ตอนที่ 196 เข้าโถงลงทัณฑ์อีกครั้ง

พันธกานต์ปราณอัคคี

ต้วนชิงเกอเม้มปากว่า “ที่จริงระหว่างเราก็ไม่มีอะไร เพียงแต่อาจารย์พูดถึงเรื่องนี้กับข้า ข้าคิดว่าอย่างไรเสียก็ต้องหาคนบำเพ็ญเพียรคู่ด้วยอยู่ดี เป็นศะ…ศิษย์พี่เยี่ยก็ดี ต่อมาศิษย์พี่เยี่ยวิ่งมาถอนหมั้น ต่อหน้าคนมากมายข้ารู้สึกว่าขายหน้าเหลือเกิน จึงหดหู่อยู่พักหนึ่งจริงๆ รอถึงศิษย์พี่มั่วลากข้าไปอัดศิษย์พี่เยี่ยยกหนึ่ง เห็นผู้ชายเย่อหยิ่งเช่นนั้นกลับไม่ตอบโต้ ปล่อยให้พวกข้าอัดจนทุลักทุเลเหลือจะกล่าว กระทั่งยังกระอักเลือด แต่กลับเพียงมองข้าแล้วพูดว่า ‘ขออภัย’ ความอึดอัดในใจจึงหายไป หลังจากนั้นอีกพวกเราถูกขังในโถงลงทัณฑ์กันหมด ชิงเกอสงบใจคิดมาหลายวัน กลับรู้สึกว่าผิดอยู่ที่ข้า ที่เห็นเรื่องบำเพ็ญเพียรคู่สุกเอาเผากินถึงเพียงนี้ วันหลังไม่แน่อาจทั้งทำร้ายผู้อื่นทั้งทำร้ายตนเอง”

 

 

“ชิงเกอ” มั่วชิงเฉินทนไม่ไหวกุมมือของต้วนชิงเกอไว้ หญิงสาวที่เข้าใจเรื่องราวทะลุปรุโปร่งเฉลียวฉลาดเพียงนี้ ตนช่างโชคดีอะไรเช่นนี้ ที่สามารถกลายเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องที่ดีที่สุดกับนางได้

 

 

มั่วหลีลั่วตบโต๊ะว่า “ชิงเกอ เจ้ามันไม่เอาไหน อะไรผิดที่เจ้า พวกเขาเขาหลิวหั่วสู่ขออยู่ก่อน ก้นยังนั่งไม่ทันร้อนก็วิ่งมาทำลายการหมั้นอีก เห็นเขารั่วสุ่ยของเราเป็นสถานที่อะไร ให้ข้าพูดนะ เจ้าเยี่ยเทียนหยวนสารเลวนั่น วันหลังเราควรจะเห็นครั้งหนึ่งอัดครั้งหนึ่ง ไหนๆ เขาก็ไม่ตอบโต้อยู่ดี! ยังมีศิษย์น้องชิงเฉิน ในเมื่อเจ้าไม่เกี่ยวข้องกับเยี่ยเทียนหยวน ทางที่ดีก็ห่างเจ้านั่นให้ห่างหน่อย หากวันไหนเสวียนหั่วเจินจวินคิดไม่ตกวิ่งไปสู่ขอที่เขาชิงมู่อีก ข้างหน้าเพิ่งไปข้างหลังเยี่ยเทียนหยวนก็ตามไปถอนหมั้น เจ้าก็รอให้ถูกพรรคเหยากวงหลายแสนคนหัวเราะเยาะเถอะ อย่าลืมนะ บัดนี้ศิษย์ในสำนักต่างลือกันว่า ที่เยี่ยเทียนหยวนทำลายการหมั้นก็เพื่อเจ้า!”

