ตอนที่ 97 รู้หรือเปล่าว่าไวโอลินคืออะไร

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

สวีเหยากวงไม่พูดอะไร วางควิซลงบนโต๊ะของหลินซือหรานโดยตรง

 

 

เขามองหลินซือหลานแวบหนึ่ง แววตายังคงเย็นเยือก น้ำเสียงอ่อนลง “ฟิสิกส์ของเธอได้ 93 คะแนน”

 

 

เขากับฉินอวี่ได้แค่ 80 คะแนนต้นๆ ทั้งคู่

 

 

พอได้ยินคำพูดของสวีเหยากวง คนอื่นๆ ในห้องก็พากันรุมเข้ามา

 

 

ควิซฟิสิกส์ครั้งนี้ยากมาก ข้างในมีข้อสอบโอลิมปิกแทรกอยู่หลายข้อ คนที่สอบได้ 80 คะแนนล้วนเป็นอัจฉริยะที่เคยเข้าร่วมการแข่งขันทางฟิสิกส์เมื่อปีก่อนทั้งนั้น ยิ่งไม่ต้องพูดถึง 90 คะแนน

 

 

เพียงแค่ว่าในหมู่คนเหล่านี้ไม่รวมหลินซือหราน

 

 

เป็นที่รู้กันว่า หลินซือหรานเก่งภาษา ชีววิทยาและเคมีมาก แต่เธอถนัดแค่บางวิชา ไม่ถนัดวิชาเลขกับฟิสิกส์อย่างมาก ฉะนั้นจึงไม่เคยอยู่ในห้าอันดับแรกของห้องเลยสักครั้ง

 

 

ตอนนี้ควิซวิชาฟิสิกส์ของเธอกลับเยอะกว่าสวีเหยากวงตั้งสิบคะแนน

 

 

แม้แต่เฉียวเซิงที่คะแนนค่อนข้างแย่ก็อดมองหลินซือหรานไม่ได้ น่าเหลือเชื่อมากทีเดียว

 

 

หลินซือหรานเองก็มึนงงอยู่บ้าง เธอก้มดูแล้วดูอีก พลิกควิซของตัวเองดู “ฉันไม่รู้…” ตอนที่ทำข้อสอบเธอคิดว่าทุกอย่างราบรื่นจริง แต่ไม่คิดว่าโจทย์ข้อใหญ่ข้อสุดท้ายตัวเองจะทำไปแค่ข้อย่อยเดียว

 

 

สวีเหยากวงมองเธอ ขบคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็ถามเธออย่างสุภาพอีกครั้งว่า “ข้อสุดท้ายเธอทำยังไง ยืมควิซให้ฉันดูหน่อยได้ไหม”

 

 

“ได้อยู่แล้ว”

 

 

ตอนที่ยื่นควิซให้สวีเหยากวง จู่ๆ หลินซือหรานก็นึกอะไรออก หันมองฉินหร่านทีหนึ่ง

 

 

อีกฝ่ายนั่งอยู่บนโต๊ะของตัวเองอย่างเกียจคร้าน มือกำลังพลิกหนังสือนอกเวลาด้วยท่าทีสบายๆ ในปากคาบอมยิ้มไว้

 

 

หลินซือหรานกะพริบตาปริบๆ พลันก็นึกอะไรขึ้นมาได้ “ข้อสุดท้ายฉันเห็นในสมุดจด”

 

 

เธอหยิบสมุดจดที่ฉินหร่านให้เธอออกมาแล้วยื่นให้สวีเหยากวง

 

 

สวีเหยากวงยื่นมือไปรับ พอพลิกดูหน้าหนึ่ง ก็เห็นตัวหนังสือสามตัวที่ดูเป็นอิสระด้านใน แม้ลายมือจะหวัด แต่สวีเหยากวงก็อ่านตัวหนังสือสามตัวนี้ออก…

 

 

“ซ่งลวี่ถิง” สวีเหยากวงอ่านออกมาเบาๆ ทีละตัว

 

 

