บทที่ 110 แม่ของซางกวนจิ่น

หมอผีแม่ลูกติด

บทที่ 110

แม่ของซางกวนจิ่น

อันซานยังคงอยู่ที่นี่ต่อเพื่อคอยเฝ้าดูเหล่านักฆ่าที่เหลือเหล่านี้และป้องกันจะมีคนมาช่วย เมื่อนางจัดการกับเรื่องเหล่านี้เรียบร้อยแล้ว หลินซีเหยียนก็ได้จ้องไปที่ซางกวนจิ่นอย่างมีนัยบางอย่าง

ซางกวนจิ่นก็รู้สึกไม่ค่อยดีขึ้นมาเมื่อเห็นนางจ้องมาที่เขา จึงได้ถามกลับไป “ไม่ทราบว่าเสี่ยวเหยียนเอ๋อกำลังคิดแผนการร้ายอะไรอยู่เหรอ?”

“ข้าเป็นพลเมืองคนหนึ่ง จะไปคิดแผนการร้ายได้อย่างไรกัน? ก็แค่ตอนนี้ข้าไม่มีคนขับรถม้าแล้ว ไม่ทราบว่าคุณชายซ่างกวานจะขับได้หรือไม่?” หลินซีเหยียนที่กล่าวยังไม่จบประโยคก็ได้ยักคิ้วให้กับซางกวนจิ่น

ซางกวนจิ่นก็ได้รู้สึกโล่งอก แต่ก็มีแววนั้นที่ผิดหวังเล็กน้อย “แค่ให้เป็นคนขับรถม้าใช่ไหม? เรื่องเล็กน้อยแล้วยิ่งได้ขับให้สาวงามด้วยแล้ว”

ด้วยการช่วยเหลือของซางกวนจิ่น หลินซีเหยียนกับ ฮูหยินสี่ก็ได้เดินทางไปจนถึงวัดต้าเปย

เมื่อเดินทางมาถึงวัดต้าเปยแล้ว หลินซีเหยียนก็พบว่า ฮูหยินสี่นั้นยังมีอาการไม่ค่อยดี จากนั้นนางจึงได้ขอห้องว่างๆห้องหนึ่งเพื่อให้นางได้พักผ่อน นากจากนี้หลินซีเหยียนยังได้บอกให้คนช่วยต้มยาระงับการหดรัดตัวของมดลูกให้

เมื่อนางนำมาให้ฮูหยินสี่ ร่างกายของนางก็ได้แข็งทื่อขึ้นมา หลินซีเหยียนจึงรู้ว่านางคงจะกังวลกลัวว่านางจะทำอันตรายกับลูกในท้องของนาง

หลินซีเหยียนจึงได้ไม่ฝืนใจฮูหยินสี่ให้ดื่ม แต่วางชามยาลงแล้วเตรียมที่จะออกไป

ในขณะที่นางกำลังจะออกไป ฮูหยินสี่ก็ได้รั้งนางเอาไว้และเหมือนจะตัดสินใจอะไรบางอย่างได้ นางก็ได้ดื่มยานั้นต่อหน้าหลินซีเหยียน

“ขอบคุณคุณหนูรองสำหรับยานี้ด้วย” ทันทีที่ฮูหยินสี่ดื่มเสร็จ นางก็รู้สึกว่าอาการปวดที่ท้องของนางก็ได้รู้สึกดีขึ้นมา

หลินซีเหยียนก็ได้ผงกหัว และกล่าวด้วยสีหน้าเย็นชาเช่นเคย “ยาตัวนี้มีผลทำให้ผ่อนคลายความเจ็บปวด และวัดต้าเปยนี้ก็เป็นวัดที่อยู่ในอุปถัมภ์ของฮ่องเต้ ดังนั้นรับประกันเรื่องความปลอดภัยได้ ขอฮูหยินสี่จงพักผ่อนอย่างสบายใจ!”

