ตอนที่ 73-2 ชีวิตนักโทษที่แสนสบาย

ชายาเคียงหทัย

ในห้องหนังสือตำหนักติ้งอ๋อง

 

 

           ม่อซิวเหยามองม้วนกระดาษที่กางอยู่ตรงหน้าด้วยสีหน้าเรียบเฉย ก่อนเงยหน้าขึ้นถามเฟิ่งจือเหยาที่ยืนอยู่อีกด้านหนึ่งว่า “ในวังมีข่าวอันใดหรือไม่”

 

 

           เฟิ่งจือเหยาพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “คนในวังได้ลองสืบค้นในตำหนักเหยาหวาดูแล้ว ตำหนักเหยาหวาเป็นตำหนักที่เพิ่งสร้างใหม่ในสมัยฮ่องเต้พระองค์ก่อน ไม่มีทางลับใดๆ แต่สระบัวในตำหนักเหยาหวาไม่ใช่สระบัวที่ขุดขึ้น มีทางเชื่อมกับแม่น้ำในวัง องครักษ์ลับสงสัยว่าพระชายาจะถูกพาตัวไปทางน้ำ อีกอย่าง…น่าจะเป็นก่อนที่ตำหนักเหยาหวาจะเกิดไฟไหม้ขึ้น”

 

 

           “มีอีกหรือไม่”

 

 

           “เรื่องศพของเยี่ยเจาอี๋กับองค์ชายหก ถึงแม้ร่างจะโดนเผาไปจนไม่เหลือใบหน้าแล้ว แต่องครักษ์ที่ลอบเข้าไปตรวจดูยืนยันว่าศพของผู้หญิงนั่นไม่ใช่เยี่ยเจาอี๋ ส่วนองค์ชายหก…หากเยี่ยเจาอี๋เป็นตัวปลอม องค์ชายหกก็น่าจะมีโอกาสมีชีวิตอยู่กว่าครึ่ง”

 

 

           ม่อซิวเหยาหัวเราะเสียงเย็น “ดีมาก ในวังมีคนตายสองคน หายตัวไปห้าคนรวมถึงเยี่ยเจาอี๋กับองค์ชายหกด้วย แต่องครักษ์ลับของตำหนักติ้งอ๋องกลับไม่รู้อันใดเลย”

 

 

           เฟิ่งจือเหยาได้แต่ลอบถอนใจ ตั้งแต่ที่พระชายาหายตัวไป สีหน้าท่าทางของท่านอ๋องก็ยิ่งน่ากลัวขึ้นไปทุกที เพียงแค่คำพูดเรียบๆ ไม่กี่ประโยค ที่ไม่เจือแววโกรธเอาเสียเลยนั้น แต่เมื่อฟังดูแล้วกลับรู้สึกเย็นยะเยือกไปทั้งร่าง มิน่าคนอื่นจึงไม่ยอมเข้ามากัน เอาแต่ดันเขาให้เข้ามารับโทษตายอยู่คนเดียว “ในเมืองหลวงคนพวกนั้นมีความเคลื่อนไหวอันใดหรือไม่”

 

 

           “ม่อจิ่งฉีให้คนออกไปลอบค้นหาไปทั่ว คิดว่าเขาก็คงไม่รู้ว่าพระชายาไปอยู่ที่ใดเช่นกัน ส่วนม่อจิ่งหลี่ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ ทั้งนั้น วันนั้นพอออกจากวังมาก็ตรงกลับตำหนักทันที หลายวันนี้ทุกอย่างเป็นปกติ อันใดที่ควรทำก็ทำ ส่วนคนอื่นๆ ก็ไม่มีความเคลื่อนไหวเช่นกัน ช่วงนี้ทั้งในและนอกเมืองหลวงต่างก็ไม่มีคนน่าสงสัยเข้าออก” เยี่ยหลีประหนึ่งหายตัวไปในอากาศ ไม่พบร่องรอยอันใดเลยแม้แต่น้อย เฟิ่งจือเหยาก็ไม่รู้จะทำเช่นไร ไม่มีใครคาดคิดว่าจะมีคนใจกล้าขนาดวางเพลิงตำหนักในวัง และจับตัวชายาติ้งอ๋องไป เรื่องนี้เกิดขึ้นกะทันหันเกินไป เมื่อตอนที่พวกเขาคิดจะหาเบาะแสอันใด เบาะแสทั้งหมดก็หายไปเสียแล้ว

 

 

           ”หากเยี่ยเย่ว์ยังไม่ตาย จะต้องยังอยู่ในวังแน่นอน ข้าจะต้องเจอนางภายในสามวัน จะซ่อนผู่ใหญ่สักคนไว้ในวังอาจไม่ใช่เรื่องยาก แต่กับเด็กทารกที่ยังไม่รู้เรื่องรู้ราว คงไม่ง่ายเช่นนั้น” ม่อซิวเหยาเอ่ยเสียงขรึมขึ้น

