นมา

ครอกกกก…ฟี้….ดอกไม้ในมือของเขาสั่นไปมาอย่างรุนแรงในทุกจังหวะการหายใจออกของร่างสีทอง ฉินเย่ยืนมองทะเลพลังหยินที่ถูกพัดออกไปก่อนจะพัดเข้ามาเมื่อร่างสีทองตรงหน้าหายใจเข้า

“ช่างทรงพลังจริง ๆ…” เขากำมือแน่นที่อกขณะที่ก้าวเดินไปข้างหน้าด้วยฟันที่กัดแน่น

ระยะทางทั้งหมดนั้นไม่ต่ำกว่าหลายพันเมตร ยิ่งฉินเย่เข้าไปใกล้สิ่งตรงหน้ามากเพียงใด สีหน้าของเขาก็ยิ่งเปลี่ยนไปมากเท่านั้น

ใหญ่…

มันเกินคำว่ามหึมาไปแล้ว…

เบเฮโมท[1] ตรงหน้าของเขามีขนาดอย่างน้อยครึ่งหนึ่งของเมืองเป่าอันทั้งเมือง!

ฉินเย่ยังคงเดินหน้าต่อไป 10 นาที… 20 นาที… ทันใดนั้น ขณะที่พลังหยินที่อยู่รอยเท้าของถูกพัดออกไปด้วยลมหายใจออกอันทรงพลังของร่างสีทอง ฉินเย่ก็เอ่ยขึ้นมาว่า “อาร์ทิส…นี่มันคืออะไรกัน?”

ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่พื้นเบื้องล่างของเขาถูกปกคลุมไปด้วยร่องรอยบางอย่าง

อันที่จริง หากจะพูดให้ถูกก็คือมันคือรอยแยก

และของเหลวสีทองบริสุทธิ์ก็ไหลไปตามรอยแยกพวกนี้อย่างช้า ๆ

หลังจากมองมันอยู่ประมาณสองวินาที ลูกบอลผนึกก็สั่นเทาอย่างรุนแรง อาร์ทิสเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่สั่นเทาและแหบพร่า “เป็นไปไม่ได้…นี่มันเป็นไปไม่ได้…”

“พาข้าเข้าไปใกล้ ๆ… ข้าขอดูมันใกล้ ๆ…”

ฉินเย่ที่ได้ยินเช่นนั้นก็ทำตามคำพูดของอีกฝ่าย หลังจากผ่านไปประมาณสิบวินาที ลูกบอลผนึกก็ลอยขึ้นและเอ่ยเสียงแห้ง “มันคือ…เลือด…”

“อย่างนี้นี่เอง…ไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดข้าจึงรู้สึกคุ้นกับโทนสีของมันนัก…ข้ารู้แล้วว่าผู้ทรงอำนาจผู้นี้คือผู้ใด…”

“เจ้าหนู…เดินไปตรงนั้นเถอะ ข้าจะแนะนำเจ้าอย่างเป็นทางการว่าคนดังของนรกคนนี้คือใคร…”

พวกเขาเดินมาใกล้มาแล้ว และหลังจากผ่านไปอีกสิบนาที ฉินเย่ก็สามารถมองเห็นภาพโดยรวมของอสูรตรงหน้าได้ในที่สุด

เขาไม่ได้เข้าไปใกล้มากกว่านี้เนื่องจากรู้ขีดจำกัดของตัวเอง ในขณะที่พวกเขายังอยู่ห่างออกมา เด็กหนุ่มสามารถบอกได้เลยว่าเกล็ดของอสูรขนาดมหึมาตรงหน้ายังคงวางเรียงกันอย่างเป็นระเบียบบนร่างของมัน

แต่ตอนนี้ เมื่อเขาเข้าไปใกล้อสูรตัวใหญ่ เขาสามารถบอกได้เลยว่าเกล็ดของมันทั้งหมด…พลันตั้งขึ้นอย่างกะทันหัน

มันคือการตอบสนองตามสัญชาตญาณของผู้แข็งแกร่ง

จากระยะนี้ เขาสามารถมองเห็นลวดลายบนเกล็ดแต่ละชิ้นของมันได้อย่างชัดเจน อาทิสเอ่ยด้วยเสียงสั่นอย่าก้าวเข้าไปใกล้…อย่าก้าวเข้าไปใกล้เด็ดขาด เพราะทันทีที่เจ้าทำเช่นนั้น เราจะกลายเป็นเพียงฝุ่นผงทันที แม้ว่าเราจะแข็งแกร่งกว่าตอนนี้สิบเท่าก็ตาม”