เฉียวเซิงก็ชะโงกหน้าไปดู แล้วมองหลินซือหราน “ไม่เคยได้ยินชื่อคนนี้มาก่อนนี่นา นักเรียนโรงเรียนเราเหรอ”

 

 

“ไม่ใช่” สวีเหยากวงพลิกอีกหน้า เขาก้มหน้าอยู่ ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไร “เขาโตกว่าเราหนึ่งรุ่น”

 

 

เงยหน้ามองหลินซือหรานอีกครั้ง แววตาเป็นประกาย “เธอรู้จักซ่งลวี่ถิงเหรอ”

 

 

“ไม่รู้จัก” หลินซือหรานส่ายหน้า สายตาเผลอมองฉินหร่าน พลางกัดริมฝีปาก

 

 

ไม่ได้รับการอนุญาตจากฉินหร่าน เธอไม่กล้าพูดอะไรกับสวีเหยากวง

 

 

สายตาของสวีเหยากวงย้ายจากหลินซือหรานไปอยู่ที่ฉินหร่าน แสงสะท้อนวาบในดวงตา เพียงครู่เดียวแล้วหายไป

 

 

เขายืมควิซจากหลินซือหรานแล้วกลับไปนั่งที่โต๊ะ

 

 

เฉียวเซิงไม่ทันสังเกตเห็นจุดนี้ เขายื่นควิซให้ฉินหร่าน กลับไปนั่งที่ของตัวเอง ขายาวเหยียดออกมาตรงทางเดิน ถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น “คุณชายสวี ซ่งลวี่ถิงคือใคร”

 

 

“เหรียญทอง IPHO เดือนกรกฎาคมปีที่แล้ว คนอวิ๋นเฉิง” สวีเหยากวงพูดเสียงเบา

 

 

IPHO การแข่งขันฟิสิกส์โอลิมปิกระหว่างประเทศ

 

 

สวีเหยากวงเคยคิดว่าแค่ชื่อคล้ายกันหรือเปล่า แต่พอพลิกสมุดดู เขาคิดว่าความเป็นไปได้ที่ชื่อจะคล้ายกันนั้นมีน้อย

 

 

“หลินซือหรานรู้จักอัจฉริยะแบบนั้นด้วยเหรอ” เฉียวเซิงยกขาขึ้นไขว่ห้าง แปลกใจอย่างมาก

 

 

สวีเหยากวงไม่พูดอะไร แต่สายตากลับเหลือบมองทางฉินหร่านโดยไม่รู้ตัว

 

 

 

 

เที่ยงวันศุกร์

 

 

รอยแผลเป็นบนมือของฉินหร่านก็ค่อยๆ เลือนหายไป ตอนนี้กำลังนั่งทำการบ้านในห้องพยาบาล

 

 

เฉิงมู่เทน้ำแก้วหนึ่งให้ฉินหร่านเงียบๆ แล้วถามอย่างใส่ใจว่า “คุณหนูฉิน จะกินอะไรไหม”

 

 

กิริยาดูนอบน้อม

 

 

แม้ที่ผ่านมาเฉิงมู่จะไม่พูด ไม่แสดงท่าทีอะไรต่อหน้าฉินหร่าน แต่ข้างในกลับไม่ชอบฉินหร่านเอาเสียเลย

 

 

คราวนี้ท่าทีแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด

 

 

ฉินหร่านนั่งไขว่ห้าง พลิกกระดาษหน้าหนึ่ง จากนั้นก็หยิบปากกาขึ้นมาเขียน ตอบอย่างไม่ยี่หระว่า “ไม่ล่ะ”

 

 

เฉิงมู่รีบถอยไปอยู่อีกมุม ไม่รบกวนเธอ

 

 

เป็นเพราะตอนเย็นมีการซ้อมการแสดง เลยหยุดทั้งโรงเรียน ฉินหร่านทำแบบฝึกหัดมาสองชั่วโมงแล้ว จึงเริ่มเก็บข้าวของ

 

 