 

 

มั่วชิงเฉินรู้สึกจำใจทันที ศิษย์พี่มั่วคนนี้ ก็ไม่รู้ไปประสบอะไรมา ต่อผู้บำเพ็ญเพียรหญิงนับว่าเป็นคนมีน้ำใจ ต่อผู้บำเพ็ญเพียรชายกลับไม่ไว้หน้า คิดอีกที ก็รู้สึกสนุกขึ้นมา เหตุใจผู้บำเพ็ญเพียรหญิงที่สนิทกับตน ล้วนไม่ปกตินะ

 

 

ต้วนชิงเกอกลับขยิบตาว่า “ศิษย์พี่มั่ว นี่เจ้าพูดผิดแล้วล่ะ ตามที่ชิงเกอดู หากชิงเฉินไปห่างๆ ศิษย์พี่เยี่ยจริงๆ เกรงว่าศิษย์พี่เยี่ยถึงจะโศกเศร้าเสียใจนะ”

 

 

“เอ่อ? ความหมายของเจ้าคือ?” ในตามั่วหลีลั่วมีประกายไฟการซุบซิบแวบผ่านทันที

 

 

ต้วนชิงเกอบุ้ยปากไปที่ทิศทางหนึ่ง

 

 

มั่วหลีลั่วและมั่วชิงเฉินมองไปพร้อมกัน ก็เห็นเยี่ยเทียนหยวนนั่งอยู่ที่มุมหนึ่ง ดื่มสุราอยู่อย่างเงียบๆ บนใบหน้าที่เย็นดุจน้ำแข็ง คิ้วดาบขมวดเล็กน้อย ต่อให้สายตาของศิษย์ไม่น้อยกวาดมาทางเขาไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม เขากลับไม่รู้สึกตัวเอาเลย รอบกายดูเหมือนถูกกระแสความเย็นที่มองไม่เห็นห่อหุ้มไว้ ทำให้คนไม่กล้าเข้าใกล้

 

 

“ศิษย์พี่มั่วเจ้าดู ท่าทางศิษย์พี่เยี่ยเช่นนี้ คงไม่ใช่เพราะข้าหรอกกระมัง?” ต้วนชิงเกอพูดล้อเล่นพลางมองมั่วชิงเฉิน ตั้งแต่ครั้นทดสอบที่หุบเขาโยวเล่อ นางก็รู้สึกได้รางๆ ว่าเยี่ยเทียนหยวนปฏิบัติต่อมั่วชิงเฉินต่างจากผู้อื่น บัดนี้ดูแล้ว มีควันย่อมมีไฟ ศิษย์พี่เยี่ย ไม่แน่อาจคิดอะไรกับศิษย์น้องชิงเฉินจริงๆ

 

 

โดยจิตใต้สำนึก ต้วนชิงเกอหวังว่ามั่วชิงเฉินสามารถยอมรับเยี่ยเทียนหยวนได้ โดยที่ไม่ใช่เดินทางความรักที่มีอุปสรรคมากมายหาใดเปรียบไม่ได้

 

 

“ศิษย์น้องชิงเฉิน…” มั่วหลีลั่วเรียกอย่างชัดถ้อยชัดคำ ท่าทางจะให้นางสารภาพแต่โดยดี

 

 

มั่วชิงเฉินไม่รู้จะพูดอะไรจริงๆ หากไม่โกหกตนเองล่ะก็ ในใจนางก็คาดเดาเช่นเดียวกันรางๆ เพียงแต่เขาเกลียดตนเองมากมาตลอดมิใช่หรือ เหตุใดจู่ๆ ความคิดก็เปลี่ยนอย่างพลิกฟ้าพลิกแผ่นดินล่ะ?