 

 

           “น้อมรับคำสั่ง” เพิ่งจือเหยารับคำสั่งไปด้วยความเคารพ เขาลังเลเล็กน้อย ก่อนกล่าวว่า “ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง…องครักษ์ข้างกายพระชายา องครักษ์ลับหนึ่ง สอง สาม และสี่ต่างหายตัวไปกันหมด”

 

 

           ม่อซิวเหยาอึ้งไป “หายตัวไปหรือ”

 

 

           เฟิ่งจือเหยาพยักหน้า “เพิ่งเกิดเมื่อสองวันนี้ หลังจากพระชายาหายตัวไปพวกเขาไปขอรับโทษจากหัวหน้าองครักษ์ลับ แต่เพราะยังหาตัวพระชายาไม่เจอ ตอนนี้จึงได้รั้งรอไว้ก่อน แต่เช้ามาวันนี้กลับพบว่าพวกเขาทั้งสี่คนหายตัวไปแล้ว” ม่อซิวเหยาขมวดคิ้วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ช่างเรื่องพวกเขาไปก่อน”

 

 

           “พ่ะย่ะค่ะ”

 

 

 

 

           ณ สถานที่ลึกลับแห่งหนึ่งนอกเมืองหลวงต้าฉู่

 

 

           เยี่ยหลีนั่งเบื่อจ้องมองต้นเถาที่เพิ่งปลูกใหม่อยู่ในแปลงดอกไม้อย่างเหม่อลอย ทุกวันนางอยู่แต่กับสาวใช้ที่เหมือนเป็นใบ้ไม่พูดไม่จา คอยยืนรอรับคำสั่งของนางอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล เยี่ยหลียื่นมืออกไปเด็ดดอกไม้ที่ยังไม่บานออกมาจากต้นเถา นางเบ้ปากพร้อมดึงดอกหญ้าข้างๆ เล่น นางมาอยู่ที่นี่ได้ห้าวันแล้ว และเป็นดังเช่นที่เสี่ยวอวิ๋นได้เคยพูดไว้ว่า นางจะได้รับการดูแลอย่างดี นอกเสียจากเรื่องที่ว่า สาวใช้เสี่ยวอวิ๋นนั้นใส่ยาให้นางในอาหารอยู่ทุกวันไม่เคยเปลี่ยน เพียงแต่ การที่นางจะต้องใส่ยาในอาหารทุกมื้อนั้น หมายความว่าฤทธิ์ยานั้นอยู่ได้ไม่นานนัก แต่สิ่งที่สาวใช้เสี่ยวอวิ๋นที่เชี่ยวชาญเรื่องยายังไม่รู้นั่นคือมีบางคนที่มีความสามารถในการต้านฤทธิ์ยาที่น่าตกใจ บางทีนางอาจจะรู้ แต่นางอาจไม่คิดว่าเยี่ยหลีจะเป็นหนึ่งในนั้น ถึงแม้ร่างกายเยี่ยหลีในตอนนี้จะไม่เหมือนแต่ก่อนที่ผ่านการฝึกต้านฤทธิ์ยาพิษโดยเฉพาะมา แต่ตั้งแต่ที่นางรู้ว่าจะต้องแต่งงานเข้าตำหนักอ๋อง นางก็ได้ฝึกฝนและดูแลเรื่องนี้มาเป็นอย่างดี

 

 

           เสี่ยวอวิ๋นและนายใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังนางดูจะไม่มีเจตนาที่จะทำร้ายนางจริงๆ ดังนั้นยาที่ใส่ให้นางกินจึงเป็นยาที่ไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย แต่นั่นก็หมายความว่าความคงทนของฤทธิ์ยาและผลของมันอาจไม่ดีเท่าไรนัก แต่สำหรับคนทำธรรมดาทั่วไปก็ถือว่ามากพอแล้ว ตอนนี้ความห่างระหว่างช่วงเวลาที่เสี่ยวอวิ๋นใส่ยาให้นางนั้น นางสามารถเคลื่อนไหวได้ตามใจอยู่ประมาณครึ่งชั่วยาม แต่ว่าเยี่ยหลีไม่ได้รีบร้อนที่จะหนีออกไป เพราะถึงแม้ตามปกตินางจะเห็นเพียงเสี่ยวอวิ๋นกับสาวใช้ที่ไม่ยอมพูดยอมจาสองสามคน แต่นางยังรู้สึกได้ว่ายังมีอีกหลายคนที่จับจ้องนางอยู่ หากนางที่เพิ่งฟื้นจากฤทธิ์ยาแล้วคิดจะหนีออกไปทันที คงเป็นเรื่องยากไม่น้อย