หลังจากที่หลินซีเหยียนออกไปจากห้อง นางก็พบเงาของซางกวนจิ่นทันทีที่นางออกมา ทำให้นางรู้สึกปวดหัวนิดหน่อย แต่นางก็ได้กัดฟันฝืนเดินออกไป

“เสี่ยวเหยียนเอ๋อ ท่านแม่ของข้าอยากที่จะเชิญเจ้าไปร่วมทานอาหารด้วยกัน” ซางกวนจิ่นนั้นหล่อเหลาเช่นเคย ในเวลานี้เขาไม่ได้พกพัดติดตัวมา แต่เป็นช่อดอกไม้ป่าบนภูเขาแทน

วัดต้าเปยนั้นอยู่ห่างไกล เพราะความต้องการที่จะอยู่อย่างสมถะและเงียบสงบของพระ ดังนั้นบริเวณที่ตั้งวัดต้าเปยนั้นจึงเหมือนดั่งแดนสวรรค์ที่รายล้อมไปด้วยภูเขาและลำธาร, ต้นไม้และดอกไม้

ในขณะที่หลินซีเหยียนคิดที่จะเดินผ่านไปนั้น ซางกวนจิ่นก็ได้นำดอกไม้ป่าเต็มกำมือมามอบให้หลินซีเหยียน แต่ หลินซีเหยียนไม่เข้าใจ

หลินซีเหยียนนั้นไม่เคยได้พบเจอความรักมาก่อนทั้งสองช่วงชีวิต ดังนั้นนางจึงได้คิดที่จะหลีกหนีจากสิ่งที่นางไม่คุ้นเคยโดยที่ไม่รู้ตัว

ซางกวนจิ่นก็ได้มองไปที่ช่อดอกไม้ในมือที่หลินซีเหยียนไม่ยอมรับแล้ว สีหน้าของเขาก็ได้เศร้าและโดดเดี่ยว “หรือว่าเสี่ยวเหยียนเอ๋อจะไม่ชอบดอกไม้ป่า?”

หลินซีเหยียนที่ทนเห็นสีหน้าเช่นนั้นของเขาไม่ไหว จึงได้ตอบด้วยสีหน้าบึ้งตึงว่าชอบ แล้วจากนั้นนางก็ได้เอาช่อดอกไม้ป่ามาจากมือของซางกวนจิ่น

ภายใต้การนำทางของซางกวนจิ่น หลินซีเหยียนก็พบว่าฮูหยินหนานกงเป็นฮูหยินของเจ้าพระยาซางกวน ซึ่งเพียงแค่มองผ่านๆ หลินซีเหยียนก็รู้สึกได้ว่าฮูหยินหนานกงนั้นจะต้องเป็นคนใจดีและงดงามแน่ เพราะนางนั้นได้แผ่บรรยากาศที่บริสุทธิ์ออกมาจากตัวของนาง

“ท่านแม่ขอรับ นี่คือแม่นางหลินที่ข้าพูดถึงอยู่บ่อยๆไงขอรับ” ซางกวนจิ่นก็ได้แนะนำหลินซีเหยียนให้แม่ของเขาด้วยสีหน้าที่ยินดี

หลินซีเหยียนจึงได้ทำการคารวะให้กับฮูหยินหนานกง

ฮูหยินหนานกงก็ได้ประคองหลินซีเหยียนลุกขึ้นยืนแล้วจากนั้นก็กล่าวด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน “แม่นางหลินก็ช่างสง่างามดังที่ลูกชายของข้าเล่าเอาไว้”

“ฮูหยินหนานกงกล่าวชมข้าเกินไปแล้ว” ในเวลานี้ หลินซีเหยียนก็กล่าวอย่างถ่อมตัวและนุ่มนวล เพราะนางนั้นไม่อยากที่จะไปรบกวนหญิงสาวที่ใจดีมากที่อยู่ตรงหน้านางเช่นนี้