 

 

ในยามนี้เอง หญิงใส่ชุดชาววังสีชมพูคนหนึ่งจู่ๆ ก็บุกเข้ามาในโถงดอกไม้

 

 

ศิษย์ที่อยู่ในโถงดอกไม้ล้วนเป็นศิษย์ของผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณ ต่อให้อยากรู้อยากเห็นความเกี่ยวข้องระหว่างเยี่ยเทียนหยวนและ ‘สองโฉมสะคราญชิงชิง’ ที่นั่งอยู่ที่เดียวกันเต็มประดา ติดที่ต้องสำรวมและฐานะ จึงไม่ได้แสดงออกชัดเจนเช่นศิษย์ธรรมดา เพียงแต่ผึ่งหูไว้ บวกกวาดสายตามองสามคนนั้นอย่างตั้งใจบ้างไม่ตั้งใจบ้างเท่านั้น ทว่ายามนี้เมื่อหญิงชุดชาววังผู้นี้เข้ามา ทุกคนก็ทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว สายตามองไปทางนางพร้อมกัน

 

 

หญิงชุดชาววังผู้นั้นมองไปรอบๆ แล้วเดินสวบๆ ไปทางเยี่ยเทียนหยวน

 

 

เพราะว่ากางเขตอาคมกั้นเสียงไว้ พวกมั่วหลีลั่วสามคนเพียงแค่เห็นกลับไม่ได้ยินความเคลื่อนไหวด้านนอก มั่วหลีลั่วเห็นดังนั้นรีบถอนเขตอาคมกั้นเสียงออก

 

 

หญิงชุดชาววังนี้ย่อมต้องเป็นหรวนหลิงซิ่วอยู่แล้ว ไม่พบกันสิบกว่าปี นางยังคงหน้าตาเช่นเดิม

 

 

หรวนหลิงซิ่วเดินไปยืนมั่นหน้าเยี่ยเทียนหยวน เยี่ยเทียนหยวนกลับถือขวดสุรา รินเองดื่มเองทีละจอกๆ ไม่แม้แต่จะยกหนังตาสักที

 

 

หรวนหลิงซิ่วสูดหายใจเข้าลึกๆ อึดใจหนึ่ง ความเอาแต่ใจที่ทำให้คนได้ยินแล้วต้องหน้าถอดสีเมื่ออยู่ต่อหน้าเยี่ยเทียนหยวนกลับดันอาละวาดไม่ออก เสียงอ่อนโยนโอดครวญเหมือนสาวน้อยที่อยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน “ศิษย์พี่เยี่ย ท่านไม่เชิญน้องดื่มสักจอกหรือ?”

 

 

“ศิษย์น้องหรวนตามสบาย” เยี่ยเทียนหยวนยังคงไม่เงยหน้า เสียงเย็นจนไม่มีอุณหภูมิแม้แต่น้อย

 

 

เสียงวิจารณ์ต่างๆ นานากระหึ่มดังขึ้นในโถงดอกไม้ มุดเข้าหูหรวนหลิงซิ่วโดยตรง

 

 

หรวนหลิงซิ่วร่างกายส่ายไปมา ฝืนประคองไว้แล้วนั่งลงหน้าเยี่ยเทียนหยวน เอ่ยอย่างนิ่มนวลว่า “ศิษย์พี่เยี่ย หลายปีมานี้ เหตุใดท่านหลบหน้าน้องมาตลอดล่ะ? ท่าน ท่านลืมแล้วหรือว่าปีนั้นเราร่วมเป็นร่วมตายกันมาอย่างไร?”

 

 

เมื่อคำพูดนี้หลุดออกปาก บรรยากาศการซุบซิบในโถงก็เปรียบดังน้ำมันเจอกับกองไฟ เผาไหม้ยิ่งฮึกเหิมขึ้น

 

 

มือที่ถือขวดสุราของเยี่ยเทียนหยวนชะงัก เอ่ยด้วยเสียงที่ยิ่งเย็นชาขึ้นอีกว่า “ศิษย์น้องหรวน โปรดให้เกียรติตนเองด้วย”

 

 

ปีนั้นตนช่วยนางไว้โดยบังเอิญ ไยมาถึงปากนาง ก็กลายเป็นร่วมเป็นร่วมตายแล้วล่ะ?