“เจ้าลองเดินดูรอบ ๆ โดยที่รักษาระยะห่างเท่านี้เอาไว้….นี่อาจจะเป็นอสูรศักดิ์สิทธิ์ตัวแรกที่เจ้าเคยเผชิญหน้ามาก็เป็นได้ และมันอาจจะเป็นอสูรศักดิ์สิทธิ์เพียงตัวเดียวที่เจ้าจะได้เห็นในชีวิตด้วย…”

ฉินเย่เองก็รู้ดีว่าเขาไม่ควรเข้าไปใกล้มากกว่านี้ นี่เป็นขีดจำกัด ซึ่งเขาก็มีลางสังหรณ์ว่าหากเขาเข้าไปใกล้มันมากกว่านี้อีกสักสิบเมตร เขาจะถูกฉีกกระชากเป็นชิ้น ๆ ทันที

เห็นได้ชัดเลยว่าอสูรศักดิ์สิทธิ์ตรงหน้ากำลังหลับอยู่ แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง ฉินเย่กลับรู้สึกว่ามันมีดวงตาอีกหลายคู่กำลังจับตามองทุกการกระทำของเขาอยู่ในตอนนี้

“มัน…แข็งแกร่งมากจริง ๆ…” ฉินเย่กัดฟันแน่นขณะที่เริ่มเดินวนรอบ ๆ เบเฮโมทตรงหน้า หลังจากผ่านไปหลายชั่วโมง ในที่สุดเขาก็ได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของมัน

มันมีหัวเป็นเสือพร้อมกับเขาเดียวด้านบน ใบหูที่เหมือนกับหูสุนัข ร่างสีทองของมังกรปกคลุมไปด้วยเกล็ดสีทอง และขนสีขาวราวหิมะบนหลังที่ลาดยาวจากตั้งบนหัวลงมาถึงโคนหาง

นอกจากนี้ มันยังมีหางของสิงโต และเท้าของมันเป็นกรงเล็บของสัตว์ที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน

ร่างทั้งร่างของมันขดเข้าหากันจนคล้ายกับลูกบอล และครึ่งหนึ่งของส่วนหัวของมันฝังเข้าไปในร่าง กำลังหลับใหลอย่างสงบสุข ด้วยการหายใจแต่ละครั้งของมัน พลังหยินที่อยู่โดยรอบจะถูกสูดเข้าไปในรูจมูกและเปลี่ยนเป็นกลุ่มก้อนพลังสีดำที่ไหลเวียนอยู่รอบ ๆ ร่างมังกรจนมาบรรจบกันที่บาดแผลขนาดใหญ่ที่อยู่บนหลังของมัน ซึ่งเกือบจะหั่นร่างของมันออกเป็นสองส่วน

“พระ…เจ้า…” ฉินเย่เอ่ยครางออกมาขณะที่สูดลมหายใจเข้าช้า ๆ แม้ว่าอสูรตรงหน้าจะขดตัวเป็นวงกลม แต่ร่างของเบเฮโมทก็ยังสูงพันกว่าเมตรและยาวหมื่นเมตรอยู่ดี ภาพอสูรขนาดใหญ่ตรงหน้าดูคล้ายกับมังกรที่อยู่ในตำนานไม่มีผิด!

อาร์ทิสเอ่ยเสริมด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “เขาบนหัวของมันเป็นตัวแทนของความเด็ดเดี่ยว สิ่งที่แยกระหว่างความเชื่อมั่นและการตัดสินความผิด ร่างมังกรของมันเป็นตัวแทนของความศักดิ์สิทธิ์ ส่วนหัวของเสือเป็นตัวแทนของปัญญา ใบหูของสุนัขแสดงถึงอำนาจในการได้ยิน ส่วนหัวของสิงโตเป็นตัวแทนของความอดทน และเท้ากิเลนของมันเป็นตัวแทนของความมั่นคงและเน้นย้ำถึงคุณงามความดีในทุกด้าน สิ่งมีชีวิตในตำนานตัวนี้มีชื่อเรียกว่าจิ่วปู๋เซี่ยง หรือความแตกแยกทั้งเก้า”