เฉิงเจวี้ยนเอนตัวกึ่งนอนอยู่บนโซฟา กำลังกระซิบกระซาบกับลู่จ้าวอิ่ง สีหน้าของทั้งคู่ไม่ค่อยสู้ดี

 

 

ฉินหร่านนั่งทำแบบฝึกหัดบนโต๊ะที่อยู่ไม่ไกลจากเขา วันนี้เขาสวมเสื้อนอกของโรงเรียน ข้างในเป็นเสื้อยืดลายตารางสีแดงดำ ขมวดคิ้วอย่างหงุดหงิดเป็นบางครั้ง แต่กลับกระจายออร่าดูมีชีวิตชีวามาก

 

 

เหลือบมองเป็นครั้งคราว ก็สบายใจมากเหมือนกัน

 

 

ทำให้บรรยากาศในห้องพยาบาลดูผ่อนคลายขึ้นมากโขโดยไม่รู้ตัว

 

 

เฉิงเจวี้ยนที่ให้ความสนใจกับทางนี้มาตลอดเอียงหัว หรี่ตามองเธอแวบหนึ่ง “ตอนบ่ายเธอหยุดไม่ใช่เหรอ”

 

 

“มีซ้อมใหญ่ หลินซือหรานอยากให้ฉันไปดูการแสดงของพวกเธอ” ฉินหร่านเก็บข้าวของเสร็จแล้วลุกขึ้น “ไม่นานมาก คิดว่าครึ่งชั่วโมงน่าจะได้กลับมา”

 

 

“อืม” เฉิงเจวี้ยนถึงได้พยักหน้า ตอบรับอย่างเชื่องช้า เขาเอนตัวพิงข้างหลัง สายตาเลื่อนไปที่มือขวาของเธออีกครั้ง “อย่าทำงานหนักให้พวกเขาล่ะ ถึงมือของเธอจะหายแล้ว แต่ก็ต้องใช้เวลาฟื้นฟูสองอาทิตย์”

 

 

ฉินหร่านไม่หันกลับมา แค่โบกมือมาทางข้างหลังอย่างขอไปทีเท่านั้น

 

 

ลู่จ้าวอิ่งอดขำออกมาไม่ได้ “เป็นผู้หญิงที่เย็นชามากจริงๆ!”

 

 

ชะงักอยู่ครู่หนึ่ง ลู่จ้าวอิ่งก็ถือปากกามองเฉิงเจวี้ยน หยุดคิดพักหนึ่งแล้วถามขึ้นมาว่า “ท่านเจวี้ยน มือของฉินเสี่ยวหร่านขยับได้ตั้งนานแล้ว ทำไมนายต้องกังวลขนาดนั้นด้วย”

 

 

เฉิงมู่พยักหน้าในใจอย่างบ้าคลั่ง

 

 

พักเรื่องที่เธอถนัดมือซ้ายไว้ก่อน ต่อให้ไม่ถนัดมือซ้าย รอยแผลเป็นแทบจะหายไปแล้ว ใช้เวลาฟื้นฟูอะไรกัน

 

 

เฉิงเจวี้ยนปรายตามองทั้งสองคน สีหน้าเรียบนิ่ง แม้แต่น้ำเสียงของผ่อนคลาย “รู้ไหมว่าทำไมฉันถึงเป็นท่านเจวี้ยนแต่พวกนายไม่ใช่”

 

 

“เพราะอะไร” ทั้งคู่ถามอย่างลืมตัว

 

 

“เพราะพวกนายไอคิวต่ำ” เฉิงเจวี้ยนถือแฟ้มใส่เอกสาร นิ้วมือเรียวยาว เอ่ยปากอย่างสุภาพ

 

 

ทั้งสองคน “…”

 

 

 

 

ณ หอประชุมใหญ่อีจง

 

 

หอประชุมใหญ่มาก จุคนในเวลาเดียวกันได้ถึงพันกว่าคน

 

 

เสียงดังจ้อกแจ้กจอแจ ราวกับมีกองเกียรติยศพูดอยู่ในหัว

 

 

พอฉินหร่านเดินพ้นประตูใหญ่เข้ามา คิ้วก็ขมวดเป็นปม กระจายออร่าความหงุดหงิดออกมา

 