“ท่านแม่อย่าได้ปล่อยให้แขกยืนอยู่เลย พวกเรารีบมาทานอาหารกันดีกว่าขอรับ!” ซางกวนจิ่นที่เห็นหลินซีเหยียนพูดอย่างถ่อมตัวแล้ว เขาจึงได้พูดแทรกขึ้นมาเพื่อผ่อนคลายสถานการณ์นี้

ฮูหยินหนานกงก็ได้มองไปที่ดวงตาของซางกวนจิ่นแล้วจากนั้นก็ได้พาหลินซีเหยียนมานั่งที่โต๊ะอย่างอ่อนโยน

อาหารมื้อนี้รู้สึกผ่อนคลายอย่างมาก เพราะฮูหยินหนานกงนั้นดูแลเอาใจใส่มาก นี่เป็นครั้งแรกสำหรับหลินซีเหยียนตั้งแต่กลับมาที่เมืองหลวง ฮูหยินหนานกงนั้นคู่ควรต่อการเป็นแม่มากจริงๆ

เมื่ออาหารมื้อนี้จบลง หลินซีเหยียนก็ได้เตรียมที่จะกลับแต่ก็ถูกหยุดโดยฮูหยินหนานกงเสียก่อน แล้วฮูหยินหนานกงก็ได้ชี้ไปที่มุมเสื้อของหลินซีเหยียน และพบว่ารูโหว่เปิดกว้างอยู่

หลินซีเหยียนก็ได้มีแววตามืดคล้ำ รูที่เกิดขึ้นนี้น่าจะมาจากตอนที่ต่อสู้เมื่อสักครู่ หลินซีเหยียนจึงได้มองไปที่ฮูหยินซางกวนและตอบอย่างอายๆ “ข้านี่ช่างเลินเล่อจนไม่ได้สังเกตเห็นเลย ขออภัยที่เสียมารยาทด้วยนะเจ้าคะ”

ฮูหยินหนานกงก็ได้ไม่ได้คิดที่จะดุนาง กลับกันนางได้เรียกสาวใช้มาและขอให้สาวใช้นำเสื้อผ้าของนางมาให้ชุดหนึ่ง “แม่นางหลินสวมเสื้อผ้าของข้าไปก่อน แล้วข้าจะซ่อมตัวนั้นให้เอง”

“ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้นก็ได้เจ้าค่ะ ฮูหยิน” หลินซีเหยียนไม่กล้าที่จะไปรบกวนฮูหยินหนานกงทั้งๆที่พบกันครั้งแรก แล้วยิ่งฮูหยินหนานกงที่เป็นคนดีมากเช่นนี้

ฮูหยินหนานกงก็ได้มองไปที่หลินซีเหยียนแล้วก็ยิ้ม “แม่นางหลินอย่าได้เห็นเป็นคนอื่นคนไกล เจ้าเป็นเพื่อนของลูกชายข้า ข้าจะซ่อมชุดของเจ้าให้เองไม่มีปัญหาอะไรหรอก”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ซางกวนจิ่นก็ได้รีบพูดกับนาง “เสี่ยวเหยียนเอ๋อ ท่านแม่ของข้าขึ้นชื่อมากเรื่องเย็บปักถักร้อยและมีชื่อเสียงไปทั่วทั้งเมืองหลวง ถือว่าเจ้าโชคดีมากนะที่ได้มีโอกาสนี้”

“เจ้าเด็กคนนี้ เจ้าชมแม่ของเจ้ามากเกินไปแล้วนะ” ฮูหยินหนานกงก็ได้กล่าวหยอกกับซางกวนจิ่นด้วยคำพูดหวานๆ

เมื่อพูดกันเช่นนี้แล้ว หลินซีเหยียนก็ยากที่จะปฏิเสธได้ นางจึงได้ยอมเปลี่ยนชุดแล้วจากนั้นก็ได้นำเสื้อผ้าที่ขาดมาให้แม่นางหนานกง “ข้าต้องรบกวนฮูหยินแล้ว”

ฮูหยินหนานกงก็ได้จับมือของหลินซีเหยียนและกล่าวอย่างอ่อนโยน “เจ้าไม่ต้องพูดกับข้าอย่างสุภาพมากนักก็ได้”