“ในนรก ดวงวิญญาณหยินที่ไม่สามารถตัดสินได้ด้วยเหตุผลใด ๆ ก็ตามจะถูกส่งไปให้มัน สิ่งมีชีวิตอันสูงส่งที่เพียงนอนอยู่บนพื้น ก็สามารถตรวจจับพลังหยินของวิญญาตนอื่นได้อย่างง่ายดาย หากวิญญาณหยินตนใดเป็นวิญญาณอาฆาต มันก็จะถูกตลบด้วยเขาเดียวบนหัวของอสูรตัวนี้และสลายหายไปในทันที นอกจากนี้ มันยังเป็นที่รู้จักกันในโลกมนุษย์ด้วยเช่นกัน และยังมีความหมายเหมือนกับพลังจิตวิญญาณ พลังศักดิ์สิทธิ์ ความร่ำรวย แรงบันดาลใจ โชคภาพ พลัง ความแข็งแกร่ง และความกล้าหาญ ดังนั้นมันจึงถูกเรียกอีกอย่างว่าเทพเจ้าแห่งพลังทั้งเก้า”

“ชื่อที่แท้จริงของมันก็คือ…” น้ำเสียงของอาร์ทิสในเวลานี้สั่นเทาเป็นอย่างมาก ฉินเย่หลับตาลงและเอ่ยออกมาอย่างไม่อยากจะเชื่อ “ตี้ทิง…”

“ในเรื่องไซอิ๋ว แม้แต่พระพุทธเจ้าก็ไม่สามารถแยกความแตกต่างระหว่างวานรหกหูและหงอคงตัวจริงได้ ผู้เดียวที่สามารถทำได้ก็คือตี้ทิง และช่างไม่น่าเชื่อ…มันยังเป็นสัตว์พาหนะของพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์อีกด้วย…”

นี่มันน่าตกตะลึงเกินไป

ฉินเย่ไม่เคยคิดว่าก่อนว่าควาฟู่จะไม่ใช่ใครอื่นนอกจากตี้ทิงผู้น่าเคารพ! พาหนะของพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์! อสูรศักดิ์สิทธิ์ที่แท้จริง!

พื้นที่ใต้ดินของเมิงเป่าอันไม่ใช่สถานที่ใดอื่น นอกจากแหล่งซ่อนตัวของตี้ทิง!

ในที่สุดเขาก็เข้าใจทุกอย่างแล้ว ที่ตี้ทิงสามารถมาถึงที่นี่ได้ก็เพราะการช่วยเหลือของบันทึกนรก ในทางกลับกัน ความทะเยอทะยานของเชาโยวเต๋านั้นถูกจุดประกายขึ้นเมื่อเขาเก็บบันทึกนรกได้โดยบังเอิญ

แต่สิ่งที่น่าสะพรึงกลัวมากที่สุดก็คือบาดแผลขนาดใหญ่บนหลังของมัน

มันได้ผ่าร่างของอสูรศักดิ์สิทธิ์ออกเป็นครึ่งหนึ่ง และกระดูก พร้อมทั้งอวัยวะภายในที่น่าสยดสยองก็เผยออกมาให้เห็น ความจริงที่ว่าตี้ทิงยังสามารถรอดชีวิตมาจนถึงตอนนี้ได้ก็ถือว่ามหัศจรรย์มากพอแล้ว

“มันหลุดจากการควบคุมของพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ได้แล้วอย่างนั้นหรือ? แล้วเลือกที่จะอยู่ที่นี่ทำไม?” อาร์ทิสพึมพำ “บาดแผลนี้…คงจะเกิดขึ้นจากการต่อสู้ครั้งสุดท้ายของพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์เป็นแน่ มันได้พยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อที่จะหลุดพ้นจากพันธนาการนั้น”

“แล้วเราจะทำอย่างไร?” ฉินเย่เอ่ยถามเสียงเบา สายตาของเขาที่มองไปยังอสูรตรงหน้านั้นดูเหม่อลอยเล็กน้อย

ทุกอย่างจะง่ายขึ้นเมื่อเขาสามารถยืนยันตัวตนของอสูรศักดิ์สิทธิ์ตรงหน้าได้ แต่ในเมื่อเขารู้ตัวตนที่แท้จริงของมันแล้ว เขาจะสามารถสร้างประตูนรกอยู่เหนือหัวของมันได้อย่างไร?