 

 

หากเป็นแต่ก่อน เยี่ยเทียนหยวนต้องถามเช่นนี้แน่นอน ทว่าเขาที่ได้ลิ้มรสชาติถูกคนที่พึงใจเพิกเฉยใส่ บัดนี้กลับเข้าใจความรู้สึกของหญิงสาวเหล่านั้นขึ้นมาบ้างแล้ว คำพูดย่อมไม่ได้ไม่ไว้หน้าเหมือนเมื่อก่อนแล้ว

 

 

“ศิษย์พี่เยี่ย ข้าไม่เชื่อว่าท่านไม่มีความรู้สึกให้น้องเลยสักนิด มิเช่นนั้น มิเช่นนั้นไยท่านถึงปฏิเสธนางล่ะ!” หรวนหลิงซิ่วกัดฟัน มือชี้ต้วนชิงเกอที่อยู่อีกมุมหนึ่ง

 

 

มั่วชิงเฉินมุมปากกระตุก ศิษย์พี่ต้วนนี่นั่งเฉยๆ ก็โดนหางเลขแท้ๆ

 

 

หรวนหลิงซิ่วผู้หญิงคนหนึ่ง ต่อหน้าคนมากมายสามารถทำถึงขั้นนี้ คิดว่าความรักที่มีต่อเยี่ยเทียนหยวนคงไม่ธรรมดา พูดตามเหตุผลแล้วก็นับว่าเป็นหญิงสาวที่กล้าหาญน่าชื่นชม ทว่านางดันชอบพาดพิงคนอื่น นี่ก็น่ารังเกียจแล้ว

 

 

เยี่ยเทียนหยวนไม่ได้มองไปที่ทิศทางที่พวกมั่วชิงเฉินสามคนอยู่สักปราดเดียว ตาจ้องจอกสุราหยกขาว เอ่ยนิ่งเรียบว่า “ต้องทำเช่นไรเจ้าถึงจะเชื่อ เจ้าบอกมา ข้าไปทำ”

 

 

คำพูดนี้พูดได้มุ่งมั่นเด็ดขาด ในที่สุดหรวนหลิงซิ่วก็รับไม่ไหว ปิดหน้าหนีไปท่ามกลางสายตาวิจารณ์ต่างๆ นานาของผู้คน

 

 

แล้วก็มีเสียงมุดเข้าหูนาง “ช่างไร้ยางอายจริงๆ ศิษย์พี่เยี่ยเขาปฏิเสธคนอื่น ใครไม่รู้ว่าเพื่อมั่วชิงเฉิน นางดันนึกว่าทำเพื่อตนเองแน่ะ”

 

 

“ฮิๆ ก็นั่นน่ะสิ นางทำเช่นนี้ทำพวกเราผู้หญิงขายหน้าหมดเลยนะ ศิษย์พี่น้องที่ชื่นชอบศิษย์พี่เยี่ยมีไม่น้อย ทว่าไม่รู้ยางอายเช่นนี้นางกลับเป็นคนแรก” หญิงสาวอีกคนหนึ่งเห็นด้วยว่า

 

 

เสียงอีกเสียงหนึ่งว่า “ที่ยิ่งทำให้คนพูดไม่ออกคือนางยังพูดเช่นนี้ออกมาต่อหน้าศิษย์พี่มั่วอีก ก็ไม่รู้ว่าคนเขาจะหัวเราะจนฟันร่วงหรือไม่…”

 

 

เมื่อคำพูดนี้หลุดออกไป หรวนหลิงซิ่วหยุดเดินในทันใด กวาดสายตาตรงๆ มาที่มุม เห็นข้างๆ ต้วนชิงเกอและมั่วหลีลั่ว ยังมีหญิงสาวคนหนึ่งที่เห็นหน้าตาไม่ชัดเจนนั่งขัดสมาธิอยู่จริงๆ

 

 

หรวนหลิงซิ่วสีหน้าเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ดูเหมือนคิดอะไรขึ้นได้ มาถึงหน้ามั่วชิงเฉินเหมือนลมพัด เสียงแหลมจนผิดปกติ “หน้าตาเรียบๆ ไม่มีสิ่งใดโดดเด่นเช่นนี้ ข้ากลับจำไม่ได้! นางมาร เจ้าพูดมา ตกลงเจ้าใช้วิธีหว่านเสน่ห์อันใดกันแน่ ถึงทำให้ศิษย์พี่เยี่ยหลงใหล?”