 

 

           “แม่นาง ได้ยินว่าวันนี้ไม่ได้กินอันใดเลยหรือ เป็นเพราะพวกบ่าวทำไม่ถูกปากแม่นางหรือเปล่า” เสี่ยวอวิ๋นปรากฏตัวขึ้นที่สวนดอกไม้ นางมองเยี่ยหลีที่กำลังเด็ดหญ้าต้นเล็กๆ ออกพร้อมหางตาที่กระตุกเล็กน้อย “แม่นาง เรื่องนั้น…” เยี่ยหลีเงยหน้าขึ้น ชูต้นหญ้าในมือขึ้นให้นางดู “เจ้าพูดถึงเจ้าพวกนี้หรือ พวกมันมาโตที่นี่เดี๋ยวจะทำให้ต้นเถาโตช้า ข้าจึงมาดึงออกให้เรียบร้อย ถึงอย่างไรข้าก็อยู่ว่างๆ อยู่แล้ว แม่นางเสี่ยวอวิ๋นมีเรื่องอันใดหรือเปล่า”

 

 

           เสี่ยวอวิ๋นมองต้นหญ้าที่ถูกเยี่ยหลีดึงออกมากองไว้ที่พื้นอย่างไม่สนใจไยดีด้วยความเสียดาย นางฝืนยิ้ม “หากแม่นางไม่ชอบข้าให้คนมาจัดการให้ก็ได้ จะให้แม่นางลงมือทำด้วยตัวเองได้อย่างไร เสี่ยวอวิ๋นให้คนทำขนมมาให้ แม่นางอยากลองสักหน่อยหรือไม่”

 

 

           เยี่ยหลีส่ายหน้าพร้อมถอนหายใจเบาๆ “ที่นี่น่าเบื่อไม่น้อยจริงๆ วันวันหนึ่งข้าไม่ได้ทำอันใดเลยจะกินอันใดลงได้อย่างไร กลับไปรายงานคุณชายของเจ้าทีได้หรือไม่ว่า ว่าข้ารบกวนมานานแล้ว ควรถึงเวลาต้องบอกลาเสียที”

 

 

           เสี่ยวอวิ๋นพูดโดยไม่เปลี่ยนสีหน้าว่า “ตอนนี้คุณชายไม่อยู่ที่จวน ต่อให้เสี่ยวอวิ๋นใจกล้าเพียงใดก็คงไม่อาจปล่อยแขกของคุณชายไปโดยพลการได้ ดังนั้นหากแม่นางต้องการที่จะบอกลา เกรงว่าคงต้องรอให้คุณชายกลับมาก่อน”

 

 

           “ข้ารู้แล้ว” เยี่ยหลีเอ่ยเรียบๆ “สองสามวันนี้ข้าไม่ค่อยอยากกินอันใดเท่าไร ขนมนั่นข้าก็คงไม่กิน แม่นางเสี่ยวอวิ๋นท่านไปทำงานอย่างอื่นเถิด”

 

 

           เสี่ยวอวิ๋นมองเยี่ยหลีอยู่พักใหญ่ ประหนึ่งกำลังใคร่ครวญว่าสิ่งที่นางพูดเป็นความจริงหรือไม่ สุดท้ายนางก็พยักหน้า “ถ้าเช่นนี้ หากแม่นางหิวแล้วข้าค่อยให้คนนำเข้ามาให้ก็แล้วกัน หากคุณชายกลับมาแล้ว ข้าจะรีบเชิญคุณชายให้มาพบท่านทันที” เสี่ยวอวิ๋นโค้งตัวก่อนจะหมุนตัวเดินจากไป เยี่ยหลีมองตามร่างที่เดินจากไปของนาง ในดวงตาปรากฏแววประกายเย็นขึ้นแวบหนึ่ง มือที่เด็ดดึงหญ้าอยู่ยิ่งเด็ดเร็วขึ้นไปอีก

 

 