 

ขณะจะล้วงกระเป๋าออกมาโทรหาหลินซือหราน เฉียวเซิงก็ใช้มือตบไหล่เธอปุๆ หอประชุมใหญ่วุ่นวายมาก เขาจึงเผลอตะโกนออกมา “พวกหลินซือหรานยังเข้าแถวกันอยู่ ให้ฉันพาเธอไปที่หอประชุมเล็ก”

 

 

อยู่ด้วยกันมานานแล้ว เขากับหลินซือหรานต่างก็รู้ว่าฉินหร่านกลัวความวุ่นวายมาก พอคนเยอะหน้าของเธอจะเฉยชาอยู่ตลอด

 

 

หอประชุมเล็กถูกกั้นด้วยประตูบานหนึ่ง

 

 

โดยปกติแล้วข้างในนี้จะไม่มีคน ตอนนี้ถูกจัดให้เป็นห้องซ้อมไวโอลินก็ฉินอวี่

 

 

ตอนที่ฉินหร่านเข้าไป ฉินอวี่ไม่ได้ซ้อมเพลงใหม่ แต่กำลังฝึกซ้อมเพลงที่จะแสดง

 

 

ฟังเพลงใหม่เยอะแล้ว การแสดงของฉินอวี่จืดชืดไร้รสชาติ

 

 

ตอนแรกสวีเหยากวงตั้งใจฟังมาก พอฉินหร่านเข้ามา สายตาเขาก็เผลอเหลือบมองฉินหร่านหลายครั้ง

 

 

เฉียวเซิงคุยกับสวีเหยากวงเสียงเบา สวีเหยากวงก็ตอบเบาๆ เขาว่อกแว่กแล้ว ไม่ได้ตั้งใจฟังไวโอลินเท่าก่อนหน้านี้

 

 

ฉินอวี่ที่สังเกตปฏิกิริยาของสวีเหยากวงมาตลอดสายตาเย็นเยือกขึ้น

 

 

ฝีมือการเล่นไวโอลินของฉินอวี่พอใช้ได้ ได้คุณภาพกว่าคนทั่วไปมาก

 

 

“นิสัยของฉินอวี่ไม่ค่อยเท่าไร แต่ฝีมือสีพอใช้ได้เลย” เฉียงเซิงกระซิบข้างหูเธอ

 

 

ฉินหร่านตอบอืม “ทางด้านงานอดิเรก ถือว่าพอใช้ได้”

 

 

สวีเหยากวงเห็นว่าฉินหร่านกับเฉียวเซิงดูจะสนใจไม่น้อย เลยอดอธิบายเบาๆ ไม่ได้ว่า “ที่เธอเล่นคือ ดับเบิล สต๊อป อายุเท่าเธอคนที่ทำได้มีไม่เยอะ…”

 

 

เฉียวเซิงไม่ค่อยตั้งใจฟัง เขาเกาหัวแกรกๆ “ฉันฟังก็ไม่เห็นจะต่างอะไรจากคนอื่น”

 

 

ฉินหร่านก็ตอบอย่างขอไปทีว่า “พอใช้ได้ ไม่รื่นหู”

 

 

ฉินอวี่ที่เพิ่งหยุดเล่นก็ได้ยินประโยคนี้ของฉินหร่านกับเฉียวเซิงพอดี เม้มปาก สุดท้ายก็ทนไม่ไหว “รู้ไหมว่าอะไรคือดับเบิล สต๊อป อะไรคือดีดไวโอลินด้วยมือซ้าย รอพวกเธอรู้พวกนี้ก่อนค่อยมาวิจารณ์การสีไวโอลินของฉัน ฉันเล่นไวโอลินไม่ต้องการให้คนที่ไม่เชี่ยวชาญมาชี้นิ้ววิจารณ์ คุณชายสวี พวกเขาเสียงดังแบบนี้ฉันไม่มีทางมีสมาธิ กรุณาบอกให้พวกเขาออกไปเดี๋ยวนี้”