 

 

“หรวนหลิงซิ่ว เจ้าอย่าให้เกินไปนักนะ!” มั่วหลีลั่วตะคอก

 

 

ต้วนชิงเกอก็มองนางอย่างเย็นชา ก่อนหน้านี้พูดถึงเรื่องที่ตนถูกถอนหมั้น ต่อให้ตนไม่ใส่ใจ ทว่าอย่างไรเสียก็ไม่ใช่เรื่องน่าภูมิใจอะไร บัดนี้ไม่คิดว่าจะพูดคำพูดน่าเกลียดเช่นนี้ออกมาอีก ช่างทำให้คนสุดจะทนจริงๆ

 

 

มั่วชิงเฉินได้ยินคำพูดของหรวนหลิงซิ่ว ปฏิกิริยาแรก ก็คือดึงก้อนอิฐออกฟาดไปที่ใบหน้าบิดเบี้ยวของนางอย่างแรง ทว่าไม่คิดว่ามีคนเร็วกว่านางก้าวหนึ่ง เห็นเพียงจอกสุราใบหนึ่งพร้อมด้วยคลื่นพลังวิญญาณที่รุนแรงบินมา ซัดถึงตัวหรวนหลิงซิ่ว นางก็บินออกนอกประตูโถงดอกไม้ไปตรงๆ หลังจากนั้นอีก ก็ได้ยินเสียงปึงเสียงหนึ่ง เป็นเสียงของหนักตกพื้น

 

 

มั่วชิงเฉินเป๋อเหลอ ไม่คิดเลยว่าจะเป็นเยี่ยเทียนหยวน

 

 

“ขออภัย สร้างปัญหาให้เจ้าแล้ว” เยี่ยเทียนหยวนมองตาของมั่วชิงเฉิน เอ่ยอย่างลำบาก พูดจบก็เดินไปทางประตูเงียบๆ อ้อมผ่านหรวนหลิงซิ่ว ยิ่งเดินยิ่งไกล

 

 

หรวนหลิงซิ่วแม้ถูกจอกสุราของเยี่ยเทียนหยวนซัดบินออกไป เยี่ยเทียนหยวนกลับออมแรงไว้ นางเพียงแต่ชะงักชั่วครู่ก็กระโดดขึ้นมา มองแผ่นหลังของเยี่ยเทียนหยวนพลางร้องเสียงแหลมว่า “เยี่ยเทียนหยวน ท่านชอบนางใช่หรือไม่ ดี ดี วันนี้ข้าก็จะขีดหน้าของนางให้เละ ดูท่านยังชอบหรือไม่!”

 

 

เพิ่งสิ้นเสียง ก็เหมือนอสูรร้ายที่บ้าคลั่งโถมใส่มั่วชิงเฉิน

 

 

เยี่ยเทียนหยวนร่ายวิชารีบย้อนกลับมา หรวนหลิงซิ่งและมั่วชิงเฉินก็สู้อยู่ด้วยกันแล้ว

 

 

มั่วชิงเฉินรู้สึกเพียงว่าท่ามกลางคนมากมาย ตนต้องมาสู้กับหญิงบ้าคนหนึ่งเพื่อผู้ชายคนหนึ่งอย่างพิลึก ช่างน่าขายหน้าเหลือเกิน ทว่าสิ่งที่หรวนหลิงซิ่วพูดอีกทั้งยังมีสิ่งที่ทำกับตนในปีนั้น กลับทำให้ความดื้อรั้นของนางกำเริบขึ้น ตั้งแต่ต้นจนจบนางไม่เคยลืมที่ถูกตบหน้าหลายฉาดในปีนั้นหรอกนะ