หลินซีเหยียนก็ได้ผงกหัวแล้วกล่าว “ฮูหยินก็ด้วยเจ้าค่ะ เรียกข้าว่าซีเหยียนก็พอเจ้าค่ะ”

พูดได้ว่าที่ฮูหยินหนานกงนั้นมีชื่อเสียงมากในด้านการเย็บปักถักร้อยนั้น ไม่ได้กล่าวเกินไปเลยจริงๆ หลังจากนั้นไม่นานฮูหยินหนานกงก็ได้เย็บเสื้อผ้าที่ขาดของหลินซีเหยียนให้โดยไม่เห็นแม้แต่ร่องรอย

หลินซีเหยียนจึงได้เปลี่ยนชุดกลับและเตรียมจากไป ซางกวนจิ่นก็ได้มาส่งนางที่ประตู ถ้าหลินซีเหยียนไม่ห้ามเอาไว้ เขาคงได้เดินตามหลินซีเหยียนมาแน่ๆ

ณ เมืองหลวง ที่ต่างกับวัดต้าเปยที่เงียบสงบโดยสิ้นเชิง ในเวลานี้ที่เมืองหลวงกำลังวุ่นวายอย่างมาก

หลังจากที่เจียงหวายเย่ได้เข้ามาในพระราชวังในตอนเช้าตรู่นั้น ฮ่องเต้ก็ได้ถามเจียงหวายเย่ต่อหน้าเหล่าขุนนางว่า ทำไมเขาถึงได้ปกป้องจงซู่เฟิงเมื่อคืนนี้

เจียงหวายเย่ก็ได้จ้องไปที่ฮ่องเต้ที่นั่งอยู่ที่บัลลังก์มังกร และกล่าวด้วยน้ำเสียงหนาวเย็นอย่างเช่นเคย “ทูลฝ่าบาท เปิ่นหวางนั้นก็แค่ทนเห็นไม่ได้ ที่องค์ชายสี่ใช้อำนาจบาตรใหญ่กับคนอื่นเช่นนั้น!”

ฮ่องเต้เจียงก็ได้คิ้วขมวดและมองไปที่องค์ชายสี่อย่างสงสัยด้วยตาของเขา เมื่อเช้านี้องค์ชายสี่ได้บอกกับเขาแค่ว่า เจียงหวายเย่กับจงซู่เฟิงนั้นมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน และได้มาหาเขาในช่วงก่อนรุ่งสาง แต่ไม่รู้ว่ามีเรื่องราวอะไรที่เขาไม่ได้เล่านอกเหนือจากนั้นมาอีก

องค์ชายสี่ที่รู้สึกได้ถึงสายตาที่จ้องลงไปเหนือหัวของเขาแล้ว ก็ได้รีบลุกขึ้นยืนแล้วกล่าว “กราบเรียนท่านพ่อ ลูกนั้นได้ไปพบสาวใช้คนหนึ่งของจงซู่เฟิงเมื่อคืนข้าจึงได้ไปขอจากจงซู่เฟิง แล้วจากนั้นก็ได้พบกับท่านลุง

ฮ่องเต้ก็ได้ผงกหัวถึงแม้ว่าเขานั้นจะรู้ว่าองค์ชายสี่นั้นยังคงปิดบังบางอย่างจากเขาอยู่ แต่มันก็ไม่สำคัญ ที่สำคัญจริงๆคือทำไมเจียงหวายเย่ถึงได้ไปยังตำหนักซู่เฟิงตอนกลางดึกต่างหาก

แล้วฮ่องเต้ก็ได้หันหน้าไปหาเจียงหวายเย่แล้ว แล้วก็กล่าวด้วยน้ำเสียงที่กดดันขึ้นมา “องค์ชายเย่พอที่จะอธิบายให้ข้าฟังได้ไหมว่าทำไมเจ้าถึงได้ไปอยู่ที่ตำหนักซู่เฟิงในตอนกลางดึกได้”