รายละเอียดของมันยากเกินไป หากอสูรตรงหน้าไม่พอใจ ทั้งหมดที่มันต้องทำมีเพียงพลิกตัว และยมโลกที่เพิ่งถูกสร้างขึ้นมาใหม่อีกครั้งก็จะพลิกคว่ำเหมือนกับเรือสำเภาลำเล็กที่อยู่ท่ามกลางคลื่นทะเลอันกว้างใหญ่และหายไปในคลื่นทะเลที่โหมกระหน่ำ

อาร์ทิสเองก็สับสนเช่นกัน “บาดแผลแบบนี้…ต้องใช้เวลาอย่างน้อยพันปีในการพักฟื้น และการก่อตั้งปรโลกขึ้นมาอีกครั้งก็ต้องใช้เศษตราเจ้านรก…ในฐานะของอสูรศักดิ์สิทธิ์ มันย่อมสัมผัสได้ถึงสิ่งนี้อย่างแน่นอน และบางที…มันอาจจะตื่นขึ้นและมองมาที่เรา…“

ฉินเย่กลืนน้ำลายลงคออย่างเป็นกังวล “แล้วการจ้องมองนี้…มันน่ากลัวเพียงใด?”

อาร์ทิสพึมพำเสียงเย็น “หากเราโชคดี เราก็อาจจะสามารถอยู่ร่วมกันได้ในนรก”

“เวรเอ๊ย!!” ฉินเย่ทึ้งผมของตัวเองอย่างแรง นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับโลกนี้? ในที่สุดเราก็หามุกล้ำค่าที่พยายามตามหามาตลอด แต่มันกลับไม่ใช่ใครอื่นนอกจากตี้ทิงผู้สูงส่งเนี่ยนะ?! และการสร้างยมโลกขึ้นมาเหนือร่างของมันก็เป็นเหมือนกับการก่อความขุ่นเคืองให้กับฝ่ายตรงข้าม! ถ้าอย่างนั้นเราควรจะยอมแพ้หรือเปล่า?

แต่ตอนนี้มันไม่สามารถยอมแพ้ได้แล้ว

แม้แต่คนอย่างฉินเย่เองก็มีความทะเยอทะยานเช่นกัน

มันยังเร็วเกินไปที่ตี้ทิงจะตื่นจากการหลับใหล และหากเขาสามารถได้รับการยอมรับจากอสูรศักดิ์สิทธิ์ตรงหน้าภายในเวลาพันปีละก็…

มันก็จะเป็นเหมือนกับการสวมเสื้อคลุมจักรพรรดิให้กับตัวเขาเอง!

ผู้ใดจะกล้ามาชิงตำแหน่งและอำนาจในยมโลกไปจากเขา?!

อาร์ทิสมีสีหน้าเคร่งเครียดกว่าเดิม ตอนนี้ทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับฉินเย่เพียงคนเดียวเท่านั้น

เงียบ

ฉินเย่จ้องไปยังตี้ทิงอย่างตั้งใจ แทบจะเหมือนกับว่าเขาต้องการจะบอกจากลมหายใจของมันว่ามันจะตื่นจากการหลับใหลเมื่อไหร่

เวลายังคงเดินต่อไปเรื่อย ๆ 2 ชั่วโมง… 3 ชั่วโมง…ในที่สุด หลังจากผ่านไปห้าชั่วโมงแล้ว ฉินเย่ก็ถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยอ่อนและหันไปมองอาร์ทิส

ลูกบอลผนึกลอยขึ้นมา และทันทีที่ทั้งสองสบตากัน ริมฝีปากของฉินเย่พลันสั่นระริก เด็กหนุ่มเอ่ยลอดไรฟันเสียงดังว่า “สอนข้าที…วิธีสร้างยมโลกขึ้นมาใหม่!”

[1]เบเฮโมท คือสัตว์อสูรซึ่งถูกกล่าวถึงในคัมภีร์ไบเบิลฉบับของโยบ มันเป็นสัตว์ที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้น มีลักษณะผสมผสานกันระหว่างช้าง ฮิปโป แรด และควาย จากลักษณะที่คัมภีร์ได้บรรยายไว้ ทำให้นักวิชาการบางส่วนเชื่อว่ามันอาจจะเป็นไดโนเสาร์ชนิดซอโรพอด

อ้างอิง:เบเฮโมท – วิกิพีเดีย (wikipedia.org)