 

 

ดังนั้นไม่ลังเลอีกต่อไป ดึงก้อนอิฐออกมาฟาดใส่หรวนหลิงซิ่วอย่างดุดัน เวลาเช่นนี้นางไม่อยากพูดถึงความพิถีพิถันใดๆ ทั้งนั้น รู้สึกเพียงว่าเช่นนี้ถึงสะใจ

 

 

มั่วชิงเฉินและหรวนหลิงซิ่วต่างอยู่ระดับสร้างรากฐานระยะกลาง ทั้งสองคนเลื่อนขั้นมาไม่นานเช่นกัน ทว่ามั่วชิงเฉินผ่านการฝึกตนมามาก ฆ่าอสูรปีศาจที่ทะเลขนาบใจตามลำพังไม่รู้ตั้งเท่าไร หรวนหลิงซิ่วที่ถูกทะนุถนอมมาตั้งแต่เด็กจะเทียบได้อย่างไร

 

 

เพียงครู่เดียว ก็ถูกมั่วชิงเฉินหาช่องโหว่พบ ก้อนอิฐที่ส่องประกายทองแวววับตบลงบนหน้าหรวนหลิงซิ่วเต็มๆ

 

 

“เด็กพวกนี้ นับวันยิ่งเหลวไหล!” เห็นหรูอวี้เจินจวินสีหน้าน่ากลัวขึ้นเรื่อยๆ เสวียนหั่วเจินจวินรีบพูดขึ้น ตั้งแต่เกิดเรื่องถอนหมั้น เสวียนหั่วเจินจวินเมื่ออยู่ต่อหน้าหรูอวี้เจินจวินก็จะรู้สึกเจี๋ยมเจี้ยมอยู่บ้าง

 

 

หรูอวี้เจินจวินฮึเสียงเย็นเสียงหนึ่ง “ยังไม่เพราะปัญหาที่ชนรุ่นหลานของท่านคนนั้นก่อไว้!”

 

 

“นี่ นี่จะโทษเขาได้เช่นไรล่ะ” เสวียนหั่วเจินจวินพึมพำว่า

 

 

ในยามนี้เองก็ได้ยินหลิวซางเจินจวินจิ๊ๆ สองเสียงว่า “เอ๊ะ ดูแล้วศิษย์หลานข้านั่นยังพอมีฝีมืออยู่บ้าง”

 

 

หรูอวี้เจินจวินโกรธจนหงายหลัง การกระทำของหลานสาวคนนั้นของนาง ก็ทำให้นางไม่มีหน้าพบผู้คนแล้ว หลิวซางเจินจวินพูดเช่นนี้ ไม่ต่างกับราดน้ำมันบนกองไฟ

 

 

“เอาล่ะ เห็นเด็กๆ ตีกัน พวกเจ้าก็ตีกันตามขึ้นมาคงไม่ได้หรอกนะ” โส่วเต๋อเจินจวินขยับตัวแวบหนึ่ง ปรากฏตัวขึ้นที่โถงดอกไม้ ตะโกนเสียงร้ายกาจว่า “หยุดเดี๋ยวนี้!”

 

 

ศิษย์ทุกคนเงียบกริบในทันที

 

 

โส่วเต๋อเจินจวินกวาดสายตาผ่านทุกคนปราดหนึ่ง เอ่ยเสียงเย็นชาว่า “หากไม่เพราะวันนี้เป็นพิธีฉลองการเลื่อนขั้นเล็กของหลิวซางเจินจวิน เดิมไม่ควรปล่อยพวกเจ้าออกมา บัดนี้ดูแล้ว ขังพวกเจ้าไว้น้อยไปแล้วจริงๆ เยี่ยเทียนหยวน มั่วชิงเฉิน หรวนหลิงซิ่ว ตั้งแต่วันนี้ไปพวกเจ้าสามคนไปโถงลงทัณฑ์ให้หมด ภายในสามปีห้ามออกมา!”