           ในขณะที่เยี่ยหลีดึงหญ้าจนโกร๋นไปได้ครึ่งสวนนั้น เสี่ยวอวิ๋นก็เข้ามาเชิญเยี่ยหลีให้ไปพบคุณชายของตนด้วยใบหน้าที่ยิ้มไม่ออก เยี่ยหลีทิ้งหญ้าในมือลงทันที พร้อมปัดเศษดินที่ติดมืออยู่ออก ก่อนให้สาวใช้ทั้งสองเข้ามาพยุงนางเดินตามหลังเสี่ยวอวิ๋นไป เยี่ยหลีถูกพยุงมายังห้องอันว่างเปล่าที่ห่างจากห้องของนางไปไม่ไกลนัก เมื่อเข้ามาในห้องก็เห็นเงาคนรูปร่างใหญ่โตกำลังนั่งอยู่หลังม่านบังตาที่โปร่งแสงเล็กน้อย สาวใช้ทั้งสองพยุงนางมานั่งบนเก้าอี้ ก่อนจะล่าถอยออกไปอย่างนอบน้อม เสี่ยวอวิ๋นตวัดสายตาโกรธๆ ใส่เยี่ยหลีทีหนึ่งก่อนจะล่าถอยออกไปอีกคน ก่อนออกไปยังไม่ลืมที่จะปิดประตูลงด้วย เยี่ยหลีอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา นางเดาว่าสาวใช้เสี่ยวอวิ๋นนั่นคงทนนางไปได้อีกไม่นาน เพราะหากให้เวลานางอีกสองวัน นางคงได้ถอนหญ้าแสนรักของนางจนหมดสวนเป็นแน่

 

 

           “มีอันใดน่าขันหรือ” มีเสียงต่ำๆ ของชายหนุ่มดังลอยมาจากหลังม่านบังตา

 

 

           เยี่ยหลีนั่งพิงเก้าอี้ด้วยสีหน้ายิ้มแย้มมองเงาของชายหนุ่มที่เห็นเพียงลางๆ “อารมณ์ดีจึงอยากหัวเราะ”

 

 

           “อารมณ์ดีหรือ เจ้าไม่นึกกังวลเลยหรือ หรือว่าเจ้าไม่อยากรู้ว่าเหตุใดเจ้าจึงมาอยู่ที่นี่ เจ้าไม่กลัวว่าข้าจะฆ่าเจ้าหรือ”

 

 

           เยี่ยหลีเอ่ยขึ้นอย่างเกียจคร้านว่า “หากคิดจะฆ่าข้าคงฆ่าไปนานแล้ว เหตุใดจะต้องให้เสียเวลากันทั้งสองฝ่ายด้วยเล่า ส่วนเรื่องที่ว่าเหตุใดข้าจึงมาอยู่ที่นี่…จะว่าไป การที่ท่านสามารถนำตัวข้าออกมาจากวังได้โดยไม่มีผีสางเทวดาเห็นเลยนั้น แสดงว่าท่านคงมีฝีมือไม่น้อย” ชายหนุ่มผู้นั้นก็ดูอารมณ์ดีไม่น้อย เขาหัวเราะเบาๆ “เอาตัวเจ้าออกมาจากวังนั่นไม่ท่าไร นี่ก็ผ่านมาเจ็ดวันแล้ว เจ้ายังอยู่ใกล้เมืองหลวงเพียงแค่นี้ แต่…ไม่ว่าจะเป็นสามีไร้สมรรถภาพของเจ้าหรือท่านผู้สูงส่งในวังนั้น ก็ยังหาเจ้าไม่พบแม้แต่ชายเสื้อเลยมิใช่หรือ” เยี่ยหลียักไหล่ “เอาเถิด หากพูดเรื่องนี้ท่านก็มีความสามารถจริงๆ แต่เรื่องที่ท่านสามารถทำให้เยี่ยเย่ว์เล่นงานข้าลับๆ ได้ ครั้งนี้ข้าเดาว่าคงไม่ใช่เรื่องเข้าใจผิด”

 

 

           ชายผู้นั้นส่งเสียงเหอะเบาๆ “บุตรสาวตระกูลเยี่ยไม่ว่าดูภายนอกจะฉลาดหรือโง่ ต่างก็ชอบคิดเองเออเองกันทั้งนั้น เรื่องที่อยากให้นางช่วยนั้นไม่จำเป็นต้องลงทุนลงแรงอันใดเลย เยี่ยหลี เจ้าลองเดาดูสิว่าตำหนักติ้งอ๋องจะประกาศข่าวการตายของเจ้าเมื่อไร”

 

 

           “หากไม่เจอศพของข้า ตำหนักติ้งอ๋องไม่มีทางประกาศว่าข้าตายแล้วอย่างแน่นอน” เยี่ยหลีเอ่ย

 

 

           “เจ้าก็แค่คิดเองเออเอง! เจ้าคิดว่าม่อซิวเหยาเห็นเจ้าสำคัญเพียงใดหรือ” น้ำเสียงของชายหนุ่มเจือแววขุ่นเคือง

 

 

           เยี่ยหลีไม่ได้โกรธตาม ในเสียงหัวเราะมีแววขบขัน “ม่อซิวเหยาจะเห็นว่าข้าสำคัญหรือไม่ เกี่ยวอันใดกับท่านด้วย ไม่คิดจะออกมาพบหน้ากันหน่อยจริงๆ หรือ หรือว่า…ท่านเสียโฉมไปเสียแล้ว ม่อจิ่งหลี”